แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 129 สังการผู้เฒ่าคูกู่
แล้วจึงแสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งจะได้สติกลับมา
“ที่นี่คือที่ไหน” หลิวหลีลองคำนวนเวลาแล้วทำเป็นเหมือนเพิ่งฟื้นขึ้นมา
“น้องพี่ น้องพี่” หลิวหลีทำเป็นรีบร้อนเขย่าตัวหนานกงเวิ่นเทียน
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น” หนานกงเวิ่นเทียนแกล้งทำเป็นสะลึมสะลือ ตกใจหลบเข้าไปอยู่ข้างหลังหลิวหลี
“น้องหญิงไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” หลิวหลีดึงหนานกงเวิ่นเทียนไปอยู่ด้านหลังของตัวเอง ทำท่าทางราวกับเป็นวีรบุรุษ
“โถ ช่างเป็นคู่รักที่รักกันเสียจริง ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเจ้าสองคนได้เจอแบบเดียวกันแน่” เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งลอยเข้ามา
“เจ้า เจ้าเป็นใคร” หลิวหลีมองคนที่อยู่ในชุดคลุมสีดำ
“โถ่ ในฐานะที่พวกเจ้ากำลังจะอุตส่าห์อุทิศตัวให้กับข้า ข้าก็จะบอกให้ก็แล้วกัน ข้าคือผู้เฒ่าคูกู่” ผู้เฒ่าคูกู่กล่าว
“ท่านพี่ คนผู้นี้เป็นใคร เป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนทำท่าทางสับสน
“ใช่ ข้าก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน” หลิวหลีเออออไปด้วย
“หึ ข้าผู้เฒ่าคูกู่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่ในที่แห่งนี้” ผู้เฒ่าคูกู่ทำท่าทางดูถูกเด็กสองคนนี้
“แต่ว่าก็ไม่เคยได้ยินจริงๆ ข้าไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแค่ไหนแล้ว” หลิวหลีทำท่าทางประหลาดใจ
“หึ อย่างไรเสียพวกเจ้าทั้งสองคนก็ต้องกลายมาเป็นพลังให้กับข้า ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับพวกเจ้ามาก” ผู้เฒ่าคูกู่พูดอย่างไม่สนใจใยดี
“ท่านพี่ ข้ากลัว” หนานกงเวิ่นเทียนแกล้งตกใจกลัว ขยับตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของหลิวหลี
“น้องพี่ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” หลิวหลีให้หนานกงเวิ่นเทียนมาอยู่ด้านหลัง
“ฮ่าฮ่า สาวงามทั้งสอง พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ในเมื่อสาวงามคนนี้ยังกลัวอยู่ ถ้าอย่างนั้นข้าเริ่มจากสามีของเจ้าก่อนเลยแล้วกัน” ผู้เฒ่าคูกู่มองทั้งสองด้วยสายตาไม่ประสงค์ดี
หลิวหลีไม่รู้จะพูดอะไร ไหนบอกว่าคนที่หายตัวไปต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญหญิง บทบาทของนางตอนนี้คือนายน้อย อย่าบอกนางว่าพอเขาเห็นนาง แล้วเขาก็เปลี่ยนเพศเลย
“สาวน้อย พอเห็นเจ้าแล้ว ข้าก็ใจสั่น เจ้างดงามมากเหลือเกิน งดงามเสียจนทำให้ใจข้าหวั่นไหว ข้าเพิ่งเห็นว่าผู้บำเพ็ญชายอย่างเจ้าก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นวิชาของข้าคงจะสำเร็จได้ในโดยเร็วแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า” ผู้เฒ่าคูกู่หัวเราะแล้วพูดขึ้น
หลิวหลีไม่มีอะไรจะพูด นางทำผิดต่อผู้บำเพ็ญชายหรือเปล่า หรือว่าจริงๆแล้วนางควรติดหนวดอะไรพวกนั้นด้วย หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ด้านหลังของหลิวหลีแทบจะแสดงต่อไปไม่ไหวแล้ว นังหนูครั้งนี้คงจะต้องลำบากแน่
“แม่สาวน้อย ข้ามาแล้ว” ผู้เฒ่าคูกู่กระโจนเข้ามาพร้อมกับสายตาไม่ประสงค์ดี
หลิวหลีก็เดินเข้าไป
“โลกมารมีแต่คนแบบเจ้าหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องออกมารังควานผู้คนหรอก พลังบำเพ็ญเพียรอยู่แค่ในช่วงแยกจิตระยะต้น แล้วยังจะกล้าออกมาทำตัวกร่าง” หลิวหลีไม่เล่นด้วยแล้ว ไม่สนุกเลย เมื่อเจอกับคนที่สายตามีปัญหาเช่นนี้ ทำให้นางไม่อยากจะเล่นด้วยอีกต่อไป
