แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 124 คู่สร้างคู่สม
หนานกงเวิ่นเทียนตกอยู่ในห้วงของความจริงที่ว่าเมื่อครู่นี้เขาเกือบจะลงมือทำร้ายว่าที่พ่อตาตัวเอง
“พี่เหวินเซวียน พี่จะพูดอะไรกับข้ากันแน่ ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว” จ้านเฟิงอวี้รู้สึกลำบากเกินไป จะเอาอย่างไรก็รีบพูดมาเถอะ หรือคิดจะให้เขาดื่มจนตาย เขาดื่มชาศักดิ์สิทธิ์ไป 10 กาแล้ว งานเลี้ยงสังหารนี้มันลำบากจริงๆ
หลงเหวินเซวียนก็ไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน ต้องรออีกนานแค่ไหน เขาตัดสินใจจะไม่ดื่มชาศักดิ์สิทธิ์ไปอีกครึ่งปี ทำไมนังหนูยังไม่มาอีก
“ฟ้าสว่างก็ไม่เป็นไร พวกเราก็สามารถคุยกันต่อได้” เสียงของหลิวหลีลอยเข้ามา หลงเหวินเซวียนก็คิดได้ว่า มีทางรอดแล้ว ในที่สุดหลิวหลีก็ปรากฏตัวเสียที เพียงแต่ว่าข้าง ๆ นางนั่นไม่ใช่เด็กบ้านสกุลหนานกงหรอกหรือ ดึกๆดื่นๆมาทำอะไรที่บ้านสกุลหลง
“ผู้นำสกุลหลง ผู้นำสกุลจ้าน ข้าน้อยขอคารวะ” หนานกงเวิ่นเทียนทำความเคารพอย่างนอบน้อม เอ่อ นี่คือท่านตากับท่านลุงในอนาคต ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด หนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกว่าหนทางในการสู่ขอฮูหยินยังอีกยาวไกลขึ้นมาในทันที
“นังหนูหลิวหลี เจ้าหมายความว่าอย่างไร แล้วเฟิงหลิงล่ะ เฟิงหลิงทำไมจึงไม่ได้มาพร้อมกับเจ้า” จ้านเฟิงอวี้ขมวดคิ้วพลางเอ่ย
“คนที่ผู้นำสกุลจ้านกล่าวถึงย่อมต้องอยู่กับคนที่สมควรจะได้อยู่ด้วย” หลิวหลีพูดอย่างมีเงื่อนงำ
“อะไรคือคนที่สมควรจะอยู่ด้วยกัน” นี่มาเล่นเกมทายตัวอักษรอะไรกัน
“ผู้นำสกุลจ้าน ขอถามอะไรหน่อย สกุลจ้านของท่านเวลาสู่ขอให้สินสอดทองหมั้นเท่าใด” หลิวหลีอยากจะทำความเข้าใจเสียก่อน
“สู่ขอหรือ เรื่องนี้พูดยากทีเดียว ตั้งแต่ที่เจ้าสร้างเรื่องในตอนนั้น มาตรฐานของค่าสินสอดก็สูงขึ้นมาไม่น้อย ได้ยินมาว่าดินแดนของเผ่าอสูรเทพทั้งห้าก็ถูกเหยียบไปแทบไม่เหลือเหมือนกัน” จ้านเฟิงอวี้พูดพลางเอามือลูบเครา ตอนนี้ค่าสินสอดถือเป็นตัวเลขที่มีจำนวนมากทีเดียว
ที่แท้นางก็เป็นผู้นำกระแสเหมือนกัน หลิวหลีคิด
“หลิวหลีจากสกุลหลง เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม คิดจะมาเป็นแม่สื่อให้กับชายหนุ่มจากสกุลจ้านของข้าคนไหนหรือ” จ้านเฟิงอวี้พูดด้วยน้ำเสียงประหลาด หลงหลิวหลีก็อายุยังไม่มาก ทำไมจึงชอบทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชัก
“ใช่แล้ว แต่ว่าค่าแม่สื่อของข้าจะต้องจ่ายหนักหน่อยนะ” หลงหลิวหลีพูดขึ้นพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ได้ หากเจ้าเป็นแม่สื่อได้สำเร็จ ข้าจะเตรียมซองอั่งเปาซองหนาให้กับเจ้า” จ้านเฟิงอวี้ยังไม่ทันได้คิด ก็ตกปากรับคำไป คาดว่าเขาคงไม่เชื่อว่าหลิวหลีจะทำตัวเป็นแม่สื่อได้สำเร็จ
“ตกลงตามนั้น” หลิวหลีก็รีบพูดขึ้น
“เอาล่ะ ตอนนี้บอกได้แล้วใช่หรือไม่” จ้านเฟิงอวี้ก็ไม่ปฏิเสธว่าตัวเองก็อยากรู้อยู่เช่นกัน
“ตามข้ามา”
พูดจบหลิวหลีก็เดินนำไปก่อน จ้านเฟิงอวี้เห็นหลงเหวินเซวียนเดินตามไป เขาจึงเดินตามหลังไปด้วยเช่นกัน บ้านสกุลหลงคิดจะเล่นอะไรกันแน่
