แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 10 ความเป็นไปได้ของเพลิงอัคคี
เสวียนหั่วมองไปยังงูสีแดงตรงหน้า เป็นงูจริงๆด้วย
และเพราะถูกเสวียนหั่วจับจ้อง เอ๋าเลี่ยจึงรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เจ้ามนุษย์หน้าโง่จะจ้องข้าทำไมกัน
“เจ้ามองอะไรนักหนา หากมองอีกข้าจะเผาเจ้าแล้วนะ” เอ๋าเลี่ยหัวเสีย เขาไม่ใช่สัตว์โชว์ชั้นต่ำพวกนั้นหรอกนะ
“อารมณ์ร้ายจริงๆ” เสวียนหั่วเลิกคิ้ว หลิวหลีปิดหน้า อยากกินซุปงูจังทำอย่างไรดี
“ให้นังหนูออกไป” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจแล้วบอกเสวียนหั่ว
“หลิวหลี เจ้าออกไปหอตำราดูสิว่ามีวิชาที่เจ้าสนใจหรือไม่ นกกระเรียนกระดาษนี่จะนำทางเจ้าไป ส่วนเจ้างูน้อยตัวนี้อาจารย์ขอไว้ตรวจดูสักหน่อย ไม่แน่พอเจ้ากลับมาอาจจะรู้เรื่องอะไร” เสวียนหั่วตอบกลับ
“เจ้าค่ะ อาจารย์” หลิวหลีพยักหน้า อาจารย์อยู่มานับพันปีต้องจัดการได้แน่นอน นางจึงไปกับนกกระเรียนกระดาษอย่างสบายใจ
“ตาแก่พันปี เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” เอ๋าเลี่ยที่ได้ยินเสียงในใจหลิวหลีได้เพราะพันธสัญญาที่เท่าเทียมจึงคุกคาม
“เหมือนกันนั่นแหละ” เสวียนหั่วเลิกคิ้วตอบ “ถ้าข้าดูไม่ผิด เจ้าน่าจะเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่เช่นกันไม่ใช่หรือ?”
“เฮ้อ ข้าโชคไม่ดีนัก โดนมนุษย์โง่เง่าผูกพันธสัญญาด้วย” เอ๋าเลี่ยโอดครวญในเรื่องที่ซวย
“เจ้าควรรู้จักพอใจในสิ่งที่มี ศิษย์ข้าเป็นร่างเพลิงสุริยา เป็นร่างวิญญาณอัคคีแต่กำเนิด ตอนนี้เพิ่งหกขวบ แต่บำเพ็ญเพียรไปจนถึงช่วงฝึกฝนลมปราณขั้นที่ 8 แล้ว อนาคตภายภาคหน้าไม่อาจประเมินค่าได้เลย” เสวียนหั่วแก้ต่างแทนศิษย์
“ศิษย์ตัวน้อยของเจ้า นางมีสถานะไม่ธรรมดาสินะ” พลันนึกถึงพันธสัญญาที่รู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษ
เสวียนหั่วเลิกคิ้ว หากเขาจำไม่ผิด สถานะของนางออกจะต่ำต้อยหรือจะมีอะไรแอบแฝง
“เจ้ารู้จักอสูรเทพทั้งห้าเผ่าหรือไม่” เอ๋าเลี่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ห้าเผ่าอสูรเทพที่ปกครองโลกอสูรเทพ นี่ออกจะไกลไปหน่อยกระมัง” เสวียนหั่วเคยได้ยินเรื่องเผ่าอสูรเทพมาบ้าง ดังนั้นที่สถานะสกุลในเผ่าสูงส่งก็เพราะในตอนอายุครบ 15 ต้องไปออกไปที่แดนอสูรเทพเพื่อเสาะหาอสูรภูตที่ชะตาต้องกัน หลังจากนั้น จะตัดสินทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรตามอสูรเทพที่ทำพันธสัญญาด้วย
