แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี - บทที่ 711 เสแสร้งให้ใครดู / บทที่ 712 คิดว่าตัวเองเป็นใคร
บทที่ 711 เสแสร้งให้ใครดู
เยี่ยมู่ฝานรำพึงรำพันในใจ เยี่ยหวันหวั่นเปิดลิ้นชัก เอากล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีดำใบหนึ่งออกมาส่งให้เขา
“เกือบลืมไปเลย เอาให้พี่นะ ยินดีด้วยที่ได้รางวัล!”
“หึๆ ยังมีของขวัญอีก! เขินเหมือนกันนะเนี่ย!” แม้เยี่ยมู่ฝานจะพูดแบบนี้ แต่ก็เข้าไปรับอย่างรวดเร็วมาก
เขาเปิดออกดู เป็นนาฬิกาปาเต็ก ฟิลิปป์เรือนหนึ่ง ทั้งยังเป็นรุ่นพิเศษลิมิเต็ดอิดิชัน
เยี่ยมู่ฝานเห็นในลิ้นชักเธอยังมีอีกกล่อง จึงถามว่า “เธอซื้อสองเรือนเหรอ”
“เดือนหน้าเป็นวันเกิดพ่อ พี่ลืมแล้วเหรอ?”
“อ้อๆ ใช่ แต่นาฬิกาแพงๆ แบบนี้ นิสัยอย่างพ่อต้องไม่เอาแน่…”
“ก็โกหกพ่อว่าเป็นของปลอม ซื้อมาราคาสองร้อยหยวนสิ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยอย่างไม่สนใจ
เยี่ยมู่ฝานได้ยินก็หมดคำพูด “เหอะ เธอคิดว่าพ่อเราแม้แต่ของปลอมก็ยังมองไม่ออกเหรอ?”
เยี่ยหวันหวั่นเลิกคิ้ว “จะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครพูด”
เยี่ยมู่ฝานเบ้ปาก “ใช่ๆๆ ลูกสาวสุดที่รักพูดอะไรก็เชื่อหมด!”
“จริงสิ คืนนี้เธอจะไปงานแฟชั่นอวอร์ดไหม?” เยี่ยมู่ฝานถามอย่างสนใจ
หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ตอนนี้ไม่ว่าเยี่ยมู่ฝานจะทำอะไรก็ไม่ทำตัวเด่น งานแฟชั่นอวอร์ดที่สมาคมแฟชั่นเป็นเจ้าภาพในคืนนี้ จะเป็นการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกในฐานะรองประธานสมาคมแฟชั่นกับคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของเขา
“ฉันมีเรื่องที่ต้องจัดการ คงจะไปช้าหน่อย คืนนี้เป็นงานหลักของพี่ เดี๋ยวฉันจะแวะไปหา พี่ดื่มน้อยๆ ขับรถระวังๆ ล่ะ” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มบอก
ก่อนหน้านี้จะมากจะน้อยเธอต้องจับตาดูทางเยี่ยมู่ฝานไว้บ้าง ตอนนี้วางใจให้เขาจัดการเองได้แล้ว ในด้านการพบปะทางสังคม คนมีประสบการณ์อย่างเยี่ยมู่ฝานเชี่ยวกว่าเธอเยอะ
“ตกลงตามนี้ คืนนี้ฉันจะไปเอง เธอต้องมาด้วยล่ะ…” เยี่ยมู่ฝานกำชับอีกรอบ
ไม่อย่างนั้นเขาจะวางมาดให้ใครดู!
อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงตอนนี้แล้ว
ก่อนจะไป หางตาของเยี่ยมู่ฝานตกอยู่บนเอกสารปึกหนึ่งใกล้มือของเยี่ยหวันหวั่น ตรงมุมที่โผล่มาคล้ายกับโลโก้ของซือกรุ๊ป…
หวันหวั่นทำไมถึงมีข้อมูลเอกสารของซือกรุ๊ปได้?
