แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี - บทที่ 1951 มอบถ่านไม้กลางหิมะ / บทที่ 1952 นัดพบจี้หวง
บทที่ 1951 มอบถ่านไม้กลางหิมะ
ในนาทีนั้น มีความคิดนับพันแวบเข้ามาในหัวของเยี่ยหวันหวั่น แต่เยี่ยหวันหวั่นก็สลัดมันทิ้งไปทั้งหมด
ตอนแรกเยี่ยหวันหวั่นคิดที่จะบอกซือเยี่ยหาน แต่มาคิดดูอีกที หากเป็นจริงดังนี้ ก็เท่ากับตัวเองดึงให้อาชูร่ามาลำบากไปด้วย ต่อให้พันธมิตรอู๋เว่ยกับอาชูร่ารวมตัวกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์อยู่ดี
“กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์มากันหรือยัง?”
เยี่ยหวันหวั่นมองเป่ยโต่วกับชีซิงแล้วขมวดคิ้วถาม
“ยังเลยพี่” ชีซิงส่ายหัว
เยี่ยหวันหวั่นทรุดตัวลงนั่งลงบนโซฟาช้าๆ แทบไม่ต้องคิดเยอะ กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ต้องกลับไปเกณฑ์กำลังคนมา พอถึงเวลาก็โยนพันธมิตรอู๋เว่ยลงหม้อทีเดียว
เห็นได้ชัดเลยว่า ไม่สมควรที่จะทำสงครามกับกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ ในช่วงเวลาสำคัญนี้ เธอจะต้องคิดหาเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ในการขโมยทรัพยากรและลักพาตัวผู้อาวุโสมาให้ได้ถึงจะถูก
“แล้วผู้อาวุโสจินถูกพวกเขาพาตัวกลับไปหรือยัง” เยี่ยหวันหวั่นถามต่อ
“พี่เฟิง เปล่าครับ ผู้อาวุโสจินตายแล้วครับ!” เป่ยโต่วรีบตอบอย่างลนลาน
“ตายแล้วเหรอ?!” ดวงตาของเยี่ยหวันหวั่นพลันเปล่งประกายด้วยความดีใจจนแทบบ้า ตายไปได้ก็ดี การตายครั้งนี้ต่างอะไรกับการมอบถ่านไม้กลางหิมะ กัน?
แค่ผู้อาวุโสจินตายไป ก็จะไม่มีหลักฐานการเสียชีวิตของเขา ทีนี้ใครก็บอกไม่ได้ว่าฐานที่มั่นนั้นเป็นของพันธมิตรอู๋เว่ย?
พันธมิตรอู๋เว่ยพอรู้ว่าผู้อาวุโสจินถูกจับตัวไปก็เป็นกังวล จึงรีบออกตามหาผู้อาวุโสจิน ตอนที่หาตัวผู้อาวุโสจินพบ ก็บังเอิญเป็นเวลาเดียวกับที่กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ส่งคนมาหาพอดี อย่าบอกนะว่าไม่ได้?
ตราบใดที่เธอปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธมิตรอู๋เว่ย กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ในฐานะที่เป็นบรรทัดฐานของรัฐอิสระ พวกเขาจะกล้าทำสงครามกับพันธมิตรอู๋เว่ย โดยปราศจากหลักฐานได้ยังไง?
“ตายอย่างอนาถเลยพี่!” เป่ยโต่วกล่าวพลางถอนหายใจ
“แล้วใครเป็นคนตีผู้อาวุโสจินจนตายล่ะ?” ใบหน้าของเยี่ยหวันหวั่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พรสวรรค์แบบนี้ต้องได้รับการฝึกฝน
“พี่เฟิง ถ้าผมพูดแล้วพี่คงไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี…ไม่งั้นผมแสดงให้พี่ดูก็แล้วกัน!” พูดจบเป่ยโต่วก็หันไปทางชีซิง “ตอนนี้ฉันคือคนของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ ส่วนแกคือผู้อาวุโสจิน พวกเรามาจำลองฉากนี้กันใหม่”
ชีซิงพูดไม่ออก
“พี่เฟิง คนของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ หลังจากพบฐานที่มั่นแล้ว ก็ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้อาวุโสจิน ผู้อาวุโสจินก็บอกพวกนั้นว่า พี่เฟิงถามเขาว่าใครคิดจะฆ่าเนี่ยอู๋โยว จากนั้น…ผู้อาวุโสจินก็กล่าวว่า เขาไม่ได้บอกใครแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาก็ถูกคนของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ทุบตีจนตาย” ชีซิงกล่าวตามความเป็นจริง
เมื่อชีซิงพูดจบ เยี่ยหวันหวั่นก็ตกตะลึง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความงุนงงอย่างสุดแสน
ช่างเทพอะไรปานนั้น?!
