แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 121 ตรงไปตรงมาเช่นนี้แหละ
“ซินเยว่ นั่งลง” หลงเหวินเซวียนจับมือหลงซินเยว่แน่น เขากลัวว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน พอตื่นจากฝัน ลูกสาวของเขาก็จะหายไป
“ท่านตา ท่านแม่ไม่หายไปไหนหรอก” หลิวหลีมองดูท่านตาที่ทำราวกับกำลังจับจูงเด็กเล็ก จำเป็นต้องจูงมารดาของนางแบบนี้ด้วยหรือ
“หลิวหลี เดี๋ยวข้าค่อยกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า” หลงเหวินเซวียนกรอกตาใส่หลิวหลี นังหนูเอาแต่สร้างปัญหาได้ตลอดจริงๆกระทั่งกับท่านตานางยังกล้า
หลิวหลีปิดปากสนิทเพื่อเป็นสัญญาณว่านางจะไม่พูดอะไรอีก
“เจ้าสาม เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมท่านพ่อถึงได้โมโหขนาดนั้น อีกอย่าง เรียกหาพวกเราทำไมหรือ” เสียงของหลงจิ่งหนานดังมาแต่ไกล และในทันทีที่เปิดประตูเข้ามา
“เหตุใดจึงมีหลิวหลีสองคน” หลงจิ่งหลินมองหลิวหลีสองคนที่หน้าตาเหมือนกันด้วยความตกใจ
“เจ้าสอง เจ้าจะทำหน้าตกอกตกใจทำไม ลูกเจ้าก็โตกว่าหลิวหลีแล้ว” หลงจิ่งอู๋ดุน้องชายที่กำลังจะเป็นตาอยู่รอมร่อ
“มีหลิวหลีสองคน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลงจิ่งอู๋ก็รู้สึกสับสนเช่นกัน
“พอได้แล้ว เลิกทำหน้าตกอกตกใจกันเสียที มานั่งกันก่อน ดูดี ๆ ว่าคนที่ข้าจับอยู่คือใคร” หลงเหวินเซวียนรู้สึกว่าสติปัญญาของลูกชายคงจะไม่พอใช้ เป็นลูกของเขาเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้แตกต่างจากหลงซินเยว่มากขนาดนี้ คงไม่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากเขาไปแน่
สามพี่น้องบ้านสกุลหลงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง มองดูหลิวหลีที่เหมือนกันสองคน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ มองดูอยู่นาน ทั้งสองคนก็ได้เห็นถึงความแตกต่าง หลิวหลีที่พ่อจับมืออยู่นั้น ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน
“ซินเยว่” สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน
“หากพวกเจ้าสองคนยังเดาไม่ออก ข้าจะเริ่มสงสัยแล้วล่ะ ว่าพวกเจ้าเป็นลูกของข้าจริงหรือไม่” เมื่อหลงเหวินเซวียนเห็นว่า ในที่สุดสองพี่น้องก็เดาออก ก็อดแขวะพวกเขาไม่ได้
“ท่านพ่อ น้องไม่ใช่ ไม่ใช่” หลงจิ่งหนานตกใจจนไม่สามารถพูดให้จบประโยคได้
“โคมวิญญาณดับไปแล้วนี่ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ข้าอยากรู้เช่นกัน ซินเยว่ ตอนนี้พี่ชายของเจ้าก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว คงจะพูดได้แล้วใช่ไหม” หลงเหวินเซวียนมองหลงซินเยว่ แล้วพูดขึ้นด้วยความร้อนรน
“ท่านพ่อ ท่านพี่ เรื่องมันเกิดตอนที่ข้าออกจากโลกอสูรเทพ ข้าก็พบว่าตัวเองตั้งท้อง ใช้พลังเซียนที่เหลือทั้งหมดค้นหาจนพบว่า หลี่หลินพ่อค้าขายผ้าในโลกมนุษย์มีบุญสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญ จึงวางแผนไปเป็นอนุภรรยาของเขา คลอดหลิวหลีออกมา ตอนนั้นข้าใช้พลังชีวิตไปจนหมดสิ้น จึงถูกฮูหยินในตอนนั้นของบ้านพ่อค้าขายผ้าฝังไป แต่ข้ากลับได้รับการคุ้มครองจากป้ายหยกประจำสกุล จนกระทั่งหลิวหลี ลูกสาวของข้าหาข้าเจอ รู้ว่าข้ายังมีลมหายใจอยู่ จึงดูแลข้า แล้วไหว้วานให้อาจารย์ของนางปรุงยาคืนวิญญาณให้”