เพียงไม่นาน หลิวหลีก็พามาถึงที่ตำหนักแห่งหนึ่ง นางจึงผายมือเพื่อเชื้อเชิญ จ้านเฟิงอวี้เดินเข้าไปด้วยความสงสัย
“เฟิงหลิง เจ้ากำลังทำอะไร นังหนูหลิวหลีเจ้าเข้ามาตอนไหน” จ้านเฟิงอวี้พูดด้วยความประหลาดใจ
“ผู้นำสกุลจ้าน ข้าอยู่ข้างหลังท่าน” เสียงของหลิวหลีดังลอยมาจากด้านหลัง
จ้านเฟิงอวี้มองตรงนี้ แล้วก็มองตรงนั้น จากนั้นก็พบว่ากลิ่นอายแห่งความตายบนตัวน้อยชายของเขาได้หายไปแล้ว แต่กลับมีความอ่อนโยนเข้ามาแทนที่ สภาพของน้องชายเขาในตอนนี้ เขาจำได้ว่าเป็นท่าทีที่มีแค่ตอนเจอหลงซินเยว่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนเท่านั้น
“ซินเยว่ เป็นไปได้อย่างไรกัน” จ้านเฟิงอวี้พูดอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่โคมวิญญาณดับไปแล้ว ทำไมจึงยังมายืนอยู่ที่นี่ได้
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้กัน จะต้องจ่ายค่าแม่สื่อของข้าหนักหน่อยนะ ผู้นำสกุลจ้าน” หลิวหลีมองดูพ่อแม่ของตัวเองที่ยังค้างอยู่ในท่าเดิมตั้งแต่ที่พวกเขาออกไป พอเถอะ ตอนนี้นางสามารถแน่ใจได้เรื่องหนึ่ง ในอนาคตพ่อแม่นาง จะต้องหวานกันจนเลี่ยนแน่ หวานกันอยู่สองคนจนลืมการมีอยู่ของคนอื่นไปเลย
“พี่ใหญ่ ซินเยว่ ซินเยว่ยังมีชีวิตอยู่” จ้านเฟิงหลิงตั้งสติได้ จับจูงหลงซินเยว่แล้วพูดขึ้นด้วยความตื้นตันใจ
“พี่เห็นแล้ว พี่เหวินเซวียน พี่ควรจะอธิบายอะไรหน่อยหรือไม่”
“พี่เฟิงอวี้ ซินเยว่ได้รับการคุ้มครองจากป้ายหยกประจำสกุล จึงทำให้สามารถรักษาลมหายใจไว้ได้ นังหนูหลิวหลีขอให้อาจารย์ช่วยทำยาคืนวิญญาณให้ นางจึงฟื้นขึ้นมา เพียงแต่ว่าการต่อสู้ฝ่าฟันของนางก่อนหน้านี้ ประกอบกับความกระทบกระเทือนที่ได้รับจากการให้กำเนิดหลิวหลี ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของนางลดลงไปอยู่ในช่วงอมตะ” หลงเหวินเซวียนพูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกปวดใจ
“ซินเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ดีที่สุด ดีมาก” จ้านเฟิงอวี้เสียสติไปเล็กน้อย ทันใดนั้น พลังเซียนที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จ้านเฟิงอวี้ก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้น
“เขาแก้ปมในใจเขาได้แล้ว มิน่าพลังบำเพ็ญเพียรของพี่เฟิงอวี้จึงก้าวหน้าช้า เพราะการตายของซินเยว่ทำให้เขาเกิดปมในใจ สองพี่น้องสกุลจ้านช่างน่าสงสาร พี่ชายมีปมในใจทำให้การบำเพ็ญก้าวหน้าช้า น้องชายก็เสียสติ ตอนนี้คงบอกไม่ได้แล้วว่าใครติดค้างใครกันแน่” หลงเหวินเซวียนพูดพลางทอดถอนใจ
หลิวหลีก็รู้สึกว่าตัวการของเรื่องนี้มีเพียงคนเดียวก็คือ จ้านเฟิงจวิน แต่นางก็ได้แก้แค้นไปแล้วอย่างสาสม อย่างอื่นก็ช่างมันไปแล้วกัน
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในใจของพี่ได้ซ่อนเรื่องราวไว้มากมายขนาดนี้” จ้านเฟิงหลิงพูดขึ้นพลางมองดูพี่ชายที่คลายปมในใจทำให้พลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อาหลิง อีกหน่อยดีกับท่านลุงหน่อยนะ” หลงซินเยว่จับมือจ้านเฟิงหลิงแล้วพูด
