แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี - บทที่ 2279 ไม่มีใครมีฝีมือถึงขั้นอัดเขาให้น่วมได้ / บทที่ 2280 เป็นคนรู้จักแบบไหนเหรอ
- Home
- แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี
- บทที่ 2279 ไม่มีใครมีฝีมือถึงขั้นอัดเขาให้น่วมได้ / บทที่ 2280 เป็นคนรู้จักแบบไหนเหรอ
บทที่ 2279 ไม่มีใครมีฝีมือถึงขั้นอัดเขาให้น่วมได้
เยี่ยหวันหวั่นเผยสีหน้าตื่นตะลึง พลางพูดกับตัวเองว่า “สรุปแล้วใช่คนเดียวกันไหมนะ…หรือว่า…เฮ่อเหลียนเจวี๋ยกับประธานอี้จะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน…”
ไม่งั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ใบหน้าจะเหมือนกันขนาดนี้ใช่ไหม
ขณะที่เยี่ยหวันหวั่นกำลังคิดอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นว่า “คุณหนูเนี่ย ปาฐกถาของประธานสภายังไม่จบ คุณโปรดรอสักครู่นะครับ”
“ได้”
ดังนั้น เยี่ยหวันหวั่นจึงหาที่นั่งด้านหลังสักที่แล้วนั่งลง ฟังปาฐกถาของประธานอี้ ถึงยังไงก็เป็นโอกาสที่หาได้ยาก
ชื่อเสียงของอี้หลิงจวินนั้นโด่งดังมาก ในรัฐอิสระไม่มีใครไม่รู้จัก เยี่ยหวันหวั่นเองก็เป็นเช่นเดียวกัน
มองเห็นเพียงว่าผู้ชายที่อยู่เวทีอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ ผมยาวสีดำขลับมัดรวบไว้ที่ท้ายทอยอย่างลวกๆ บนร่างสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวขลิบริมเงิน ท่าทางสง่างามเหมือนเซียน
สมกับที่เป็นยอดปรมาจารย์ของสิบสองเขตรัฐอิสระ มีราศีของคนใหญ่คนโตจริงๆ
“เส้นทางวรยุทธ์ ถึงแม้ทักษะจะมีสูงมีต่ำ แต่สิ่งเดียวที่ไม่แปรเปลี่ยนคือคุณธรรม อันสิ่งที่เรียกว่าวิทยายุทธ์ คุณธรรมมาเป็นอันดับหนึ่ง ต่อให้เชิงยุทธ์จะสูงต่ำเช่นไร แต่ถ้าพร่องคุณธรรมไป ก็ไม่มีทางได้ดีทั้งนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ยิ่งควรฝึกจิต เรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาดคือการแข่งขันชิงชัย…”
บนเวที ปาฐกถาของอี้หลิงจวินได้รับความเลื่อมใสจากคนทั้งหลาย แม้แต่เยี่ยหวันหวั่นก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของตัวเองได้รับการยกระดับแล้ว และนึกละอายใจกับความอยากแข่งขันเอาชนะของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา
ในเวลาเดียวกันนี้ เยี่ยหวันหวั่นมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องแล้ว
ผู้ชายที่อยู่บนเวทีคนนี้ ไม่มีทางใช่เฒ่าประหลาดเฮ่อเหลียนเจวี๋ยที่ชาวรัฐอิสระชวนชิงชังคนนั้นแน่นอน!