“ยาคืนวิญญาณ” สามพ่อลูกรู้สึกตกใจ
“คิดไม่ถึงว่าป้ายหยกประจำสกุลจะทำเช่นนี้ได้” หลงเหวินเซวียนสนใจเรื่องนี้เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ได้เจอลูกสาวสุดที่รักของเขาอีก
“ใช่ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะท่านพ่อ เพราะป้ายหยกชิ้นนี้เคยช่วยข้าเอาไว้ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแค่หยกธรรมดา หลิวหลี นำหยกออกมามอบให้ท่านตา” หลงซินเยว่รู้ว่าเรื่องมิติในหยกเป็นความลับ นี่เป็นโชคดีของลูกสาวนาง ต้องให้ลูกสาวนางเป็นคนพูดเอง
หลิวหลีนำหยกออกมามอบให้ตามระเบียบ เพราะถึงอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
หลงเหวินเซวียนรับป้ายหยกมาก็รู้สึกว้าวุ่นใจ เดี๋ยวเขาจะไปจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษ ขอบคุณบรรพบุรุษที่คุ้มครองลูกสาวของเขา
“น้องพี่ เจ้ายังพูดไม่จบเลย” หลงจิ่งหนานเร่ง
“เรื่องต่อจากนี้ให้ข้าเป็นคนเล่าแล้วกัน” หลิวหลีพูดแทรก
“ตั้งแต่ข้าเจอท่านแม่ แล้วรู้ว่าท่านยังมีลมหายใจ ข้าก็ขอให้อาเลี่ยช่วยดูแลนางแล้วจึงได้รู้ว่าอาการเช่นนางหากจะให้นางฟื้นต้องใช้ยาคืนวิญญาณ โดยมีส่วนผสมหลักซึ่งก็คือหญ้าคืนวิญญาณ มีอยู่แค่ในดินแดนลี้ลับอสูรเทพเท่านั้น” หลิวหลีพูดถึงตรงนี้แล้วเงียบไป
ทำไมคนเหล่านี้จะไม่เข้าใจ ที่นังหนูกลับมาสกุลหลงเป็นเพราะนางต้องการหญ้าคืนวิญญาณเพื่อช่วยมารดาของนาง ส่วนที่เหลือเป็นผลพลอยได้ ซึ่งรวมไปถึงการกลับมาสกุลหลงและช่วยให้สกุลหลงชนะการแข่งขัน พวกเขาควรจะหัวเราะหรือควรจะร้องไห้ดี
“ดังนั้นจุดประสงค์หลักของเจ้าก็เพื่อช่วยมารดาของเจ้า ส่วนสิ่งอื่นที่ตามมาก็คือผลพลอยได้สินะ รวมไปถึงการยอมรับในตัวลุงสามคน ยอมรับท่านตา แล้วยอมกลับมาเข้าร่วมรายชื่อของสกุล” หลงจิ่งหลินรู้สึกว่าผลพลอยได้พวกนี้ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจน้อยๆ
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าชอบบ้านสกุลหลงมากจริงๆ” หลิวหลีพูดพลางส่ายหัว
“ถ้าอย่างนั้นไหนเจ้าลองบอกหน่อยว่าเจ้าชอบสกุลหลงตรงไหน” เห็นได้ชัดว่าหลงจิ่งหลินไม่เชื่อคำพูดของหลิวหลี
“ข้าชอบที่สกุลหลงทำพันธสัญญากับมังกรได้ ลุงสาม ท่านคงไม่รู้ว่า ข้าชอบมังกรขนาดไหน” ดวงตาหลิวหลีเปล่งประกายเสียจนเกือบจะทำให้ทั้ง 4 พ่อลูกลืมตาไม่ขึ้น
