แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 104 ในระหว่างการเตรียมสินสอด
ณ บ้านสกุลหลง หลงเหวินเซวียนมองหนังสือเยี่ยมเยียนที่กองพะเนินอยู่ก็อดถอนหายใจไม่ได้
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น ถูกเทียบเยี่ยมเยียนพวกนี้ทำให้หนักใจสิท่า” หลงจิ่งอู๋จัดการธุระในมือของตัวเองเสร็จ ก็เห็นพ่อของตัวเองนั่งถอนหายใจอยู่ตรงนั้น
“จิ่งอู๋เองหรือ หนังสือเยี่ยมเยียนพวกนี้ทำให้พ่อหนักใจจริง ๆ เจ้ามาดูสิ บางอันจะมาขอพบหลานสาวเจ้าโดยตรงเลย บางอันบอกจะมาพบข้าแต่ที่จริงอยากมาเจอหลิวหลี ทั้งที่หลิวหลีกลับมาก็เอาแต่ปิดประตูไม่รับแขก” หลงเหวินเซวียนคิดไม่ถึงเลยว่าหลานสาวของตัวเองจะมีชื่อเสียงมากขนาดนี้ ธรณีประตูของบ้านสกุลหลงโดนเหยียบจนเกือบจะพังแล้ว
“ฮ่าๆ ท่านพ่อ นี่ถือเป็นเรื่องดี” หลงจิ่งอู๋รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี
“เป็นเรื่องดีหรือ แต่ว่าทุกคนล้วนมาเยี่ยมเยียนหลิวหลี นังหนูบอกว่าถ้ายังปรุงยาที่จะเอาไปเป็นสินสอดไม่เสร็จก็จะไม่ออกจากฌาน” นึกถึงคำพูดของหลิวหลี พวกเขายังไม่ทันบอกว่าไม่ต้องรีบหรอก หลิวหลีก็แขวนป้ายเข้าฌานไว้หน้าประตูแล้ว
“ฮ่าๆ สินสอดหรือ ท่านพ่อ ข้าขอถามหน่อยสิว่าเรื่องค่าสินสอดนี่เป็นมาอย่างไร” หลงจิ่งอู๋ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้
หลงเหวินเซวียนเล่าเรื่องที่ว่าทำไมถึงเป็นฝ่ายให้สินสอด แล้วก็เรื่องที่หลิวหลีไปทดสอบวัดระดับนักปรุงยาระดับ 7 เพื่อสินสอดด้วย
“ท่านพ่อ ก็หมายความว่าเจ้าสามเคยไปหอเทียนจีเก๋อเพื่อทำนายดวงชะตานังหนูมางั้นหรือ ถึงรู้ว่าชะตาของนังหนูจะได้เป็นคนไปสู่ขอ” หลงจิ่งอู๋กัดฟันกรอด แม้แต่พี่ใหญ่ก็ยังปิดบัง ตาสามคงใช้ชีวิตสุขสบายมากสินะถึงได้มีเวลาไปหอเทียนจีเก๋อ
“เป็นอย่างนั้น” หลงเหวินเซวียนพยักหน้า อย่ามองแค่ว่าตอนนี้เขาดูสบายอกสบายใจ ตอนนั้นก็ลุ้นเสียจนแทบดึงหนวดหลุด เพียงแต่สายตาของทุกคนไม่ได้จับจ้องมาที่เขา เขาจึงไม่รู้สึกอึดอัดใจ
“คู่สวรรค์สร้าง มังกรหงส์คู่เสริมมงคล เป็นคำนายที่ดีมาก” หลงจิ่งอู๋นั่งลงที่ตำแหน่งด้านล่างพ่อแล้วคุยกันต่อ
“ใช่สิ เจ้าไม่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของหนานกงชางฉยง ช่างคำทำนายที่ดีเสียจริง น่าเสียดาย มังกรหงส์ มังกรหงส์ มังกรอยู่ข้างหน้าไง” หลงเหวินเซวียนพูดอย่างได้ใจ ระบายอารมณ์ได้ดีนัก ตอนนั้นเขาเองก็ทำใจให้หลานสาวแต่งออกไปไม่ได้จริงๆ สู่ขอลูกเขยกลับมาก็ประจวบเหมาะดี โดยเฉพาะสีหน้าปวดใจแล้วฝืนยิ้มเพื่อส่งแขกในตอนสุดท้ายของหนานกงชางฉยง ช่างเป็นฉากที่งดงามเสียจริง
“ท่านพ่อ ที่สำคัญเลยทำไมลากมาถึงเรื่องสินสอดได้ล่ะ” หลงจิ่งอู๋ถามตรงประเด็นสำคัญ เรื่องค่าสินสอดนี้มันเริ่มมาอย่างไร ช่างน่าประหลาดใจนัก ทรมานราวกับมีขนมาเขี่ยจนรู้สึกคันยุบยิบ