ถึงแม้เชิงยุทธ์ของเฮ่อเหลียนเจวี๋ยจะสูงส่ง แต่ด้านคุณธรรมและอุปนิสัยกลับเลวร้ายเกินไปจริงๆ
ในความทรงจำของเยี่ยหวันหวั่น เจ้าหมอนั่นชั่วร้ายจนทำให้คนอื่นอย่าจะอัดเขาให้น่วมลงไปกองกับพื้น แต่น่าเสียดาย ที่ไม่มีใครมีฝีมือถึงขั้นที่จะอัดเขาให้น่วมได้
หลังจากจบการบรรยาย เยี่ยหวันหวั่นก็ตามหนุ่มสาวทั้งสองไปที่ด้านหลังเวที
ผ่านไปครู่หนึ่ง อี้หลิงจวินก็ค่อยๆ เดินเข้ามาทางหลังเวที
“ประธานสภาครับ” เมื่อเห็นอี้หลิงจวิน สองหนุ่มสาวก็ก้าวเข้าไปหาทันที
“คนนี้ก็คือคุณหนูเนี่ยอู๋โยวจากเมืองอวิ๋นสินะ” สายตาของอี้หลิงจวินเคลื่อนไปที่ร่างของเยี่ยหวันหวั่น
ถึงแม้รอบกายของชายคนนั้นจะมีรัศมีกดดันของยอดยุทธ์ แต่กลับไม่ข่มขวัญคนเลย ไม่ทำให้คนรู้สึกถึงความกดดันจนเกินไป
“ใช่ครับ พวกเราไปเชิญตัวคุณหนูเนี่ยมาแล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเอ่ยรายงาน
เวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นมองไปที่อี้หลิงจวิน มองประเมินเขาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นมา “สวัสดีค่ะประธานอี้…เรื่องนั้น ไม่ทราบว่าขอถือวิสาสะถามคุณสักเรื่องได้ไหมคะ…”
หลิงอี้จวินพยักหน้า “แน่นอน คุณหนูเนี่ยอยากถามอะไรล่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นอยากรู้เกินไปแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงทนไม่ไหวถามออกไปว่า “ไม่รู้ว่า…คุณมีพี่น้องฝาแฝดอะไรแบบนั้นไหมคะ”
อี้หลิงจวินฟังคำถามนี้แล้ว สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด เยี่ยหวันหวั่นมองไม่เห็นพิรุธใดๆ เลย “ไม่มี ทำไมคุณหนูเนี่ยถามแบบนี้ล่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นส่ายหน้า กดข้อสงสัยในใจลงไป “ไม่มีอะไรค่ะ ไม่ทราบว่าประธานอี้เชิญฉันมา มีธุระอะไรเหรอคะ”
“ฉันได้ยินมาว่า เธอสร้างคลื่นลมในเมืองอวิ๋นไม่น้อยเลย แถมยังบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและข้อบังคับของรัฐอิสระด้วย ใช่ไหม” อี้หลิงจวินเอ่ยพลางจ้องมองเยี่ยหวันหวั่น
เยี่ยหวันหวั่นได้ยินแล้วก็ตะลึงไปแวบหนึ่ง
สุดท้ายเยี่ยหวันหวั่นจึงพยักหน้าแล้วตอบไปว่า “ใช่ค่ะ หรือประธานอี้ไม่คิดว่า กฎระเบียบและข้อบังคับของรัฐอิสระนั้นล้าหลังเกินไปเหรอคะ”
“กฎระเบียบและข้อบังคับบางอย่างของรัฐอิสระ เป็นสิ่งที่ตกทอดกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันนี้ ใช่สิ่งที่พวกเธอบอกว่าอยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เลยที่ไหนกัน” อี้หลิงจวินเอ่ยอย่างเฉยเมย
“ฉันไม่คิดแบบนี้นะคะ มีข้อหนึ่งที่ระบุไว้ว่า ชาวรัฐอิสระห้ามแต่งงานกับคนนอก อ้างอิงจากอะไรกันคะ เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงาน จะตัดสินใจเองก็ผิดงั้นเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“นี่คือกฎระเบียบที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ พวกเราก็ต้องเคารพ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเพราะคนแค่คนเดียวได้” อี้หลิงจวินตอบ
“ต่อให้มันไม่สมเหตุสมผลน่ะเหรอคะ”
—————————————————————————————
บทที่ 2280 เป็นคนรู้จักแบบไหนเหรอ
โลกสมัยนี้เปิดกว้างถึงขั้นนี้แล้ว แต่รัฐอิสระกลับเอาแต่ย่ำอยู่แบบนี้ ปิดกั้นประเทศ ถึงขั้นที่ทำลายธรรมชาติของมนุษย์ด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องล่มสลายแน่
“ที่มีอยู่ก็สมเหตุสมผลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือรัฐอิสระมีความเป็นเอกลักษณ์ กฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษดำเนินกันมานานขนาดนี้ จะต้องมีเหตุผลในตัวมันเอง”