ผู้อาวุโสจิน ถูกคนของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ทุบตีจนตายเหรอ?
“คนที่ฆ่าผู้อาวุโสจินจนตาย เป็นฝีมือสายลับของพันธมิตรอู๋เว่ยงั้นเหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นถามด้วยความใคร่รู้
เยี่ยหวันหวั่นสงสัยว่าเป็นคนของพันธมิตรอู๋เว่ย หรือเป็นคนของอาชูร่ากันแน่?
“พี่เฟิง เป็นรองประธานของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ครับ” ชีซิงกล่าว
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก
การลงมือฆ่าผู้อาวุโสจินอย่างโจ่งแจ้งนั้น เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ฝีมือของสายลับอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นถึงรองประธาน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
แต่…ทำไมคนของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ต้องฆ่าผู้อาวุโสจินด้วย?
มีเครื่องหมายคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของเยี่ยหวันหวั่น นี่มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด!
“แล้วคนของพวกเราเป็นยังไงบ้าง” เยี่ยหวันหวั่นยิงคำถามต่อ
“หัวหน้าสาขาหลายคนหลบหนีไปได้ และไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไรครับ” ชีซิงตอบ
หลังจากครุ่นคริดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหวันหวั่นก็ออกคำสั่ง “ไปแถวๆ กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์เดี๋ยวนี้ แล้วตรวจสอบทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา ถ้ามีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อยให้รีบรายงานฉันโดยด่วน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น เป่ยโต่วกับชีซิงก็หันหลังจากไปทันที
——————————————————————————
บทที่ 1952 นัดพบจี้หวง
เยี่ยหวันหวั่นใช้เวลาหลายวันไปกับการคอยระมัดระวังตัว
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันมานี้กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ ไม่เหมือนกับที่เยี่ยหวันหวั่นคิดไว้ว่ากองกำลังจำนวนมากจะถูกส่งมาเพื่อทำลายพันธมิตรอู๋เว่ย ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
การที่กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ไม่มีความผิดปกติใดๆ สำหรับเยี่ยหวันหวั่นแล้ว นี่กลับเป็นความผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาตีผู้อาวุโสจินจนตาย หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาสนใจพันธมิตรอู๋เว่ยอีก ตามตรรกะโดยทั่วไปแล้ว เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!
……
เยี่ยหวันหวั่นคาดเดาพฤติกรรมของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ไม่ออก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ ไม่ได้มาหาเรื่องพันธมิตรอู๋เว่ยก็นับว่าดีที่สุดแล้ว
แต่เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่ได้วางใจเสียทีเดียว สั่งให้เสริมการป้องกันของพันธมิตรอู๋เว่ย และยังจัดคนคอยสอดส่องกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์อย่างใกล้ชิด แค่กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ต้องการลงมือกับพันธมิตรอู๋เว่ย พวกเขาจะต้องรู้เป็นคนแรกทันที
ในวันเดียวกันนั้น เยี่ยหวันหวั่นให้คนติดต่อจี้ซิวหร่าน และนัดจี้ซิวหร่านออกมารับประทานอาหารด้วยกัน
การที่นัดจี้ซิวหร่านออกมา เธอไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง แต่เยี่ยหวันหวั่นคิดเพียงว่า จี้ซิวหร่านต้องรู้เรื่องที่ตัวเองคือเนี่ยอู๋โยวอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าอยากรู้เรื่องอะไรจากปากของจี้ซิวหร่าน อย่างน้อยก็ต้องถามให้ชัดเจน
การมากินข้าวกับจี้ซิวหร่านในครั้งนี้ เยี่ยหวั่นหวั่นต้องระวังตัวแล้วระวังตัวอีก เพราะถ้าหากซือเยี่ยหานรู้เข้า…ก็ไม่ง่ายเลยที่จะอธิบาย
ในคืนนั้นเอง ภายในเลาจน์ของร้านอาหารสุดหรูแห่งหนึ่ง
เป่ยโต่วและชีซิงรออยู่ด้านนอกเลานจ์ ภายในเลานจ์มีเพียงจี้ซิวหร่านกับเยี่ยหวันหวั่นเท่านั้น
ใบหน้าของชายหนุ่ม มักแต้มไปด้วยรอยยิ้มราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ แววตาที่ล้ำลึกมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงจะหันมามองเยี่ยหวันหวั่น แล้วเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ “ได้ยินมาว่าคุณไปดึงเส้นผมของนายแห่งอาชูร่ามาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ภารกิจระดับ S+ ของโรงเรียนชื่อเยี่ยน คุณก็ทำสำเร็จแล้ว”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก ทำไมเธอรู้สึกเหมือนถูกสอบปากคำ?
