แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 111 ดูข้าปรุงยาแล้วกัน
ห้าวันต่อมา ผู้บำเพ็ญเพียรในช่วงพื้นฐานพากันแพร่ข่าวเรื่องที่บรรลุงช่วงพลังออกไป เสวียนอวี่ฟังรายงานจบก็เงียบอยู่นาน
“จื่อซู ดูท่าเจ้าก็จะใกล้เลื่อนขั้นแล้วเช่นกัน” เสวียนอวี่พอจะมองออกจากกลิ่นอายที่แก่กล้าจากร่างจื่อซู
“ขอรับ” จื่อซูรับรู้ทันที เขาย่อมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังเซียนในร่างกายตนเอง ทรงพลังราวกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พลังบำเพ็ญเพียรที่นิ่งสนิทมานานของตนเอง เริ่มมีร่องรอยความเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ตนเองเคารพนับถืออาจารย์อาอย่างแท้จริง ไม่มองนางเป็นเด็กอีกต่อไป
“จื่อซู ไปบอกศิษย์พี่เสวียนหั่ว วันมะรืนให้หลิวหลีมาสอนอีกสิ” เสวียนอวี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย
“ขอรับ”
“อาจารย์ ท่านจะบอกว่าอาจารย์ลุงจะยังให้ข้าไปสอนอีกหรือ” หลิวหลีไม่อยากจะเชื่อ ขนาดรังเกียจนางที่ไปล่อลวงลูกหลานคนอื่นยังไม่พอ ยังจะให้นางไปสอนหนังสืออีก ความรู้เพียงน้อยนิดของนางจะพอสอนคนอื่น 2 รอบได้อย่างไร
“ใช่” เสวียนหั่วคิดไม่ถึงเลยว่าลูกศิษย์ของตนจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรช่วงพื้นฐานก้าวหน้าขึ้นมาก ผลที่ได้มาก็ไม่เลว ต่อให้ไม่ก้าวหน้าอะไรก็ยังสัมผัสอะไรได้บ้างอยู่ดี
“อาจารย์ช่างเถอะ ความรู้ข้าก็มีน้อยนิดเพียงนั้น ไม่มีอะไรจะสอนแล้ว” หลิวหลีส่ายศีรษะยังจะเอาอีกเหรอเนี่ย ปล่อยนางไปเถอะ
“นังหนู เจ้ามีความรู้ให้ถ่ายทอดอยู่แล้ว อาจารย์ลุงของเจ้าก็พูดแล้วว่าทำตามใจเถอะ” เสวียนหั่วมองศิษย์ของเขาอย่างไม่พอใจ
“อาจารย์ลุงไม่กลัวข้าทำตัวประหลาดจนศิษย์ในสำนักหนีไปหมดหรือ” หลิวหลีงัดไม้เด็ดออกมา
“อาจารย์ลุงของเจ้าก็บอกแล้วว่า หากเจ้ามีความสามารถนั้นจริงล่ะก็นะ” หมายความก็คือเขาไม่เชื่อ
“ก็ได้ ข้าจะไปทวนวิชาดู” หลิวหลีเดินคอตกจากไปอย่างท้อแท้
“ฮ่าๆ หลิวหลี เจ้าไม่รู้ตัวเลยสินะว่าเจ้านั้นมีพรสวรรค์” เสวียนหั่วมองเงาเบื้องลูกศิษย์แล้วเอ่ยออกมา
ข่าวเรื่องหลิวหลีจะเปิดสอนแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้เป็นของช่วงอมตะกับช่วงปราณก่อนกำเนิด แต่ว่าผู้บำเพญเพียรช่วงพื้นฐานที่ได้รับประโยชน์ไปไม่น้อยต่างตัดสินใจมาฟังบรรยายอีกครั้ง ผู้ที่ไม่ได้ฟังในครั้งก่อนแต่ได้ยินข่าวก็ตัดสินใจลองไปดูเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อหลิวหลีมาถึงก็ต้องประหลาดใจกับผู้คนที่คลาคล่ำ นี่ นี่มันอะไรกันเนี่ย
“คารวะท่านหลิวหลี” เมื่อทุกคนเห็นหลิวหลีก็พร้อมใจกันเอ่ย
“ทุกท่านนั่งลงเถอะ” เอ๊ะ ทำไมครั้งนี้ถึงมีมารยาทกันขนาดนี้
“จื่ออี สำนักเมฆาคล้อยมีผู้บำเพ็ญเพียรช่วงอมตะกับช่วงปราณก่อนกำเนิดเยอะขนาดนี้เลยหรือ” หลิวหลีถามจื่ออีที่นางรู้จัก