“เรื่องนี้ ข้าเองมัวแต่ดีใจ ไม่ได้เห็นสีหน้าของหลิวหลีว่าคิดหนักขนาดไหน” หลงเหวินเซวียนพูดขึ้น
“หลิวหลีกลับกำลังคิดเรื่องค่าสินสอด นางบอกว่านางเป็นคนจน ไม่มีเงิน ไปสู่ขอไม่ไหว” พอคิดถึงเรื่องนี้ หลงเหวินเซวียนก็รู้สึกปวดใจ นังหนูไม่คิดจะพึ่งพาตระกูลเลย คิดแต่จะพึ่งพาตัวเองอย่างเดียว
“นังหนู ไม่มีเงิน ไม่มีเงินก็ยังมีลุงอย่างพวกเราอีกตั้ง 3 คน” หลงจิ่งอู๋พูด เงินส่วนนี้ลุงทั้งสามคนอย่างพวกเขามีแน่นอน
“เจ้าฟังไม่เข้าใจ นังหนูบอกว่านางไม่มีเงิน ไม่เคยคิดที่จะแบมือขอเราเลย แล้วเจ้าลองดูเด็ก ๆในบ้านเราสิ เคยยืนด้วยลำแข้งของตัวเองบ้างไหม นังหนูเดินมาได้ไกลขนาดนี้ส่วนมากก็เพราะนางพึ่งพาตัวเอง” หลงเหวินเซวียนพูดด้วยความรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย นังหนูเป็นเด็กรู้ความจนทำให้เขารู้สึกปวดใจ
หลงจิ่งอู๋นึกถึงลูกสาวของตัวเองที่ไม่กี่วันก่อนยังอ้อนให้เขาซื้อปิ่นปักผมให้ ไม่กี่วันก่อนหน้าลูกชายของเขาก็มาบอกแบบอ้อม ๆว่าหินวิญญาณที่ต้องใช้บำเพ็ญไม่พอแล้ว ลูกเขาใช้ชีวิตกันสุขสบายจริงๆ ไม่เคยต้องลำบากมาก่อน
“แต่นี่มันเกี่ยวอะไรกับที่นางไปทดสอบวัดระดับนักปรุงยา” หลงจิ่งอู๋ถามขึ้น ปกตินังหนูไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้
“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร นังหนูถามก่อนเลยว่ายาคุณภาพชั้นเลิศมีราคาเท่าไหร่ น้องสามของเจ้าบอกนางว่าหากมีสถานะเป็นนักปรุงยาระดับ 6 ก็ไม่เลวนะ สรุปนังหนูก็เลยตัดสินใจไปสอบนักปรุงยาระดับ 7 อีกทั้งยังตัดสินใจว่าจะใช้ยาศักดิ์สิทธิ์มาใช้เป็นค่าสินสอดเท่าไร” พอนึกถึงเรื่องนี้ หลงเหวินเซวียนก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย นี่จะต้องเตรียมยามากขนาดไหนกันเนี่ย
“นังหนูเตรียมจะใช้ยาจำนวนเท่าไหร่มาเป็นค่าสินสอดหรือท่านพ่อ” หลงจิ่งอู๋ถามขึ้น
“นับ ๆดูแล้วก็คงต้องหลายร้อยอยู่” หลงเหวินเซวียนกล่าว
“ถ้าเอามาแลกเป็นหินวิญญาณก็ได้กองเท่าภูเขาแล้ว” จำนวนนี้ทำให้หลงจิ่งอู๋ถึงกับอึ้งไป เพียงแต่ทั้งสองคนนึกไม่ถึงว่า หลิวหลีจะทำเยอะมากกว่านั้นอีก
“ดังนั้น ท่านพ่อ เทียบเยี่ยมเยียนพวกนี้ก็วางไว้เถอะ” หลงจิ่งอู๋กล่าว
“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรได้ล่ะ” หลิวหลีกำลังเข้าฌานปรุงยา ไม่รับแขก แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เจอเลย
หลิวหลีที่กำลังเข้าฌานปรุงยา กำลังจัดการกับพืชศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเชี่ยวชาญ ปรุงยา ยาสำเร็จออกมา เอ๋าเลี่ยมองในมิติที่จะกลายเป็นกองภูเขายาอยู่แล้ว และหลิวหลีที่ยังคงปรุงยาต่อไม่หยุด นังหนูคนนี้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ
“นังหนู ยาที่เจ้าปรุงออกมาสามารถเอาไปทับคนตายได้แล้วนะ” เอ๋าเลี่ยเห็นหลิวหลีพักมือก็อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้นังหนูเหมือนกับคนบ้า
“อาเลี่ย นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่มีฮูหยิน ถึงไม่รู้ว่าการสู่ขอมันต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมาก ยังดีที่ข้าปรุงยาเป็น ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องเอาของที่มีติดตัวไปขายหมดแล้ว” หลิวหลีพูดกับเอ๋าเลี่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
เอ๋าเลี่ยหนังตากระตุก มันต้องขนาดนั้นเลยหรือ เขาไม่มีฮูหยินแล้วอย่างไร ถึงแม้ไม่มีเองแต่เขาก็เคยเห็นคนไปสู่ขอฮูหยินเข้าบ้านโดยไม่มีพิธีรีตรองอะไรนี่นา
“นังหนู เจ้าคิดว่าจะให้ค่าสินสอดเท่าไร” เอ๋าเลี่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะว่านังหนูทำออกมาเยอะมาก ไม่สงสัยคงจะเป็นไปไม่ได้
“ในโลกมนุษย์มีประเพณีที่ต้องแสดงสินสอดทองหมั้น ตามความสามารถของข้าในตอนนี้ ยาระดับ 1 ใช้เวลา 15 นาที ยาระดับ 2 ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ยาระดับ 3 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ในกรณีที่ไม่มียาเสียออกมา ข้าใช้เวลาหนึ่งเดือนก็คงเตรียมเสร็จ” หลิวหลีลองคำนวณดูคร่าว ๆ
ในกรณีที่ไม่มียาเสียออกมา ฮ่า มาตรฐานของนังหนูคงไม่มีใครเกินแล้ว
“ใช่แล้ว อาเลี่ย หน้าเจ้าขายได้ไหมในเผ่าหงส์” หลิวหลีถามขึ้น
“พูดภาษาคน” อะไรเรียกว่าหน้าขายได้หรือไม่
“ก็เจ้าน่ะ พอจะมีหน้ามีตาในเผ่าหงส์บ้างไหม อยากจะยืมหงส์ตัวน้อย ๆมาใช้เสียหน่อย ไม่ได้เรียกมาใช้เปล่าๆนะ” หลิวหลีพูดขึ้นด้วยคำสัตย์มั่น
“เรื่องนี้น่ะหรือ เพราะความไม่เห็นแก่ตัวของเจ้า ณ เวลานี้นับว่าเจ้าเป็นคนมีหน้ามีตาในบรรดาอสูรเทพทั้งห้าเผ่า ส่วนข้าน่ะหรือ ไม่ว่าจะไปที่ไหนทุกคนก็เรียกข้าว่าท่านเทพแห่งสงคราม” นังหนูไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดัง เนื้อหอมขนาดไหนหรือ สี่เผ่าที่เหลือต่างก็ยินดีต้อนรับหลิวหลีไปเป็นแขกที่เผ่าของตนทั้งนั้น แค่ขอยืมหงส์ตัวน้อยไม่กี่ตัวมาช่วยงานไม่ใช่เรื่องยากเลยด้วยซ้ำ
“อย่างนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย” หลิวหลีรู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่น เหลือแค่นางปรุงยาเอาไปหมั้นหมายเท่านั้น
“นังหนู เจ้าต้องการหงส์ตัวน้อยไปทำไม” เอ๋าเลี่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ในโลกมนุษย์การไปสู่ขอจำเป็นต้องใช้ห่านป่า ที่นี่ไม่มี ข้าคิดว่าจะไปจับนกอินทรีปีกทองสองตัวมาแทน ส่วนหงส์ตัวน้อยนั้น ไม่เพียงแต่ต้องการหงส์ตัวน้อยแต่ยังต้องการมังกรตัวน้อยด้วย เพราะว่าคำทำนายของพวกเราคือมังกรหงส์คู่เสริมมงคลนี่นา” หน้าของหลิวหลีแสดงออกให้เห็นว่าเราเหมาะสมกันมาก ต้องออกมาดีที่สุดแน่นอน ทำให้จู่ๆเอ๋าเลี่ยก็อยากจะหาคู่บ้าง ดูท่าแล้วน่าจะไม่เลว