“สกุลหลงแห่งเผ่ามังกร สกุลฮัวแห่งเผ่าเสือ สกุลหนานกงแห่งเผ่าหงส์ สกุลหลินแห่งเผ่าเต่านิล สกุลจ้านแห่งเผ่ากิเลน ทั้งห้าเผ่า โด่งดังเพราะทำพันธสัญญากับอสูรเทพบรรพกาล และยังดองกับหลายเผ่าในโลกมารด้วย”
ในใจเสวียนหั่วปั่นป่วน คงจะเป็น มังกรมรกต เสือขาว หงส์เพลิง เต่านิลและกิเลน
“คู่พันธสัญญาของข้าน่าจะเป็นสายเลือดโดยตรงที่เร่ร่อนในโลกภายนอกของสกุลหลง” เอ๋าเลี่ยชะงัก ที่กล่าวว่าเป็นสายเลือดโดยตรงเพราะความเข้มข้นทางสายเลือดค่อนข้างสูง เข้ากับเผ่ามังกรได้ง่ายที่สุด และที่สำคัญคือตัวเขาเองเป็นอสูรเทพกลายพันธุ์ หากความเข้มข้นไม่เข้ากันจะผูกพันธสัญญากับเขาไม่ได้
“สายเลือดโดยตรงของสกุลหลง” เสวียนหั่วกัดฟันพูดสี่คำนี้ออกมา หรือว่าตัวตนของศิษย์ตัวน้อยจะมีปัญหา
“ตัวข้าคือเอ๋าเลี่ยแห่งเผ่ามังกร” เอ๋าเลี่ยกล่าว
เอ๋าเลี่ย เป็นเผ่ามังกรบรรพกาลที่กลายพันธุ์ เป็นอสูรเทพมังกรโลหิตระดับสุดยอด ตอนเกิดถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอสูรเทพมังกรแดงชั้นล่าง กระทั่งเขาถูกกระตุ้นความทรงจำในการบำเพ็ญเพียรในสายเลือด จนกลายเป็นเทพสงครามไร้พ่ายแห่งเผ่ามังกร ในเผ่าถึงได้รู้ว่าเอ๋าเลี่ยเป็นอสูรเทพกลายพันธุ์ระดับสุดยอด แต่เอ๋าเลี่ยหัยหลังให้เผ่า ต่อมาจึงเลือกจะเดินสายบำเพ็ญเพียร แต่เหตุใดถึงมาโผล่ที่นี่และกลายเป็นงู
“ข้าบรรลุช่วงมหายาน เหลือเพียงเล็กน้อยจะบรรลุเซียน ทว่าผ่านไปพันปีข้าก็ไม่บรรลุช่วงสักที ต่อมาข้าพบว่าชะตาของตนเองได้เกี่ยวพันกับสกุลหลง จำเป็นต้องผูกพันธสัญญากับคนในสกุลหลง เพื่อผ่านเคราะห์กรรม จึงจะมีหวังจะบรรลุเป็นเซียนได้ จะทำอย่างไรได้ ข้าจึงทำได้เพียงผนึกพลังบำเพ็ญเพียนของตนเอง เพื่อจะได้เข้าใกล้กับทายาทของสกุลหลงที่ชะตาอาจต้องกัน ใครจะรู้ โถ่” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจออกมา พอลืมตาขึ้นมาก็ถูกเหยียบจุดตาย อีกเพียงนิดเดียวข้าก็จะได้สมใจปรารถนาแล้ว ความชั่วร้ายเช่นนี้ใครจะทำได้ลงอีก
เสวียนหั่วลูบคาง ใครจะไปรู้ว่าจะโดนศิษย์ตนเองเหยียบโดนจุดตาย ทั้งยังโดนศิษย์ของเขาพลาดทำพันธสัญญาด้วย เฮ้อ…โชคชะตาเช่นนี้ก็คงไม่มีใครอีกแล้ว ช่างน่าสงสารตั้งแต่เด็กยันโตเสียจริง
“พูดเช่นนี้ ท่านเอ๋าเลี่ยอยากจะบำเพ็ญเพียรใหม่พร้อมกับศิษย์ข้าหรือ” เสวียนหั่วถาม
“ก็คงต้องอย่างนั้น นังหนูเพิ่งจะอยู่ในช่วงฝึกลมปราณ แล้วเมื่อใดจะได้บรรลุเซียนเล่า”
“ข้าว่าด้วยศิษย์ของข้ามีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเช่นนี้ ฝึกฝนไม่เกินพันปี หากไม่เกินความคาดหมายต้องบรรลุเป็นแน่” เสวียนหั่วรู้สึกว่าคุณสมบัติของศิษย์ตนนั้นน่าพึงพอใจ