“อาจารย์อา มีศิษย์ไม่น้อยได้ยินเรื่องการสอนครั้งก่อนจากศิษย์ช่วงพื้นฐาน รู้สึกใช้ได้ ฉะนั้นเมื่อได้ยินกันว่าอาจารย์อาจะสอนอีกครั้ง ศิษย์ที่มิได้ฝึกบำเพ็ญจึงพร้อมใจกันมาเข้าเรียน” จื่ออีตอบอย่างนอบน้อม
“อ้อ ข้าสอนไปแค่ครั้งเดียวก็เป็นที่ดึงดูดมากเพียงนี้เชียว” หลิวหลีเลิกคิ้ว เหตุใดนางถึงไม่รู้มาก่อนเลยล่ะ
“อะแฮ่ม คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะมีคนมาฟังข้าสอนมากมายเท่านี้ แต่วันนี้ข้าไม่สอนแล้ว” หลิวหลีกระแอมให้คอโล่งแล้วกล่าว
“ไม่สอนวิชาแล้วหรือ” คนด้านล่างฮือฮา เช่นนั้นจะทำสิ่งใด
“วันนี้ข้าตั้งใจจะปรุงยาให้พวกเจ้าดู ส่วนจะได้อะไรไปนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเจ้าเองแล้ว” หลิวหลีพูดจบก็หยิบเตาปรุงยาที่ธรรมดาที่สุดออกมา
“นี่คือเตาปรุงยาที่ข้ายืมมาจากสำนักปรุงยา ว่ากันว่าเป็นระดับ 1 วันนี้ข้าก็จะไม่ปรุงยาระดับสูง ไฟที่ข้าใช้คือไฟธรรมดา ยาที่ข้าจะปรุงคือยาแสงจันทร์ระดับ 3 พวกเจ้าตั้งใจดูแล้วกัน”
หลิวหลีพูดจบก็จุดไฟขึ้นมา รอบตัวเต็มไปด้วยพืชศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นต้องใช้ คนที่มองดูหลิวหลีจัดการพืชศักดิ์สิทธ์ก็ชื่นชมนาง ช่างงดงาม คล่องแคล่ว โดยเฉพาะเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เคยปรุงยาด้านล่างนั้นเข้าใจเพิ่มขึ้น พืชศักดิ์สิทธิ์ที่อาจารย์อาสกัดมานั้นมีประสิทธิภาพอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่สิ้นเปลืองพืชศักดิ์สิทธิ์ไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่น้อย อีกทั้งยังรักษาคุณสมบัติของยาไว้ได้อย่างครบถ้วน จนกระทั่งหลิวหลีใส่พืชศักดิ์สิทธิ์ลงไปในเตาปรุงยาตามลำดับผู้ที่ปรุงยาเช่นกันจึงเห็นความต่าง
“จื่ออี มีอะไรไม่ถูกต้องหรือเปล่า” จื่อซูถามจื่ออีที่อยู่ข้างๆ จื่อซูพบว่าจื่ออีกำลังขมวดคิ้วราวกำลังงุนงงอะไรอยู่
“นิดหน่อย ลำดับในการใส่พืชศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์อาพิเศษเล็กน้อย” จื่ออีครุ่นคิดแล้วจึงใช้คำว่าพิเศษ
“จื่อซู เจ้าไม่ใช่นักปรุงยาจึงอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ขั้นตอนที่อาจารย์อาเติมสิ่งของลงไปต่างจากทั่วไป” จื่ออีใช้คำว่าวิธีทั่วไปมาชี้แจง
จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เห็นหลิวหลีควบคุมรัศมีของเปลวไฟ เหมือนจะเข้าใจ แต่บางเวลาก็สับสน จนกระทั่งกลิ่นฉุนของยาลอยโชยเข้าจมูก
“ปรุงยาสำเร็จแล้ว” จื่ออีกล่าวอย่างดีใจ คิดไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ ก็สามารถปรุงยาได้ อีกทั้งเมื่อดมกลิ่นยาก็ได้กลิ่นฉุนๆ โชยเข้าจมูก เมื่อสูดดมเข้าไปก็รู้สึกกระฉับกระเฉง
“จากที่ได้กลิ่น ยานี้ต้องเป็นยาระดับสูงขึ้นไปเป็นอย่างน้อย” จื่ออีออกความเห็น
จากคำว่า ‘เก็บ’ เม็ดยากลมๆสิบเม็ดปรากฎขึ้นในถ้วยหยก
“จื่ออี เจ้าเข้ามาดูสภาพของยาหน่อยว่าเป็นอย่างไร” หลิวหลีตะโกนเรียกจื่ออี
