แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี - บทที่ 1851 พวกนายเป็นไอ้โง่ / บทที่ 1852 ความเป็นมาของตระกูลซือ
- Home
- แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี
- บทที่ 1851 พวกนายเป็นไอ้โง่ / บทที่ 1852 ความเป็นมาของตระกูลซือ
บทที่ 1851 พวกนายเป็นไอ้โง่
เวลานี้ ใบหน้าของซือป๋ออี้ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง สายตาตกลงบนตัวของเยี่ยหวันหวั่นช้าๆ แล้วหัวเราะขึ้นเบาๆ พลางเอ่ยว่า “น้องสะใภ้ นี่คือเรื่องในบ้านของพวกเรา ทำไมน้องสะใภ้ต้องสอดเท้าเข้ามายุ่งด้วยล่ะ”
สิ้นเสียงของซือป๋ออี้ ดวงตาของสืออีก็ทอประกายเย็นชา จ้องซือป๋ออี้เขม็งและเอ่ยด้วยเสียงเย็น “พี่ใหญ่…ซือป๋ออี้…ตอนนั้นฉันไม่ได้บอกข่าวการตายของหลินอวิ๋นกับแก แกรู้ได้ยังไงกันแน่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของสืออี ซือป๋ออี้กลับหัวเราะร่า “เจ้าเจ็ด เรื่องนี้ไม่สำคัญสักหน่อย ฉันคิดว่าแกไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับพี่น้องจนเป็นทุกข์แบบนี้เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง แกว่าจริงไหม”
สืออีมีสีหน้าทะมึน “เป็นแก…ที่ฆ่าหลินอวิ๋น!”
“ฉัน? ” ซือป๋ออี้ชะงักเล็กน้อย ชี้ไปที่ตัวเอง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ฉันไม่ได้ฆ่าแฟนแกแน่นอน…แต่ฉันแค่ส่งคนไปฆ่าเท่านั้น”
“ซือป๋ออี้…แกแม่งไอ้เดรัจฉาน!” หลังจากที่ได้ยินซือป๋ออี้ยอมรับสารภาพ สืออีก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยังไงก็รับไม่ได้ที่พี่ใหญ่ที่ดูไร้พิษสง อ่อนแอขี้กลัวที่สุดในบรรดาพี่น้องเก้าคนของตระกูลซือจะฆ่าแฟนของเขา…แถมยังโยนความผิดให้กับซือเยี่ยหาน!
“หึๆ …” เมื่อเห็นว่าสืออีเสียการควบคุมเล็กน้อย พี่ใหญ่ก็ไม่ได้โกรธ ตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะน้อยๆ มองสืออีและเอ่ยว่า “เจ้าเจ็ด ยังไงฉันก็คือพี่ใหญ่ของแก แค่ผู้หญิงคนเดียว อยากจะมีสักกี่คนก็ได้…หรือว่า เพราะผู้หญิงคนหนึ่งแกถึงกับทะเลาะเบาะแว้งกับพี่ใหญ่งั้นเหรอ”
“เหลวไหลสิ้นดี!” สืออีจ้องซือป๋ออี้ ด้วยสีหน้าทะมึนถึงขีดสุด “ซือป๋ออี้…เพราะตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของตระกูลซืออย่างเดียว แกถึงไม่ลังเลที่จะฆ่าแฟนของฉัน แล้วป้ายความผิดให้เจ้าเก้า……แกยังเป็นคนอยู่ไหม!”