เยี่ยมู่ฝานเกาศีรษะ ถือว่าตัวเองตาลาย ไม่ได้คิดมากอะไร เดินฮัมเพลงออกไปอย่างมีความสุข
หลังจากเยี่ยมู่ฝานออกไปแล้ว เยี่ยหวันหวั่นอ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องของซือกรุ๊ปต่อ
ก่อนจะเกิดใหม่ เธอใช้เวลาทั้งหมดกับการตัดพ้อโชคชะตา โทษคนอื่น และการกลับไปหากู้เยว่เจ๋อ หลังจากเกิดใหม่ เธอก็ไม่ได้ใช้เวลาทุกวินาทีอย่างสูญเปล่า แต่ดูดซับความรู้ทั้งหมดอย่างบ้าคลั่งราวกับฟองน้ำ
นอกจากสาขาวิชาที่เกี่ยวกับวงการบันเทิง เวลาอื่นเธอใช้ไปกับการศึกษาซือกรุ๊ป
ลูกหลานตระกูลซือกระจายไปทั่วทั้งโลก บริษัทลูกในสังกัดก็มีอยู่มากมาย เกี่ยวพันถึงอสังหาริมทรัพย์ ผับบาร์ เครื่องเพชร เครื่องประดับ เครื่องหยก วัตถุโบราณ เสื้อผ้า โทรศัพท์ แค่เธอจัดระเบียบความเกี่ยวข้องทั้งหมดก็กินเวลาหลายเดือนแล้ว
แต่ว่าของพวกนี้ก็ซับซ้อนจริงๆ ต่อให้เป็นพนักงานส่วนในที่อยู่ซือกรุ๊ปมาหลายปีก็ไม่มีทางเข้าใจได้ทั้งหมด เธอดูดซับและย่อยข้อมูลจำนวนมากขนาดนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
ขั้นรวบรวมข้อมูลที่เป็นก้าวแรกสำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือลงมือทำ
คิดจะทำให้คนยอมรับนับถือ ไม่ใช่แค่มีกลยุทธ์บนหน้ากระดาษแล้วจะทำได้…
ช่วงนี้ฉินรั่วซีย่อมไม่มีเวลาว่าง ระหว่างที่ซือเยี่ยหานรักษาตัวก็เจรจาธุรกิจสำเร็จไปหลายครั้ง ใช้วิธีการต่างๆ ซื้อใจคน
จะโทษที่ทุกคนคิดว่าตำแหน่งของฉินรั่วซีไม่มีใครมาแทนที่ได้ก็ไม่ได้อีก
เหอะ เธอจะทำให้คนพวกนั้นรู้เองว่า อะไรคือของจริง ไม่มีใครแทนที่ได้…
———————————————————-
บทที่ 712 คิดว่าตัวเองเป็นใคร
จวี๋ซิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ทุกคนกำลังรุมล้อมแสดงความยินดีกับเหอจวิ้นเฉิงอย่างเอาใจ
“ผู้อำนวยการเหอ ยินดีด้วยๆ!”
“ความสามารถพิสูจน์ทุกอย่างจริงๆ คนบ้านนอกไร้ฝีมือพวกนั้น ตัวเองไม่เข้าใจแฟชั่นแท้ๆ ยังบอกว่าพวกเราเป็นเจียงหลางหมดความสามารถ[1]อีก”
“แน่นอนอยู่แล้ว รางวัลไป๋ฮวาแข่งขันดุเดือดขนาดไหน? แม้แต่เชเซลของหวงเทียนก็ยังไม่ติดเลย!”
ละครร่วมสมัยที่เหอจวิ้นเฉิงมีส่วนร่วมเพิ่งได้เข้าชิงงานประกาศรางวัลไป๋ฮวา ถึงจะได้แค่เข้าชิง สุดท้ายไม่ได้รางวัล แต่ในฐานะรางวัลละครโทรทัศน์ที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในประเทศ คนที่เข้าชิงได้ต่างเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดทั้งนั้น
ไม่นานมานี้สไตล์การออกแบบของเขาเกิดข้อผิดพลาดหลายครั้ง ข่าวลือคำครหาจากด้านนอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดีที่งานรับรางวัลนี้ได้พิสูจน์ความสามารถของเขา จึงลบเสียงครหาที่บอกว่าความสามารถเขาถดถอยลงไปได้
ละครร่วมสมัยที่ได้เข้าชิงรางวัลไป๋ฮวาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับช่วงต่อก่อนเยี่ยมู่ฝานจะออกไป ในตอนนั้นเสร็จไปแค่ครึ่งเดียว เดิมทีเขาโน้มน้าวให้อีกฝ่ายกลับมาทำงานต่อ แต่เจ้าตัวไร้ประโยชน์นั่นไม่รู้จักชั่วดี เขาจึงได้แต่สร้างทีมเฉพาะกิจขึ้นมาคิดสไตล์ที่เหลือให้เสร็จ
ยังดีที่ประสบการณ์สองปีมานี้ทำให้เขายืนหยัดในวงการแฟชั่นได้มั่นคงพอ ต่อให้กินบุญเก่าก็ยังมีเหลือเฟือ
“เฮ้อ เสียดายที่อยู่ๆ เรื่อง Prosperous Dynasty ก็โผล่มา ไม่งั้นคนที่จะได้รับรางวัลครั้งนี้ต้องเป็นผอ.ของพวกเราแน่!”