“เจ้าค่ะ” ตัวจื่ออีเองก็รู้สึกสงสัยในทักษะการปรุงยาของอาจารย์อา สุดท้ายเมื่อเดินเข้าไปดู เม็ดยาทรงกลมส่องแสงระยิบระยับ เมื่อกลิ่นยาโรยแตะจมูก เมื่อสำรวจคุณภาพยาก็ล้วนมีคุณภาพชั้นเลิศ
“ยาที่อาจารย์อาปรุงขึ้นล้วนเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศ”
สิ้นเสียงพูดของจื่ออี คนด้านล่างล้วนส่งเสียงฮือฮา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคุณภาพชั้นเลิศทั้งหมด สมกับเป็นนักปรุงยาผู้ถูกเลือกจริงๆ
“คิดว่าการที่ข้าปรุงยาออกมาได้คุณภาพชั้นเลิศเป็นเรื่องแน่นอนหรือไม่” หลิวหลีเห็นปฏิกิริยาด้านล่างจึงเอ่ยปากถาม
“ท่านอาจารย์อามีพรสวรรค์โดดเด่น แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องสมควรแล้ว” มีศิษย์ทำใจกล้าเอ่ยออกมา
“ฮ่าๆ ที่พวกท่านกล่าวนั้นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเคยปรุงยาแสงจันทร์นี้มาแล้วกี่ครั้ง” หลิวหลีถาม
“จากคุณสมบัติของอาจารย์อา ปรุงยาประมาณไม่กี่ร้อยครั้งก็ทำได้แล้ว” จื่ออีคาดเดา
“พวกท่านต้องการยาแบบไหน?” หลิวหลีไม่ตอบคำถามนี้ แต่กลับโพล่งคำถามหนึ่งออกไป
“ยาที่ต้องการ แน่นอนว่าเป็นยาที่สำเร็จลุล่วง” มีคนตอบกลับมา
“พูดได้เพียงว่า ความต้องการของพวกท่านช่างน้อยนัก ข้าจะตอบคำถามข้อแรกให้ก่อน” หลิวหลีส่ายหน้า
“ข้าปรุงยานี้มา 8,000 ครั้ง จนกระทั่งยาที่ข้าปรุงทุกเตาเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศทั้งหมด”
ด้านล่างฮือฮา 8,000 ครั้ง ทุกเม็ดล้วนเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศ
“หลังจากได้ยาคุณภาพชั้นเลิศออกมาแล้ว ข้าก็จะปรับเปลี่ยนสัดส่วนของพืชศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อย่างเช่นเรื่องกลิ่นรสเป็นส่วนที่ข้าชอบปรับเปลี่ยนมากที่สุด ส่วนเรื่องจำนวนครั้งที่ทดลอง ข้าไม่พูดแล้วกัน ทุกครั้งที่ลองต้องมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา ทั้งยังต้องมีรสชาติพอใช้ได้” หลิวหลีพูด
ผู้คนด้านล่างคิดไตร่ตรอง พวกเขาเห็นเพียงด้านที่น่ายกย่องของหลิวหลี แต่กลับไม่เคยเห็นสิ่งที่หลิวหลีต้องจ่ายไปก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น จื่ออีนึกถึงคู่มือปรุงยาระดับ 6 ลงไปที่ท่านอาจารย์ลุงได้รับมาจากอาจารย์อา เขาก็รู้สึกละอายใจอย่างมาก
“อีกอย่างข้าไม่สนว่าพวกท่านจะเยาะเย้ย ตัวข้าในปัจจุบันนี้ก็ยังคงฝึกฝนเก็บพืชศักดิ์สิทธิ์อยู่ ก็ตามหลักนั่นแหละ แค่ยิ่งฝึกฝนมากก็จะยิ่งเก่งมากขึ้น” หลิวหลีพูดต่อ
“ที่ข้าบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน ก็เพราะอยากบอกถึงความจำเป็นของพื้นฐานกับพวกท่าน มิควรบุ่มบ่าม และอย่ารีบร้อน พวกท่านมีแค่พื้นฐานที่แน่นมากพอแล้ว ก็จะมีลู่ทางของตนเองได้ พึงตระหนักไว้ว่าความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด” หลิวหลีเน้นประโยคสุดท้ายช้าๆ
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ใจที่ร้อนรนล้วนสงบลง