“ซินเยว่ เจ้าเรียกพี่ว่าอะไรนะ” จ้านเฟิงหลิงไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูของตัวเอง
“ท่านลุง ข้าบอกว่า อาหลิง อีกหน่อยพวกเราต้องดีกับท่านลุงให้มาก” หลงซินเยว่ทวนตามคำขอของจ้านเฟิงจวิน
“ซินเยว่ มีเจ้าแล้วดีมากจริงๆ” จ้านเฟิงจวินจับมือหลงซินเยว่แล้วพูดขึ้น
“ผู้นำสกุลจ้านท่านนี้เป็นคนที่เก็บความรู้สึกไว้ลึกจริงๆ เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับเก็บไว้ในใจไม่ยอมบอกใคร ตัวเองต้องแบกรับไว้นานขนาดนี้ เวลาปกติก็ยังสามารถไปพูดคุยสนุกสนานกับคนอื่นได้อีก” คำพูดของหลิวหลีทำให้คนที่รู้สึกตื้นตันใจพวกนี้รู้สึกว่าฟังดูแล้วมีเหตุผล ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่พวกเขาจะเศร้าเสียใจไปทำไมกัน
“หลิวหลี เจ้าว่าท่านลุงของเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร” หลงซินเยว่พูดพลางส่งสายตาตำหนิให้หลิวหลี นังหนูพูดอะไรก็ไม่ได้ดูหน้าดูหลังก่อนเลย
“ท่านแม่ ข้ายังไม่ได้ยอมรับในตัวพ่อเลย ก็มีลุงที่ไหนไม่รู้โผล่มาแล้วจะดีหรือ” หลิวหลีทำปากยื่นขณะมองแม่ของตัวเอง
‘พูดได้ดี’ พ่อลูกบ้านสกุลหลงยกมือแสดงความชื่นชมให้กับหลิวหลี มีแต่หลานสาวเท่านั้นแหละที่ยังเป็นตัวของตัวเอง ดูสิ ลูกสาวของเขาเหมือนจะกลายเป็นคนบ้านอื่นไปเสียแล้ว
“นังหนู เจ้าพูดไร้สาระอะไร” หลงซินเยว่เห็นแววตาเศร้าสร้อยของจ้านเฟิงอวี้ ก็อดร้อนใจขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ได้พูดไร้สาระ ยังไม่ให้ค่าสินสอดทองหมั้นมาเลย พวกท่านทั้งสองคนยังไม่ได้แต่งกันอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมเลย” หลิวหลีพูดความจริงที่น่าเศร้าออกมา
“นังหนูหลิวหลี ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับพ่อแม่ของเจ้า ให้ทั้งโลกบำเพ็ญได้รู้ข่าวการแต่งงานของพวกเขา” จ้านเฟิงอวี้ที่หลุดพ้นจากปมในใจนั้นได้ ก็ราวกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ท่านเป็นคนพูดเองนะ แต่ว่าข้าก็มีอะไรอยากจะขอเช่นกัน ข้าหวังว่าท่านพ่อและท่านแม่จะไม่ต้องอาศัยอยู่ที่บ้านสกุลจ้าน พวกท่านฟังข้าพูดให้จบก่อน ถึงเรื่องในตอนนั้นจะเป็นความผิดของจ้านเฟิงจวิน แต่ก็ไม่สามารถตัดเรื่องที่คนสกุลจ้านไม่เป็นมิตรกับแม่ของข้าได้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่พลังบำเพ็ญเพียรของแม่ข้าไม่เพิ่มแต่กลับลดลง เป็นเรื่องที่พวกเขาจะเลือกเอามาโจมตีนางได้เป็นอย่างดี อย่าเพิ่งพูดว่าท่านจะจัดการได้เลย พวกเขาคงไม่กล้าพูดตรงๆ แต่ถ้าแอบพูดลับหลังล่ะ พวกท่านจะรู้หรือไม่”
เมื่อจ้านเฟิงอวี้ฟังจบก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ ทุกคำพูดของหลิวหลีมีเหตุผลทั้งสิ้น
“ได้ ข้าตกลง” จ้านเฟิงอวี้พยักหน้า น้องชายของเขากับซินเยว่ลำบากมาครึ่งชีวิตแล้ว หนทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้า จำเป็นต้องให้พวกเขาเป็นคนไปเดินด้วยตัวเอง