“ก็อาจเป็นได้” เอ๋าเลี่ยคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา
“จากนี้ท่านก็ร่วมมือกับนางแล้วกัน จะต้องรู้ว่านางนิสัยไม่ดี
ให้ท่านร่วมมือกับศิษย์ข้าเถอะจะได้รู้ว่านางก็ใช้ได้ทีเดียว เป็นเด็กที่หาได้ยากนัก” เสวียนหั่วอดพูดแทนศิษย์ไม่ได้ เฮ้อ ใครใช้ให้คู่พันธสัญญาของศิษย์เขาโหดร้ายแบบนี้
“ข้าจะพยายามแล้วกัน” เอ๋าเลี่ยคิดสักครู่แล้วจึงตอบ
หลิวหลีที่ถูกนำทางไปหอเคล็ดวิชาก็เห็นห้องสมุดออกโบราณที่อยู่ตรงหน้า ใช่แล้วสำหรับนางแล้วหอเคล็ดวิชาไม่ได้ต่างอะไรไปจากห้องสมุด หลังจากผ่านการยืนยันตัวตนอย่างรวดเร็ว นางก็เดินเข้าไปอย่างมีความสุขและเลือกอ่านพัฒนาการของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงเปิดๆพวกพวกเคล็ดวิชาผ่านๆ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีเคล็ดวิชาใดที่เข้าตานางแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่านางหัวสูงตาถึง แต่เพราะไม่ถูกใจอันไหนเลยต่างหาก
หลิวหลีถอนหายใจ เฮ้อ ของถูกใจเหตุใดจึงหายากเช่นนี้ แล้วรื้อหาข้าวปั้นที่เหลืออยู่ในแหวนเก็บของออกมา ช่างน่าตกตะลึง นางหิวอีกแล้ว อยากจะต้มซุปงูเหลือเกิน เศร้าใจจัง
หลิวหลีจัดการอาหารอย่างรวดเร็ว เตรียมลุกออกจากมุม แต่ก็ไม่ทันระวังทำตำราหยกตกมา หลิวหลีรีบหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นก่อนจะวางกลับเดิม แต่พอหันหลังกลับเดินไปไม่กี่ก้าว เดี๋ยวนะ…นางจำได้ว่าตำราหยกทุกเล่มที่นางดูเมื่อครู่นี้สะอาดหมดจด แปลว่าตำราหยกเล่มนี้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจ เพราะเปรอะฝุ่น นางตบหน้าผาก ก่อนจะตัดสินใจหยิบมันมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางรีบกวาดตาอ่านเนื้อหาด้านในอย่างรวดเร็วแล้วใบหน้านางก็หน้าแดงก่ำ นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ดี
จะพูดอย่างไรดี เคล็ดวิชานี้ชื่อว่าคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ โดยมีเงื่อนไขแรกเลยคือจะต้องเป็นแกนวิญญาณอัคคี โดยเฉพาะเป็นร่างวิญญาณอัคคียิ่งเหมาะ และใช้เพลิงอัคคีในธรรมชาติเป็นเส้นลมปราณในร่างกาย เพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นร่างอัคคีบริสุทธิ์ ความแข็งแกร่งของร่างกายยิ่งกว่าเผ่ามังกร และยังปล่อยเพลิงอัคคีได้ไม่สิ้นสุด นี่มันของดีจริงๆ แต่ข้อเสียคือจะฝึกฝนจนสำเร็จง่ายดายขนาดนั้นไหมนะ ใจนางเต้นระรัว เมื่อลูบเคล็ดวิชาในมือ คิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไร พอนึกถึงเพลิงอัคคีขึ้นมา นางจึงไปหาตำรา ‘ตำราเพลิงอัคคี’ อ่านเพลิงอัคคีในธรรมชาติรวมไปถึงเงื่อนไขหากต้องหารพิชิตเพลิงอัคคี เฮ้อ…ยากเสียจริง