ซือป๋ออี้มีสีหน้าเป็นปกติ นิ้วมือหยิบอาหารนกจำนวนหนึ่งขึ้นมาป้อนอาหารให้กับลูกนกที่อยู่ด้านข้าง
บัดนี้ ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผย
“ตระกูลซือมีพี่น้องตั้งมากมาย…พี่สาม…พี่สี่ พี่ห้า…แล้วก็เจ้าแปด ต่างก็เป็นคนที่ถูกแกยุแยง ทำให้พวกเขาทำลายชีวิตของตัวเอง!” สืออีตะคอกเสียงเย็น
“หึๆ เจ้าเจ็ด…พูดแบบนั้นไม่ได้นะ ฉันไม่ได้เอามีดไปจ่อคอพวกเขา ให้พวกเขาไปฆ่าซือเยี่ยหานสักหน่อย แต่เป็นพวกเขาเองต่างหากที่ในใจคิดโลภ ฉันแค่ทำให้พวกเขาได้เห็นความโลภในใจของตัวเองชัดเจนขึ้นเท่านั้น…แต่แกไม่เหมือนกัน หลายปีมานี้แกทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ ครอบครองอำนาจและความมั่งคั่ง ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลซือแม้แต่นิดเดียว…เพราะงั้นตำแหน่งหัวหน้าตระกูลซือจึงไม่เย้ายวนแก…แกเป็นจุดอ่อน ก็เพราะหลินอวิ๋นแฟนสาวคนนั้นของแก ถ้าฉันฆ่าหลินอวิ๋นแล้วบอกว่าซือเยี่ยหานเป็นคนทำ แกถึงจะมีความคิดที่จะฆ่าซือเยี่ยหาน เป็นตัวแกเองที่เผยจุดอ่อนออกมาแต่แรก เรื่องนี้แกจะโทษพี่ใหญ่ไม่ได้” ซือป๋ออี้เอ่ย
“ซือป๋ออี้…ฉันจะฆ่าแก!”
หลังจากที่ได้รู้ว่าหลินอวิ๋นตายด้วยน้ำมือของซือป๋ออี้ สืออีก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีก เขาจึงคว้าก้อนอิฐขึ้นมาตั้งท่าจะฟาดใส่หัวของซือป๋ออี้
“โง่จริงๆ”
ซือป๋ออี้เหลือบมองสืออีแวบหนึ่ง จากนั้นก็ไม่เห็นว่าซือป๋ออี้เคลื่อนไหวยังไง เขาแค่ยกแขนขวาขึ้นน้อยๆ
วินาทีถัดมา ทั้งตัวสืออีก็ลอยขึ้นฟ้า ถูกซือป๋ออี้ตบทีเดียวลอยไกลออกไปหลายเมตร
หลังจากสืออีตกลงบนพื้นก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าซีดเผือด มุมปากกระอักเลือดสีแดงเข้มออกมา
เหตุการณ์ฉากนี้ ชีซิงกับเป่ยโต่วต่างก็มองสบตากัน แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสามก็จ้องไปยังซือป๋ออี้ ดวงตาผุดแววตกใจไม่อยากเชื่อ ในประเทศจีน…ยังมียอดฝีมืออย่างนี้อยู่…
—————————————————–
บทที่ 1852 ความเป็นมาของตระกูลซือ
เมื่อเห็นสืออีลุกขึ้นมา ซือป๋ออี้ก็หัวเราะเสียงเบาแล้วเอ่ยว่า “โง่จริงๆ …แบบนี้ไงแกถึงฆ่าซือเยี่ยหานไม่ได้…ตอนนั้นแกจ้างพันธมิตรเลือด ในต่างประเทศ…อาการป่วยเก่าๆ ของซือเยี่ยหานกำเริบ นั่นถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะฆ่าเขา…แกแค่ต้องเปิดโปงว่าเยี่ยหวันหวั่นสวมรอยเป็นเดธโรสก็สำเร็จแล้ว แต่น่าเสียดาย ที่แกมันโง่…”
“ซือป๋ออี้…แกแม่ง ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลซือสำหรับแก…อย่าบอกนะว่าสำคัญมากกว่าพี่น้อง!” สืออีชี้หน้าซือป๋ออี้พลางเอ่ย
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของสืออี ซือป๋ออี้กลับยกยิ้มเรียบเฉยและส่ายหน้า “เจ้าเจ็ด พวกแกน่ะก็แค่กบในกะลาเท่านั้น กับอีแค่ตระกูลซือ ในสายตาฉันไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น”
“งั้นทำไมต้องทำเรื่องไร้หัวใจพวกนั้นด้วย!” สืออีมองซือป๋ออี้ ด้วยความไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ถ้าบอกว่าซือป๋ออี้ยุแยงพวกเขาพี่น้องให้ฆ่าซือเยี่ยหานเป็นเพราะตำแหน่งหัวหน้าตระกูลซือ แบบนั้นเขายังพอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ซือป๋ออี้กลับพูดว่าตระกูลซือไม่อยู่ในสายตาเขา งั้นเขาทำไปเพราะอะไรกัน!