ไม่เสียทีที่เป็นสุดยอดปรมาจารย์ ทักษะการอภิปรายไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถสู้ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นคือเยี่ยหวันหวั่นก็ไม่คิดหรอกว่าตัวเองพูดแค่ไม่กี่ประโยคแล้วจะโน้มน้าวประธานสภาตุลาการได้
ดังนั้นเยี่ยหวันหวั่นจึงไม่พูดจาไร้สาระอีกต่อไป “ดังนั้น วันนี้ที่ประธานอี้ส่งคนไปพาฉันมา เพราะแค่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับฉันเหรอคะ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ตามฉันมาสิ” พออี้หลิงจวินพูดจบ ก็เดินนำหน้าออกไป
เยี่ยหวันหวั่นมึนงงเหมือนน้ำเข้าสมอง ไม่รู้เหมือนกันว่าอี้หลิงจวินมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เพียงแต่ ชาวบ้านเขาเป็นถึงประธานสภาตุลาการผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ครองอำนาจสูงสุดของสิบสองเขตรัฐอิสระ ถ้าประสงค์ร้ายกับเธอจริงๆ แค่ออกคำสั่งเป็นการส่วนตัวก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ซับซ้อนแบบนี้เลย
ดังนั้นเยี่ยหวันหวั่นจึงไม่คิดมาก เดินตามไปทันที
จากนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็เดินทางไปยังบ้านพักส่วนตัวของอี้หลิงจวินด้วยรถยนต์
“เข้ามาสิ”
หลังลงจากรถ เยี่ยหวันหวั่นตามอี้หลิงจวินเข้าไปในบ้าน หลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว อี้หลิงจวินก็ให้หนุ่มสาวคู่นั้นกลับไป ชั่วพริบตานั้น ภายในบ้านจึงเหลือแค่เยี่ยหวันหวั่นกับอี้หลิงจวินสองคน
“ประธานอี้ มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะค่ะ!” เยี่ยหวันหวั่นเปิดประเด็นแล้ว เธอนึกไม่ออกเลยจริงๆ อีกฝ่ายที่มีฐานะแบบนี้จะเรียกเธอมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวด้วยเรื่องอะไร
อี้หลิงจวินรินน้ำชาให้เยี่ยหวันหวั่นถ้วยหนึ่งอย่างไม่อนาทรร้อนใจ จากนั้นก็มองเธออย่างลุ่มลึกมีนัยยะแวบหนึ่ง “คุณหนูเนี่ย ก่อนหน้านี้ที่คุณถามผมว่ามีฝาแฝดไหม มันยังไงกันครับ”
เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่ปิดบังเช่นกัน ตอบไปตามตรง “เพราะประธานอี้เหมือนใครคนนึงที่ฉันรู้จักมากเลยค่ะ ไม่สิ…เหมือนสุดๆ เลย แทบจะทุกอย่างเลย นอกเหนือจากสีผมแล้ว ดังนั้นฉันถึงได้ถือวิสาสะถามคุณ…”
“โอ้ งั้นเหรอ เป็นคนรู้จักแบบไหนเหรอ” อี้หลิงจวินถามอย่างคล้ายจะไม่ใส่ใจ
เยี่ยหวันหวั่นคิดเล็กน้อย “จะอธิบายยังไงดี เขาเป็นคนหนึ่งที่…วอนหาเรื่องมาก ถ้าไม่ใช่เพราะวรยุทธ์ของเขาสูงส่งจนสู้ไม่ไหว ฉันว่ายอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ในรัฐอิสระคงอยากจะอัดเขาสักตั้งกันทั้งนั้น สรุปคือแตกต่างกับปรมาจารย์ผู้ทรงคุณธรรมอย่างประธานอี้อย่างสิ้นเชิงเลย!”
อี้หลิงจวินมองเธอ แล้วเอ่ยถามต่อ “เป็นคนที่สำคัญมากสำหรับคุณหนูเนี่ยงั้นเหรอ”
เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกหลอนไปเองไหม ตอนที่ถามคำถามนี้ดูคล้ายว่าอี้หลิงจวินจะจริงจังมาก และใส่ใจกับคำตอบมาก
เพียงแต่เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่ได้สนใจมาก ตอบส่งๆ ไปประโยคหนึ่งว่า “บอกไม่ได้หรอกค่ะว่าสำคัญไหม ไม่คุ้นเคยกัน”
ตอนนั้นเฮ่อเหลียนเจวี๋ยคล้ายมีเรื่องอะไรบางอย่าง จึงปรากฏตัวไม่บ่อยนัก แต่ละครั้งที่โผล่มาก็มักจะพาเธอไปดูเขาตีกับชาวบ้าน แถมยังต้องการฟังคำวิจารณ์ของเธออีก…
“ไม่คุ้นเคย…” อี้หลิงจวินฟังคำตอบของเยี่ยหวันหวั่นแล้ว ใบหน้าแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง มือที่กุมถ้วยน้ำชาเอาไว้สั่นระริกเล็กน้อย
“เอ่อ…ประธานอี้คะ…คุณเป็นอะไรรึเปล่า” เยี่ยหวันหวั่นเห็นปฏิกิริยาของอี้หลิงจวินแล้วแปลกใจอยู่บ้าง
เธอพูดอะไรผิดไปรึเปล่า
ในเวลานี้ อี้หลิงจวินจ้องเธอตาเขม็ง แววตานั้นตัดพ้อและขุ่นเคือง ราวกับเธอทำเรื่องผิดมหันต์อะไรลงไป
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน…
—————————————————————————————