หลิวหลีคิดอยู่สักพักจึงตัดสินใจเก็บตำราหยก ระดับความยากเหมือนเปลี่ยนภูเขาไฟให้เป็นภูเขาน้ำแข็ง ไม่ง่ายเลยจริงๆ หลิวหลีวางตำราหยกในมือคืนไปบนชั้นวาง และชะงักนิ่งไป แต่สนใจจริงๆ ควรทำอย่างไรดี เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว นางจึงคัดลอกตำราหยกเอาไว้หนึ่งชุด ส่วนจะฝึกหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ต้องคัดลอกไว้ก่อน และยังคัดลอกตำราเพลิงอัคคีไปด้วยอีกชุด แล้วออกจากหอคัมภีร์ไปเช่นนั้นโดยไม่ทันเห็นหลิงเฟิงที่เดินสวนกัน
นางกลับไปที่ยอดเขาของอาจารย์ นางเพิ่งรู้ว่ายอดเขาแห่งนี้เรียกว่ายอดเขาปรุงยา อาจารย์ช่างเรียบง่ายนัก
“กลับมาแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ อาจารย์”
“เจ้าเจอเคล็ดวิชาที่สนใจหรือไม่”
หลิวหลีส่งตำราหยกที่คัดลอกแล้วให้อาจารย์ดู เสวียนหั่วกวาดตามองก็พบว่ามันคือตำราเพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณและตำราเพลิงอัคคี ศิษย์คนนี้ไม่เลวเลย ทีแรกเขาเองก็ถูกใจตำรานี้เช่นกัน เพียงแต่ระดับความยากของมัน ออกจะเกินเลยไปไม่น้อย
ศิษย์เอ๋ย เจ้าสนใจเพลิงอัคคีหรือ” เสวียนหั่วถาม ในสำนักก็มีเพลิงอัคคีชนิดหนึ่งเช่นกัน แต่ดูเหมือนร่างกายของนางจะรับไม่ไหว
“เจ้าค่ะ น่าสนใจ ข้าว่าน่าอัศจรรย์ใจนัก” นางตอบกลับ
“ในสำนักก็มีเพลิงอัคคีเช่นกัน ซึ่งเป็นเพลิงอัคคีม่วงที่จัดอยู่ในอันดับที่ 37 หากเจ้าอยากบรรลุช่วงพื้นฐาน เจ้าก็ลองดู” เสวียนหั่วตอบกลับ
อันดับที่ 37 ถือว่าอยู่อันดับต้น ๆ ใช้ได้ทีเดียว
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่รีบ ข้าคิดว่าสิ่งของตามธรรมชาติเช่นนี้คงรวบรัดเอาได้ยาก แถมพื้นฐานของข้ายังอ่อนด้อย เพลิงอัคคีไม่ใช่เรื่องที่ควรรีบร้อน” หลิวหลีส่ายหน้าพลางพูด
“ศิษย์ข้า เจ้าคิดได้เช่นนี้ อาจารย์ปลื้มใจนัก” ศิษย์ของเขารู้จักประมาตนเอง ไม่เลวเลย
“ศิษย์ข้า คู่พันธสัญญาของเจ้าไม่ธรรมดา แต่ข้าตกลงกับเขาแล้ว ตราบใดที่เจ้าไม่ตกอยู่ในอันตรายเขาก็จะไม่ยื่นมือมายุ่ง”
“ศิษย์เข้าใจ” หลิวหลีพยักหน้า
“จริงสิ ศิษย์ข้า ข้าได้คิดวิธีควบคุมพลังของเจ้าได้แล้ว ที่สำนักมีลานฝึกฝนแห่งหนึ่ง เจ้าเข้าไปอยู่ที่นั่นสักเดือน ให้คู่พันธสัญญาของเจ้าตามไปด้วย และข้าขอพูดคำเดิม หากไม่อันตรายถึงชีวิต จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง เจ้าจะได้ฝึกฝนพอดี”