“หึๆ คนไร้ประโยชน์อย่างพวกแก ไม่แปลกที่ไม่อาจรู้เรื่องราวของตระกูลซือ” ซือป๋ออี้มองสืออีและเอ่ยพลางยิ้มเย็น “ช่างเถอะ ในฐานะพี่ใหญ่ ฉันจะบอกแก ความจริงของตระกูลซือ”
“ความจริง ซือ เป็นสกุลเก่าแก่ สายเลือดของพวกเราเรียกว่าตระกูลซือโบราณ และตระกูลเก่าแก่ไม่ได้อยู่ที่ประเทศจีน แต่อยู่ในสถานที่ที่เรียกว่ารัฐอิสระ” ซือป๋ออี้กล่าวช้าๆ
“ตระกูลซือโบราณ…รัฐอิสระ!”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของพี่ใหญ่ซือป๋ออี้ สืออีก็เผยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย ตระกูลซือโบราณคืออะไร แล้วรัฐอิสระ…คืออะไรอีก!
“ความจริงแล้วตระกูลซือโบราณจัดเป็นตระกูลวิทยายุทธ ในรัฐอิสระ อำนาจและพละกำลังของตระกูลซือโบราณนั้นยิ่งใหญ่จนน่าตกใจ และในตระกูลเก่าแก่ก็มีกฎที่เข้มงวดมากข้อหนึ่ง คือไม่ว่ารุ่นหลังตระกูลซือคนไหนก็ตาม นอกจากจะแสดงพรสวรรค์ รวมทั้งสติปัญญาและศักยภาพในการฝึกวิทยายุทธที่น่าตื่นตะลึงออกมา…ถ้าได้มาตรฐานจึงจะสามารถอยู่ในตระกูลซือโบราณของรัฐอิสระได้…
และเพราะพ่อของพวกเรานั้นไม่เก่งกาจ จึงถูกขับออกจากตระกูลซือโบราณ หลังจากที่พ่อมาถึงประเทศจีนก็ก่อตั้งตระกูลซือ…และให้กำเนิดพวกเราพี่น้อง…
และฉัน หลังจากเติบโตขึ้น ก็มีศักยภาพถึงมาตรฐาน จึงถูกคนของตระกูลซือโบราณพาไปเลี้ยงดูที่รัฐอิสระ…”
ขณะที่ซือป๋ออี้เล่าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย สืออีก็ยิ่งตกใจขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลซือของพวกเขามีความลับอย่างนี้อยู่ด้วย!
“จิ๊ๆ แต่น่าเสียดายนะ เพราะฉันละเมิดกฎของตระกูล ก็เลยถูกขับออกจากตระกูลซือ…ด้วยไม่มีทางเลือก ฉันจึงก่อตั้งกองกำลังของตัวเองขึ้นมาในรัฐอิสระ…แต่ตระกูลซือโบราณคิดว่าฉันทำชื่อเสียงของตระกูลซือเสื่อมเสีย ก็เลยไล่ฉันออกจากรัฐอิสระ…ฉันจึงกลับมาประเทศจีน ควบคุมกองกำลังที่อยู่ในรัฐอิสระจากระยะไกล โดนทหารรับจ้างก่อกบฏต่างๆ …ตราบใดที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งของตัวฉันเองได้ ไม่ว่าอะไรฉันก็ทำหมด…ก็แค่อยากให้ตาแก่ของตระกูลซือโบราณที่รัฐอิสระพวกนั้นเสียใจภายหลัง! ทำให้พวกมันรู้ว่า การไล่ฉันออกจากตระกูลซือโบราณและไล่ฉันออกจากรัฐอิสระ เป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์…แต่ที่ทำให้ฉันไม่เข้าใจที่สุดก็คือ หลังจากผ่านไปหลายปี เจ้าเก้ากลับเข้าตาและถูกพาตัวไปยังรัฐอิสระ กระทั่งถูกตระกูลซือโบราณเลี้ยงดูอย่างให้ความสำคัญ!”
พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของซือป๋ออี้ก็ปรากฏแววเย็นเยียบน่ากลัว “เจ้าเจ็ด แกลองว่ามาสิ มันมีสิทธิ์อะไร ฉันต่างหากที่เป็นพี่ใหญ่…ฉันแข็งแกร่งและฉลาดกว่าพวกแกคนไหนๆ …แต่ฉันกลับถูกไล่ออกจากรัฐอิสระ ส่วนเจ้าเก้ากลับถูกเลี้ยงดูอย่างให้ความสำคัญ แกว่า มันสมควรตายไหม!”
………………………..