ในกลุ่มคนมีคนพูดขึ้นมาอย่างเสียดาย
แต่ก็มีคนพูดกับเหอจวิ้นเฉิงด้วยท่าทีประจบประแจงว่า “ทำยังไงได้ เรื่อง Prosperous Dynasty เป็นผลงานใหญ่ที่ทั่วโลกมาลงทุน เราเทียบทรัพยากรกับเงินลงทุกของพวกเขาไม่ได้อยู่แล้ว สไตลิสต์ที่ได้รางวัลแค่มาถูกที่ถูกเวลา จะต้องมีท่านเทพสักคนใช้เส้นสายแน่ การได้รางวัลของพวกเขาพูดได้ว่าสมเหตุสมผล ผู้อำนวยการเหอของเราใช้เล็กงัดใหญ่ นั่นต่างหากม้ามืดที่แท้จริง!”
“ถูกต้องๆ! ได้ยินมาว่ามู่เหวินชิงประธานสมาคมแฟชั่นเอ่ยปากชวนผู้อำนวยการเหอไปร่วมงานแฟชั่นอวอร์ดด้วยตัวเอง แถมครั้งก่อนยังชมผลงานของผู้อำนวยการเหอต่อหน้านักข่าวด้วย!”
พอพูดถึงเรื่อง Prosperous Dynasty ที่ชนะเขาได้ในครั้งนี้ เหอจวิ้นเฉิงย่อมรู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าการแพ้ให้กับคู่แข่งแบบนั้น สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้า แต่ถือเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง
ขณะฟังเสียงประจบรอบๆ เหอจวิ้นเฉิงรู้สึกตัวลอย “ที่ได้ไปอยู่ในสายตาของประธานมู่เป็นเพราะโชคดีเท่านั้นแหละ!”
ทุกคนรีบร้อนสอพลอต่อ “ผอ.เหอถ่อมตัวเกินไป คุณใช้รางวัลน้อยใหญ่ในสองปีมานี้ปั้นศิลปินได้เยอะแยะ จะอาศัยแค่โชคได้ยังไง คุณเดินทางมาถึงตำแหน่งในวันนี้ได้ นั่นเป็นเพราะความสามารถแน่นอน!”
เหอจวิ้นเฉิงรับคำเยินยอจากผู้คนเสร็จแล้ว ก็ขับรถไปรับเฉินเมิ่งฉีอย่างเบิกบานใจ
บนรถ เหอจวิ้นเฉิงที่ทั้งตัวเป็นของแบรนด์เนมมีสีหน้าภูมิใจ “เมิ่งฉี เป็นไงบ้าง? บอกแล้วไงว่าไม่มีปัญหาหรอก! เจ้าเด็กนั่นคิดว่าตัวเองเป็นใคร คิดว่าแน่มากงั้นเหรอ!”
แม้สีหน้าของเฉินเมิ่งฉีจะอ่อนโยนลงไม่น้อย แต่ก็ยังคงมีความไม่สบายใจและความหงุดหงิดอยู่ “ชุดไปงานแฟชั่นวีคระดับนานาชาติที่ฉันจะไปเดือนหน้าจะทำยังไง ให้พึ่งคุณเหรอ?”
เหอจวิ้นเฉิงตาเป็นประกาย “ฉันวางแผนไว้แล้ว งานแฟชั่นอวอร์ดคืนนี้ รองประธานเฟลิกซ์ที่เพิ่งรับตำแหน่งจะมา ถึงตอนนั้นพวกเราเตรียมของขวัญไปสานสัมพันธ์สักหน่อย แล้วนัดเขาออกมาคุย ขอให้เขาทำเสื้อผ้าให้คุณก็พอแล้วนี่!”
เฉินเมิ่งฉีกลอกตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ “เขาคือสไตลิสต์มือทองของโลก เป็นแขกของมู่เหวินชิง และเป็นรองประธานสมาคมแฟชั่น จะเชิญมาได้ง่ายๆ ได้ยังไง!”
…………………………………………………………
[1] เจียงหลางหมดความสามารถ สุภาษิตจีน หมายถึงคนที่มีความสามารถแต่ไม่ยอมใฝ่รู้ จึงติดอยู่ที่เดิม