“เจ้ารู้พลังบำเพ็ญเพียรของข้าได้อย่างไร” ผู้เฒ่าคูกู่ระวังตัวขึ้นมาในทันที เด็กหนุ่มนี่ทำไมจึงได้รู้พลังบำเพ็ญเพียรของเขา
“เพราะว่ามองเห็นน่ะสิ จะว่าไปแล้ว ทำไมมีสาวงามอยู่แล้วเจ้าไม่ยอมจัดการนาง แต่ต้องมาเริ่มจัดการกับผู้ชายก่อน?” หลิวหลีไม่แสดงอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืน หนานกงเวิ่นเทียนก็ไม่ทำเป็นอ่อนแอแล้ว นังหนูไม่เล่นแล้ว แล้วเขาจะแสดงต่อไปทำไม
“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ พวกเจ้าไม่ใช่สามีภรรยากันนี่นา” อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าคูกู่ก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดี เด็กสองคนนี้ดูแล้วน่าจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
“เป็นใครก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเจ้าก็ช่างใจกล้า ถึงขนาดกล้ามาขโมยคนในที่กลางแจ้งเช่นนี้ ยังดูดพลังผู้บำเพ็ญจนกลายเป็นศพ เผาเจ้าให้กลายผุยผง ก็ยังไม่สามารถทำให้หายแค้นได้เลย” หลิวหลีพูดด้วยสีหน้าท่าทางปกติ
“หึ เด็กน้อยทั้งสอง ก็คงต้องดูว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถนั้นหรือไม่” ผู้เฒ่าคูกู่พูดจบก็สลายตัวเป็นควันดำแล้วหายไป
“น่าจะยังไปไม่ไกลมากนัก พวกเราไปกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วพูดขึ้น
“น้องพี่ ทำไมจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นนี้” หลิวหลีรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ทำไมถึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าขนาดนี้
“ท่านพี่ ก็เลิกเล่นกันแล้ว ข้าจะใส่ชุดอยู่ต่อไปทำไม อีกอย่าง หากยังไม่ไปตอนนี้ ผู้เฒ่าคูกู่ก็อาจจะหนีไปได้” หนานกงเวิ่นเทียนอยากจะกลอกตาใส่อย่างมาก
“ไปกันเถอะ” หลิวหลีเอามือลูบจมูก ไม่ควรเล่นมากเกินไป
ทั้งสองเดินไปตามทิศทางหนึ่ง แล้วก็พบว่า
“มีแนวเขตต้องห้ามจำนวนมาก” หนานกงเวิ่นเทียนมองดูแนวเขตต้องที่ซับซ้อนตรงหน้า
“แนวเขตต้องห้ามหรือ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร” หลิวหลีดีดนิ้ว
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น จับคนร้ายได้แล้วหรือ” จื่อฉีกล่าว
“มีแนวเขตต้องห้าม” หลิวหลีชี้ไปที่ข้างหน้า จื่อฉีเข้าใจในทันที เขาอ้าปาก แนวเขตต้องห้ามทั้งหมดถูกทำลายไปในพริบตา
“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมจึงมีคนทำลายแนวเขตต้องห้ามของข้าได้ เด็กสองคนนี้เป็นใครกันแน่” ผู้เฒ่าคูกู่สัมผัสได้ว่าแนวเขตต้องห้ามถูกทำลายลงในระยะเวลาอันสั้น อยู่ๆเขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมา
ทั้งสองคนเดินมาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ลอยมา
“เหตุใดจึงมีเสียงร้องไห้” หลิวหลีขมวดคิ้ว ผู้เฒ่าคูกู่ต้องการจะเล่นอะไรกันแน่
“อยู่ทางนั้น” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว ไม่ใช่เสียงของผู้บำเพ็ญหญิงที่ถูกจับตัวไปหรอกใช่ไหม ใช่จริงด้วย เป็นผู้บำเพ็ญทั้งนั้นเลย เมื่อเจอปัญหาทำได้เพียงแต่นั่งร้องไห้ ยังจะบำเพ็ญอะไรกันได้อีก
เมื่อเดินเข้าไปดู ก็พบผู้บำเพ็ญหญิงกลุ่มหนึ่งที่ถูกขังไว้
“เป็นผู้บำเพ็ญหญิงที่ถูกจับตัวมา” ทำไมทำได้แต่ร้องไห้ หลิวหลีขมวดคิ้ว ขะอ่อนแอเกินไปรึเปล่า น่าจะหาวิธีหนีออกไป แล้วจัดการผู้เฒ่าคูกู่ให้ร้องเรียกหาพ่อหาแม่สิจึงจะถูก