“ดังนั้นที่เจ้าไม่ยอมรับสกุลจ้าน เป็นเพียงเพราะว่าบ้านสกุลจ้านไม่สามารถทำพันธสัญญากับมังกรได้?” เขาควรจะขอบคุณบรรพบุรุษที่ทำให้พวกเขาสามารถทำพันธสัญญากับมังกรได้ใช่ไหม ไม่เช่นนั้นหลานที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ก็คงจะเป็นของคนอื่นไปแล้ว หลงเหวินเซวียนรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของบรรบุรุษ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ชอบท่านตากับท่านลุงทั้งสามมาก เพราะพวกท่านทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว ความอบอุ่นจากครอบครัว” หลิวหลีพูดคำนี้ด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น รอยยิ้มของนางเหมือนกับรอยยิ้มแม่ของนางที่ทำให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นไปด้วย
“นังหนูคนนี้” เฮ้อ พวกเขาเกลียดนางไม่ลง
“นังหนู ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ทำไมเจ้าจะต้องไปหาเรื่องจ้านเฟิงจวินที่บ้านสกุลจ้านด้วย” หลงเหวินเซวียนถามขึ้น หลงซินเยว่ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“ทำไมน่ะหรือ เพราะไปแก้แค้นอยู่แล้ว กล้าเล่นงานท่านแม่ของข้า แล้วยังกล้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่รู้ความจริงแล้วลงมือทำร้ายท่านแม่ แล้วจะให้ข้าปล่อยนางไปเฉยๆ น่ะหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” หลงซินเยว่ตื้นตันใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยเช่นนี้
“แล้วทำไมเจ้าจะต้องไปคนเดียว ไม่คิดจะเรียกข้าสักหน่อยหรือ” หลงเหวินเซวียนตำหนิ
“ข้าไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย ข้าพาเอ๋าเลี่ยไปด้วย” หลิวหลียกมือขึ้นสาบาน
พ่อลูกสกุลหลงพูดไม่ออก มันก็ใช่ เพราะมีเทพแห่งสงครามอยู่ด้วยจึงไม่มีใครกล้ามาทำอะไรนังหนูหรอก
“อีกอย่าง ใครกล้ามาทำอะไรข้า ข้าจะใช้ไฟเผามันให้ตาย” หลิวหลีกล่าวพร้อมกับเรียกเพลิงอัคคีทั้งห้าสีปรากฏขึ้นมาบนมือขวา งดงามแต่อันตราย
นังหนูคนนี้ไปได้นิสัยนี้มาจากใคร ทำไมจึงได้หัวรุนแรงขนาดนี้ แต่ก็ถือว่าสะสางค้างคาใจของพวกเขา
“หลิวหลี” หลงซินเยว่มองหลิวหลีด้วยสายตาตำหนิ
หลิวหลีเก็บเพลิงอัคคีแต่โดยดี
“จะว่าไปแล้ว น้องพี่ ทำไมเจ้าถึงแต่งตัวเหมือนกับนังหนูเลย” หลงจิ่งอู๋กวาดมองหลงซินเยว่พลางเอ่ย
“ยังต้องถามอีกหรือ ต้องเป็นความคิดแปลกๆ ของนังหนูหลิวหลีแน่เลยใช่หรือไม่” หลงจิ่งหลินสันนิษฐาน
“พี่สามสติปัญญาเฉียบแหลม ตอนข้าเพิ่งตื่นร่างกายยังไม่ฟื้นตัวนัก นังหนูก็ออกไปข้างนอก ตอนนี้ดูแล้วคงจะไปหาหญิงชั่วจ้านเฟิงจวิน พอนังหนูกลับมา ก็บอกข้าว่าท่านพ่อป่วย ข้าเองก็กระวนกระวายใจ จนหลงลืมไปว่าตอนนี้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดทำอะไรท่านพ่อได้ จึงหลงเชื่อคำนังหนู กลัวว่าจะทำให้ทุกคนตกใจ เลยแต่งตัวเป็นหลิวหลี” หลงซินเยว่มองดูหลิวหลีกับตัวเองที่แต่งตัวเหมือนกัน แยกไม่ออกจริงด้วย
“พวกเจ้าก็ยังแตกต่างกันอยู่ จะว่าอย่างไรดีล่ะ คนหนึ่งเหมือนน้ำ คนหนึ่งเหมือนไฟ ซินเยว่เจ้าอ่อนโยนดุจดั่งสายธาร ทำให้คนรู้สึกสงบเย็นสบาย แต่นังหนูเปรียบดั่งเปลวไฟลุกโชน ทำให้คนอดปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองตามออกมาไม่ได้” หลงเหวินเซวียนกล่าว
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง จึงทำให้ความแตก” หลิวหลีเข้าใจขึ้นมาในทันที