“ศิษย์เข้าใจเจ้าค่ะ”
ณ ลานฝึกฝน หลิวหลีถือป้ายชื่อของตนและเดินเข้าไป
“ช่วยด้วย” หลิวหลีวิ่งหนี ด้านหลังมีหมูตัวหนึ่งวิ่งตามมา พูดให้ถูกก็คือ มันคือปีศาจหมูอสูรขั้นที่ 1 นางก็กินหมูมาไม่น้อย แต่หมูที่มีพลังและหนังหนาเช่นนี้ไม่ได้หาง่ายๆ หลิวหลีวิ่งไปพลางคิดไปพลาง ชีวิตคนเราก็ลำบากเช่นนี้แล เห็นทนโท่ว่าคืออาหารแต่กลับโดนวิ่งกวด พอนึกถึงอาหารสมองของนางก็ปลอดโปร่ง ถ้านำไปย่างดูเหมือนจะอร่อยทีเดียว เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้นางก็ปรับพลังเซียนในร่างกาย รวบรวมพลังเซียนอัคคีไว้ที่มือ ลูกไฟจะใหญ่เกินไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะสะดุดตาเกินไป ต้องบีบลูกเล็กแต่พลังหนาแน่น เพื่อจู่โจมให้ตายในครั้งเดียว หลิวหลีวิ่งพลางอัดลูกไฟในมือ ลูกไฟค่อยๆขยายออกเล็กน้อย แต่ร้อนระอุ นางโยนลูกไฟใส่อสูรตัวที่หมายตาอย่างรวดเร็ว แล้วเกิดเสียงดังระเบิดตู้ม นางหมุนตัวกลับไปดู ก็เห็นอสูรร้ายล้มลงไปกองกับพื้น นางหยุดพักหายใจพลันขึ้นได้ว่ากลิ่นเลือดอาจเรียกสัตว์ตัวอื่นมา จึงรีบเก็บซากมัน แล้วกัดฟันวิ่งหนีรวดเร็ว เพราะคำกล่าวโบราณที่กล่าวไว้ว่า ‘กลิ่นสัมผัสของอสูรช่างว่องไวนัก’
หลิวหลีนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังเซียนในร่างกาย นางรู้สึกว่าพลังเซียนของตนเองแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย เอาหมูปีศาจออกมา ในตอนที่นางใช้มือเปล่าฉีกขามันออก นางเศร้าใจเล็กน้อย ลืมไปว่าตนเองกลายเป็นสาวน้อยจอมพลังไปแล้ว นางสามารถฉีกร่างมันได้ด้วยมือเปล่า จบกันๆ คิดไปพลางก็ย่างหมูปีศาจไปพลาง คิดว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้คงทำได้แต่ปิ้งย่าง หลิวหลีเห็นท่าจะไม่ได้การล่ะ ครั้งหน้าห้ามลืมเอาอุปกรณ์มาด้วย จากนั้นก็กัดน่องหมูปีศาจอย่างดุดัน
เอ๋าเลี่ยมองสาวน้อยจอมพลังที่แสนดุร้ายก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กคนนี้ใจแคบหรือใจกว้างกันแน่นะ แต่เรื่องมีพรสวรรค์สูงส่งถือเป็นเรื่องจริง คิดถึงความสามารถของนางที่เห็นเมื่อครู่ จึงได้รู้ว่าลูกไฟขนาดเล็กที่อัดพลังเซียนนั้น อานุภาพร้ายแรงกว่าตัวมันมาก วันข้างหน้าคงไปได้ไกลทีเดียว เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าหัวใจของตนนั้นได้ถูกรักษาทีละน้อย เพียงแต่ว่าเอ๋าเลี่ยได้ยินเสียงประท้วงจากท้อง ที่เป็นสัญญาณความหิวโหย ดูเหมือนเด็กคนนี้ะมีพรสวรรค์ในการทำอาหารไม่น้อยทีเดียว
…………………………………………………………..