“เจ้าจะให้หงส์น้อยกับมังกรน้อยทำอะไรบ้าง” ในที่สุดเอ๋าเลี่ยก็รู้สึกสนใจขึ้นมา รู้สึกว่าหลิวหลีทำเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่
“แน่นอนสิ จะให้หงส์น้อยคาบสินสอดเอาไว้ แล้วให้มังกรน้อยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ใช่แล้วตะกร้าดอกไม้ที่ไว้ใส่สินสอด อืม คงต้องปรุงยาออกมาเยอะหน่อยเพื่อนำไปแลกหินวิญญาณเอาไปซื้ออาวุธศักดิ์สิทธิ์” หลิวหลีเหมือนคิดอะไรออก พลันคิดว่าตัวเองควรจะต้องปรุงยาอีก อย่างไรเสียยาศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถนำไปแลกหินวิญญาณได้
“จะเอาไปแลกอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาทำอะไร” นอกจากยาศักดิ์สิทธิ์แล้วยังจะให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ นังหนูเสียค่าใช้จ่ายสู่ขอเยอะเกินไปหน่อยไหม
“ทำเป็นตะกร้าดอกไม้ใส่สินสอด อืม ไม่ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ข้ายังมีวัตถุดิบมีค่าไว้ใช้หลอมได้อยู่ไม่น้อย เอามาทำเป็นตะกร้าดอกไม้ก็ไม่เลว ไม้อมตะที่อยู่ในมิติก็ฟื้นขึ้นมาแล้วก็สามารถเอาไปตกแต่งได้ แล้วยังดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์หลายสี อืม ชุดแต่งงานก็จะต้องจดเอาไว้ก่อน มีหลายเรื่องที่ยังต้องทำจริงๆ” หลิวหลีสางผมตัวเอง ไปปรุงยาต่อดีกว่า เพราะถ้าไม่มียาศักดิ์สิทธิ์นางก็ไม่มีของไปแลกหินวิญญาณอยู่ดี
เมื่อครู่เขายังแอบรู้สึกอยากแต่งงาน สุดท้ายพอเห็นนังหนูทำของออกมาเยอะขนาดนี้ เขาพลันรู้สึกว่าเป็นโสดก็ดีอยู่แล้ว ของบางอย่างทำให้หนทางในการบำเพ็ญของเขาไปได้ไกลมากขึ้นด้วยซ้ำ การแต่งงานที่ใช้หินวิญญาณสิ้นเปลืองขนาดนี้ก็ให้นังหนูวุ่นไปคนเดียวเถอะ เดี๋ยวนะ
“นังหนู เจ้ายังไม่ได้บอกว่าเลยว่าเจ้าต้องการหงส์น้อยกี่ตัวเลย” เอ๋าเลี่ยตะโกนเรียกหลิวหลีที่กำลังจะไปปรุงยาหาเงินต่อ
“เรื่องนี้ เจ้าไปยืมมาก่อนละกัน ยืมมาให้ข้าก่อนข้าก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยคิดว่าจะทำอย่างไร แล้วก็อาเลี่ยไปยืมังกรน้อยที่เผ่ามังกรมาด้วยนะ” พอนางกำชับเสร็จ ก็เริ่มการปรุงยารอบใหม่
เอ๋าเลี่ยใช้มือลูบคางตัวเอง น่าจะเป็นงานใหญ่อยู่ เขากลับไปเผ่ามังกรไปยืมมังกรน้อยดีกว่า เชื่อว่าพวกนั้นต้องเต็มใจช่วยเหลือนังหนูแน่ๆ ส่วนเผ่าหงส์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย บุญคุณใหญ่หลวงขนาดนั้น ขอยืมหงส์ตัวน้อยมาใช้เรื่องสินสอดก็คุ้มค่าไม่เบา อืม จะจัดชุดใหญ่ให้กับนังหนูเลยดีไหมนะ เขาไปยืมอสูรตัวน้อยของทุกเผ่ามาเลย นังหนูน่าจะดีใจมาก
ส่วนหลิวหลีหลังจากออกฌานปรุงยามาก็พบว่าลานบ้านตัวเองกลายเป็นโรงเรียนอนุบาลไปแล้ว
…………………………………………………………….