“ไม่ใช่ ตอนแรกข้ายังจับไม่ได้ จนกระทั่งตอนหลัง ข้าพบว่าตอนที่ข้าพูดเรื่องตอนเด็กๆของแม่เจ้า เจ้าก็ดูรู้เรื่องไปหมด ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรไม่ถูกต้อง” หลงเหวินเซวียนกล่าว
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง สองแม่ลูกเริ่มจะเข้าใจ
“นังหนู เจ้าให้แม่ของเจ้าแต่งตัวเป็นเจ้า เพราะอยากจะสร้างความประหลาดใจให้กับตาใช่หรือไม่” หลงเหวินเซวียนถาม
“ใช่เจ้าค่ะ แม่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าต้องบอกให้ทุกคนได้รู้อยู่แล้ว อีกอย่าง ยังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ” หลิวหลีมองไปที่แม่ของตัวเอง
“หลิวหลี เจ้าจะให้แม่ทำอะไรหรือ” เมื่อเห็นหลิวหลีมองมาที่ตัวเอง หลงซินเยว่อดถามไม่ได้ เกี่ยกับตัวนางเสียด้วย
“มีเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะท่านแม่ ตอนนี้ท่านลืมพ่อของข้าไปแล้วหรือยัง ข้าต้องการความจริง”
“นังหนูหลิวหลี” ลุงทั้งสามร้อนรน นังหนูคนนี้จะไปสะกิดแผลนางทำไม
“ท่านพี่ พวกท่านไม่ต้องโทษหลิวหลีหรอก พูดตามตรง ข้ายังไม่ลืมเขา เพียงแต่”… หลงซินเยว่เห็นพี่ชายทั้งสามคนตำหนิหลิวหลี จึงรีบออกตัวปกป้องลูกสาวตนเอง อีกอย่างนางก็ลืมคนผู้นั้นไม่ได้
“เพียงแต่อะไร ท่านแม่” ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร
“เขาน่าจะแต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้ว ลูกก็คงจะอายุไม่ต่างจากเจ้ามาก” หลงซินเยว่เศร้าใจน้อยๆ
“ใช่เจ้าค่ะ มีลูกที่อายุไม่ต่างจากข้ามาก แล้วก็มีเพียงแค่คนเดียวด้วย ก็คือข้านี่แหละ ท่านแม่ เขาไม่ได้แต่งงานกับหญิงชั่วนั่น เขาได้ยินว่าโคมวิญญาณของท่านดับไป ก็กลายเป็นคนเสียสติไปเลย” หลิวหลีพูดคำว่าท่านพ่อไม่ออกจริงๆ
“เจ้าบอกว่า อาหลิงยังไม่ได้แต่งงาน พอเขารู้ว่าคมวิญญาณของข้าดับ ก็กลายเป็นคนเสียสติหรือ” หลงซินเยว่ตื้นตันใจ อาหลิงไม่ได้ทรยศนาง
“เจ้าค่ะ นี่เป็นสาเหตุที่ข้าจัดการจ้านเฟิงจวินคนเดียว แล้วปล่อยสกุลจ้านไป” หลิวหลีพูดพลางพยักหน้า
“มิน่าล่ะ นังหนู ประโยคสุดท้ายของเจ้าในตอนนั้นก็หมายความอย่างนี้เองสินะ” หลงเหวินเซวียนนึกไปถึงคำว่าถูกต้องตามครรลองที่หลิวหลีพูดในตอนนั้น มันก็ใช่ ที่ลูกสาวของเขายังไม่ได้สมรสกับจ้านเฟิงหลิจากสกุลจ้าน ชาติกำเนิดของหลิวหลีจึงยังมีปัญหาอยู่
“ประมาณนั้นเจ้าค่ะ” หลิวหลีพยักหน้า
“ข้ารู้สึกสับสน ให้ข้าได้ลองคิดดูก่อนแล้วกัน ท่านพ่อ หลิวหลี” หลงซินเยว่รู้สึกสมองของตัวเองวุ่นวายไปหมด
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านเพิ่งฟื้น ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี ไม่ควรจะหักโหมมากเกินไป” หลิวหลีเอ่ยเมื่อเห็นความอ่อนล้าบนใบหน้านาง
“ใช่ ซินเยว่กับหลิวหลีพักผ่อนกันให้มาก พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาหาเจ้าใหม่แล้วกัน” หลงเหวินเซวียนโบกมือแล้วพาลูกชายทั้งสามคนจากไปในทันที
……………………………………