“ข้ารู้สึกละอายนัก” เสวียนหั่วฟังแล้วก็ละอายใจ
“ข้าละอายใจยิ่งกว่า” เทียนเย่าพูด สูตรปรุงยาแบบประยุกต์พวกนั้น ศิษย์น้องก็ยังบอกจนหมด แม้จะบอกว่าแลกกับแต้มคะแนนในวิชา แต่ควรค่ากับสูตรปรุงยาหรือ แต่พวกเขามองข้ามเรื่องระยะเวลาที่ศิษย์น้องใช้ศึกษา ผิดพลาดมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งถึงเป็นผลสำเร็จ
“อาจารย์ลุง ศิษย์ขอบังอาจถามท่าน ผู้ที่สำคัญที่สุดของสำนักคือผู้ฝึกตนช่วงพื้นฐาน เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกข้าเล่า”
“พวกเจ้าน่ะหรือ ศิษย์ช่วงบำเพ็ญศีลเป็นช่วงเชื่อมต่อจะขาดไปไม่ได้ ศิษย์ช่วงอมตะกับช่วงปราณก่อนกำเนิดนั้นเป็นดั่งกระดูกสันหลัง ส่วนเหนือกว่านั้นก็เป็นสันหลัง และศิษย์ช่วงฝึกลมปราณเป็นรากฐาน” หลิวหลีคิดแล้วเอ่ยออกมา
“ข้าแค่อย่างจะบอกว่า พวกเจ้าทุกคนล้วนสำคัญ ต้องเข้าใจคุณค่าในตนเองอย่างแท้จริง พวกเจ้าทุกคนล้วนมีแสงสว่าง เพียงแต่แสงที่เปล่งประกายออกมานั้นแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นคือสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับสำนักเมฆาคล้อย พวกเจ้าต้องเชื่อมั่นว่ามีพวกเจ้าอยู่ทำให้สำนักเมฆาคล้อยยิ่งใหญ่ขึ้น” ประโยคสุดท้ายของหลิวหลีเหมือนกำลังชื่นชมสำนักอยู่
“ชั้นเรียนของข้าในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ จะได้รับอะไรไปบ้าง ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเองแล้ว” หลิวหลีพูดจบก็ผละตัวออกไป
“เจ้าเด็กคนนี้ หนีไปเร็วเสียทุกครั้งเลย” เทียนเซียนจื่อกล่าว
“แท้จริงแล้ว ศิษย์น้องก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองนักหรอก ไม่เช่นนั้นจะหนีไปเร็วอย่างนั้นทุกครั้งหรือ” เทียนเย่าพูด
“หลิวหลีไม่รู้เลยว่าตนได้มอบบทเรียนอันแสนล้ำค่าให้ศิษย์หลานเหล่านี้มากแค่ไหน” เทียนเลี่ยนจื่อเอ่ย
“ใช่ ตอนนี้มีศิษย์ไม่น้อยทดลองฝึกฝนร่างกายกัน แม้จะเจ็บปวด แต่พอนึกถึงคำชี้แนะของศิษย์น้องเขาก็ท่องคำพูดนั้นซ้ำๆแล้วฝึกต่อ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ร่างกายของบรรดาศิษย์ล้วนดีขึ้นไม่น้อย สิ่งที่น่าดีใจคือความรวดเร็วในการดูดซับพลังเซียนก็เร็วมากขึ้นด้วย ยกเว้นศิษย์ที่ไม่สามารถฝึกฝนร่างกายได้จริงๆเหล่านั้น” เทียนเซียนจื่อกล่าว ขนาดสตรีผู้บำเพ็ญตนในหอสตรีเซียนของนางยังสามารถกัดฟันพากเพียรกันอย่างไม่ลดละ
“ข้าเชื่อว่าบรรดาศิษย์จะต้องได้รับความรู้ในชั้นเรียนวันนี้เป็นแน่” ไม่รู้ว่าชั้นเรียนต่อไปเจ้าเด็กคนนี้จะพูดเรื่องอะไร เทียนเย่านึกคิด เพราะเขารู้สึกประทับใจกับชั้นเรียนทั้งสองครั้งนี้อย่างมาก
“ฮ่าๆ ข้าคาดว่าหลิวหลีคงจะไม่ยอมสอนวิชาอีกแล้ว นางพูดไว้แล้วว่านางมอบความรู้ที่มีให้หมดแล้ว ไม่มีอะไรให้นางสอนอีกแล้ว” เสวียนหั่วพูดพลางหัวเราะ
“เจ้าเด็กคนนี้นี่” เสวียนอวี่ได้ยินก็จนปัญญา
……………………………………………