เธอรู้ดีว่า ผู้อาวุโสกงจะต้องโอ้อวดไปทั่วอย่างแน่นอน และหนึ่งในคนที่เขาจะไปอวดนั้นจะขาดจี้ซิวหร่านไปไม่ได้
“เอ่อ ก็แค่โชคดีน่ะค่ะ…” เยี่ยหวันหวั่นตอบ
“โชคดี แค่นั้นเองเหรอ” จี้ซิวหร่านจ้องไปยังเยี่ยหวันหวั่น “ผมเส้นนั้น คงจะเป็นนายแห่งอาชูร่าเป็นคนดึงให้คุณเอง ส่วนสินค้าเกรงว่านายแห่งอาชูร่าก็เป็นคนส่งให้เองด้วยใช่ไหมครับ”
เยี่ยหวันหวั่นถูกป้อนคำถามจนปวดหัวแทบระเบิด ส่วนจี้ซิวหร่านก็ไม่ได้ตั้งใจจะล้วงลึกขนาดนั้น เขาหัวเราะเบาๆพลางกล่าวว่า “ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วดีกว่า บอกมาเถอะว่า ที่เรียกผมมาในคืนนี้มีธุระอะไร”
สุดท้ายก็วกกลับมาที่ประเด็นหลักจนได้…
“จริงๆ แล้ว คุณรู้จักเนี่ยอู๋โยวแห่งตระกูลเนี่ย เขาเป็นตัวปลอมใช่ไหม” เยี่ยหวันหวั่นจ้องไปยังจี้ซิวหร่านแล้วเอ่ยช้าๆ
“โอ้?”
เมื่อได้ยินเยี่ยหวันหวั่นถามดังนั้น จี้ซิวหร่านก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที และมองเยี่ยหวันหวั่นอย่างไม่ละสายตา
“พอจะบอกได้ไหมคะ ว่าคุณรู้อะไรบ้าง” เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วถาม
“อย่างเช่นอะไรบ้างล่ะ” จี้ซิวหร่านหัวเราะเบาๆ
“ตัวตนของฉัน” เยี่ยหวันหวั่นพูดเข้าประเด็น
เมื่อสิ้นเสียงของเยี่ยหวันหวั่น จี้ซิวหร่านก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ถ้างั้นตอนนี้ผมควรเรียกคุณว่าเสี่ยวเฟิง หรือเรียกว่าอู๋โยวดีล่ะ” ไม่นานนักจี้ซิวหร่านก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
“คุณรู้จริงๆ ด้วย ว่าฉันคือเนี่ยอู๋โยว…” เยี่ยหวันหวั่นสูดหายใจลึกๆ หนึ่งฟอด
“รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จริงๆ นะ คุณกับเนี่ยอู๋โยวในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ใบหน้าและรูปร่าง กลับต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้แต่ผมเองก็แทบจำไม่ได้” จี้ซิวหร่านจ้องมองเยี่ยหวันหวั่น “แต่ วันนี้คุณนัดผมมาถามเรื่องพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าความทรงจำของคุณยังไม่คืนกลับมา”
“ในเมื่อคุณรู้ตัวตนของฉันมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่บอกฉันตรงๆ ล่ะคะ?” เยี่ยหวันหวั่นตัดพ้อด้วยความไม่เข้าใจ
“ความทรงจำของคุณถูกเขียนทับและแทนที่ ถ้าผมพูดความจริงไป คุณจะเชื่อเหรอ…นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ส่วนเหตุผลที่สองคือระหว่างผมพูดความจริงออกไป กับคุณนึกขึ้นมาได้ด้วยตัวเองอันไหนจะดีกว่ากันล่ะ” จี้ซิวหร่านอธิบายด้วยเหตุผล
“หรือจะบอกว่า คุณให้ฉันไปที่โรงเรียนชื่อเยี่ยน เพราะคุณรู้ถึงความสามารถของผู้อำนวยการของโรงเรียนชื่อเยี่ยน ความตั้งใจเดิมของคุณ ไม่ได้ตั้งใจให้ฉันไปฝึกวิทยายุทธ์ แต่จะให้ฉันไปฟื้นฟูความทรงจำของตัวเองอย่างงั้นเหรอ…” เยี่ยหวันหวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกล่าวออกมา
ในตอนนี้ มุมปากของจี้ซิวหร่านก็ยกขึ้นเล็กน้อย “ตัวคุณในปีนั้น ไม่ได้จะฉลาดสักเท่าไรหรอกนะ”
ถึงจะถูกจี้ซิวหร่านล้อ แต่เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่ได้ติดใจ หากว่าไม่ใช่เพราะจี้ซิวหร่าน หลังจากที่ตัวเองมาถึงรัฐอิสระนั้นก็เกรงว่ายากมากที่จะรับมือ ตอนนี้กลับมาลองคิดดู จี้ซิวหร่านช่วยเหลือเธอไว้มากตอนที่อยู่ในรัฐอิสระ