“พี่ใหญ่/ท่านลุง” จ้านเฟิงหลิงกับหลงซินเยว่ตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“ดีมาก ข้าจะจัดงานแต่งงานที่ดีที่สุดให้กับแม่ของข้า เรื่องส่งตัวเจ้าสาวข้าจะเป็นคนจัดการเอง” หลิวหลีตบอกแล้วเอ่ย
“ทำไม นังหนู จะเชิญอสูรน้อยจากเผ่าอสูรเทพทั้งห้ามาให้ความช่วยเหลืออีกหรือ” จ้านเฟิงอวี้พูดจาหยอกล้อ
“ไม่หรอก แม่ของข้าจะใช้อสูรน้อยได้อย่างไร แม่ของข้าจะแต่งงานจะใช้อสูรน้อยได้เช่นไร นั่นไม่ใช่การทารุณเด็กหรือ เรื่องแบบนั้นข้าจะทำได้อย่างไร” หลิวหลีพูดพลางโบกมือไปมา
หนานกงเวิ่นเทียนกับเอ๋าเลี่ยที่ไม่มีตัวตนมาโดยตลอด ก็อดที่จะเงยหน้ามองฟ้าไม่ได้ นางไม่ทารุณอสูรน้อย? ตอนนั้นที่แห่ขบวนไปที่บ้านสกุลหนานกงคือใครกัน หลงหลิวหลีเจ้าไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือ
“นั่นมันสายตาอะไรของพวกเจ้า ข้าเป็นคนที่ไม่รักษาคำพูดตอนไหน งานแต่งของแม่ข้า แน่นอนว่าข้าจะต้องวางแผนให้เป็นอย่างดี พอถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็ดูให้ดีแล้วกัน” หลิวหลีอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
ตาขวาของหลงเหวินเซวียนกระตุกไม่หยุด รู้สึกเหมือนหลิวหลีจะมีแผนการร้ายอะไร พอถึงตอนนั้นพวกเขาจะมีชื่อเสียงกึกก้องไปทั่วทั้งโลกบำเพ็ญ
“นังหนู งานแต่งงานของพ่อแม่เจ้า มีพวกเราคอยจัดการก็พอแล้ว เจ้ารอดูก็พอ” หลงเหวินเซวียนพูดด้วยท่าทีอ่อนโยน
นี่คือจะไม่ให้นางเข้าไปยุ่ง เอิ่ม ทั้งๆที่ความคิดของนางก็ไม่เลวแท้ๆ
“นังหนู เจ้าดู เวิ่นเทียนมาตั้งนานแล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่ได้คุยอะไรกัน พวกเจ้าคนหนุ่มสาวออกไปเที่ยวกันเถอะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่อย่างพวกเรานั่งคุยเล่นกันไป”
พระเจ้า ท่านตาออกปากไล่แล้ว นางไปดีกว่า
“เอ่อ นังหนูมีความคิดแปลกๆเยอะทีเดียว” มองดูแผ่นหลังที่เศร้าสร้อยของหลิวหลี หลงซินเยว่ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“นางไม่ยอมเรียกข้าว่าพ่อเลย” จ้านเฟิงหลิงซึมไปเล็กน้อย
“หลิวหลีจะคิดได้เอง” หลงซินเยว่ปลอบโยน
“หลิวหลี ต่อไปงานแต่งของเรา เจ้าอยากให้เป็นอย่างไร ก็ทำให้มันเป็นอย่างนั้นเลยนะ” หนานกงเวิ่นเทียนนึกว่าหลิวหลีจะเสียใจ จึงพูดจาปลอบหลิวหลี
“จริงหรือ แต่ว่ามันสิ้นเปลืองยาศักดิ์สิทธิ์มากเลย ข้าคิดว่าจะใช้ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 7 จำนวนมากไปเชิญหงส์จากเผ่าหงส์มาช่วย แต่ท่านตาไม่ยอม ข้าก็ยังดีใจที่จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองยาศักดิ์สิทธิ์ แต่พอเสี่ยวเทียนเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าก็คงจะต้องสิ้นเปลืองแล้วล่ะ” หลิวหลีพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ หนานกงเวิ่นเทียนนิ่งไป เพราะฉะนั้นที่เขาปลอบไปเมื่อครู่ช่างไร้ประโยชน์ ช่างเจ็บปวดมากเสียจริง
เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าตัวเองเป็นดอกไม้ประดับต่อไปจะดีกว่า ความคิดของนังหนูไม่เหมือนกับคนปกติ ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไร เขาควรจะเป็นมังกรแสนสง่าผู้รักความสงบต่อไปจะดีกว่า
………………………………