“ตอนนี้อย่าเพิ่งไปสนใจพวกนาง พวกนางอยู่ตรงนั้นยังถือว่าปลอดภัย ควรจะจับผู้เฒ่าคูกู่ให้ได้ก่อน” หนานกงเวิ่นเทียนเองก็ไม่ชอบผู้บำเพ็ญหญิงที่เอาแต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นกัน
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิวหลีก็เห็นด้วย ถ้าหากผู้บำเพ็ญหญิงที่อ่อนแอกลุ่มนั้นถูกจับไปเป็นตัวประกัน พวกเขาจะช่วยหรือไม่ช่วยดีล่ะ
ทั้งสองคนเดินต่อไม่นานก็เจอผู้เฒ่าคูกู่
“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ไปไหนไม่ได้แล้ว ทิ้งชีวิตไว้ตรงนี้เสียดีๆ” ผู้เฒ่าคูกู่พูดอย่างเหี้ยมโหด
“ค่ายกลปีศาจกลืนวิญญาณ” หนานกงเวิ่นเทียนหนักใจขึ้นมา นี่คือค่ายกลปีศาจที่ขึ้นชื่อเรื่องความชั่วร้ายในโลกมาร
“หลิวหลี ระวัง หากพลังชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายอาจจะแย่ได้” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ค่ายกลนี้ไม่สามารถแก้ได้เลยหรือ” หลิวหลีถามขึ้น ค่ายกลนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้าย อีกอย่าง ฟังจากชื่อแล้วน่าจะมีวิญญาณชั่วร้ายอยู่จำนวนไม่น้อย หากมีผู้บำเพ็ญสายพุทธสักคนก็จะดี บทแผ่เมตตากับบทสวดของพระโพธิสัตว์กวนอิมสักท่อนหนึ่งก็น่าจะสามารถจัดการได้ น่าเสียดายที่พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญสายเต๋า
เป็นอย่างที่หลิวหลีคิดไว้จริงๆ มีวิญญาณอยู่ข้างในจำนวนไม่น้อย ภูติผีส่งเสียงกรีดร้อง ฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่ใจ
“พวกเราจะต้องรีบแก้ค่ายกลนี้ ไม่เช่นนั้น หากพวกเราถูกกลืนกินก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
หลิวหลีไม่ได้ตอบอะไร แล้วก็เข้าใจว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกเขาเลย แต่ว่าจะแก้ค่ายกลนี้อย่างไรล่ะ หลิวหลีแสดงออกว่านางแค่รู้จักค่ายกลนี้ หลักการอะไรพวกนั้น นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ทว่า หลิวหลีหลบวิญญาณร้ายไปพลางคิดไปพลาง ถึงแม้นางจะไม่สามารถแก้ค่ายกลนี้ได้ แต่ถ้าทำลายน่าจะพอได้อยู่ ของพวกนี้เป็นของฝ่ายอธรรมที่มีความชั่วร้าย เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องใช้ของฝ่ายธรรมะที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความดี
ตอนนี้หนานกงเวิ่นเทียนไม่คิดจะเรียกเฟิ่งอิงเสวี่ยออกมา หลิวหลีก็ไม่ได้เรียกเอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีออกมาเช่นกัน พวกเขายังสามารถรับมือสถานการณ์ตอนนี้ได้อยู่ จะพึ่งพาคู่พันธสัญญาไปเสียทุกเรื่องไม่ได้
ในขณะที่หลิวหลีกำลังคิดหาวิธี ก็ต้องคอยหลบวิญญาณร้ายไปด้วย ทันใดนั้นเองหลิวหลีก็เหมือนจะคิดอะไรออก อัสนีบาตถือเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม ถ้าอย่างนั้น หลิวหลีหยุดการเคลื่อนไหว หนานกงเวิ่นเทียนที่ดูอยู่ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จากนั้นก็เห็นเปลวไฟสีม่วงปรากฏขึ้นบนมือขวาของหลิวหลี เมื่อวิญญาณร้ายสัมผัสโดนก็สลายกลายเป็นควันดำ หลิวหลีดีใจ ได้ผลจริงๆ หนานกงเวิ่นเทียนเห็นเพลิงอัสนีครามของหลิวหลีเผาวิญญาณร้ายจนมอดไหม้ ก็ขยับเข้ามาอยู่ข้างหลิวหลี
ผู้เฒ่าคูกู่ที่ได้ใจในตอนแรกก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี ค่ายกลปีศาจกลืนวิญญาณนี้หลอมรวมเป็นร่างเดียวกับเขา นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่หลิวหลีเผาอยู่ตอนนี้คือผู้เฒ่าคูกู่
“นังหนูคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมีเพลิงอัคคีที่มีพลังทำลายเช่นนี้” ผู้เฒ่าคูกู่พยายามอดทนกับความเจ็บปวด แล้วสั่งการให้วิญญาณร้ายไปโจมตีสองคนนั้น แต่ทั้งหมดกลับถูกเผาเสียจนไม่สามารถกลับไปเกิดใหม่ได้อีก นี่สวรรค์ต้องการจะปลิดชีวิตเขาหรือนี่
ใช้เวลาเพียงไม่นาน ค่ายกลปีศาจกลืนวิญญาณก็ถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดี
“เสี่ยวเทียน เจ้าจะต้องระวังตัวไว้ ระวังผู้เฒ่าคูกู่จะออกมาลอบโจมตี” หลิวหลีเพิ่มพลังเพลิงอัคคี จากนั้นก็ได้ยินเหมือนเสียงอะไรดังขึ้น ค่ายกลปีศาจกลืนวิญญาณเผาจนพังทลายลง ผู้เฒ่าคูกู่ที่พวกเขาระแวดระวังก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นดูเหมือนจะถูกเผาตายไป
“เสี่ยวเทียน ศพนี้เป็นของผู้เฒ่าคูกู่ใช่หรือไม่” หลิวหลีมองชุดสีดำกับศพที่โดนเผาจนไหม้เกรียมกลายเป็นสีดำราวกับเถ้าถ่าน
“น่าจะใช่ คิดว่าค่ายกลที่ชั่วร้ายอันนั้นน่าจะถูกหลอมรวมไปกับชายผู้นี้ เพลิงอัคคีของเจ้าเผาทำลายค่ายกลก็เท่ากับเผาชายผู้นี้ให้วอดวายไปด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนวิเคราะห์ขึ้น
“รู้สึกแปลกๆ อย่างไรไม่รู้” อยู่ๆหลิวหลีก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ก็เลยแอบสร้างกำแพงเพลิงอัคคีไว้ทุกด้าน
“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยท่าทีจริงจัง
ทันใดนั้น ศพสีดำที่โดนเผาจนไหม้เกรียมก็มีควันสีดำปรากฏขึ้น ควันนั้นรีบหนีออกไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง แต่กลับชนเข้ากับกำแพงเพลิงอัคคีของหลิวหลี ทำให้โดนเผาจนต้องร้องโอดครวญ
“พวกชั่ว ถึงขนาดทำลายสิ่งที่ข้าอุตส่าห์สร้างขึ้นมาภายในวันเดียว ข้าจะไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปแน่” ผู้เฒ่าคูกู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดตะโกนขึ้น
“ผู้บำเพ็ญสายมารน่าประหลาด ปราณก่อนกำเนิดเป็นหัวกระโหลกสีดำ แปลกจริงๆเลย” หลิวหลีมองหัวกระโหลกสีดำที่ถูกเผาร้องโอดครวญ
“เกือบจะปล่อยให้เขาหนีไปได้แล้ว นังหนู เจ้าสร้างกำแพงนี้ตั้งแต่เมื่อใด” หนานกงเวิ่นเทียนยกนิ้วโป้งให้กับหลิวหลี ไม่เช่นนั้นปราณก่อนกำเนิดของมารตัวนี้ก็คงจะหนีไปได้แล้ว คงจะเป็นภัยต่อพวกเขาในอนาคตแน่
“ตอนที่เห็นศพ” นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ใช้จริงๆ
“ไม่ปล่อยพวกข้าไปหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเผาปราณก่อนกำเนิดมารกับประสาทเซียนของเจ้าให้กลายเป็นผงธุลี ไม่ให้โอกาสเจ้าได้ไปผุดไปเกิดอีก ข้าก็จะดูว่าเจ้าจะไม่ปล่อยพวกข้าไปอย่างไร ข้าเห็นมารอย่างเจ้าเมื่อใด ข้าจะฆ่าให้ตายทันที” หลิวหลียิ้มพลางเพิ่มพลังของเพลิงอัคคี จนปราณก่อนกำเนิดมารไม่เหลือแม้แต่แรงจะส่งเสียงร้อง
“อืม ในเมื่อเจ้าจะไม่ปล่อยพวกเราไป ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปละกัน” หลิวหลีคิดอะไรบางอย่างออก อยู่ๆก็เปลี่ยนเพลิงอัคคีเป็นเพลิงสุวรรณพรางแล้วก็เติมพืชศักด์สิทธิ์ที่มีพลังทำลายเข้าไปในบางครั้ง ผู้เฒ่าคูกู่ค้นพบอย่างหวดกลัวว่า นังหนูคือนักปรุงยา แถมยังเป็นนักปรุงยาที่สามารถปรุงยาอันตรายได้ ผู้เฒ่าคูกู่ส่งเสียงร้องครั้งเป็นสุดท้าย แล้วกลายเป็นของเหลวสีดำ แล้วค่อยๆกลายเป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์สีดำ
“เก็บ” หลิวหลีตะโกนเรียกเม็ดยาแล้วเก็บไว้อย่างระมัดระวัง
“นังหนู นี่คืออะไร” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้นด้วยความสงสัย มารตนนี้ก็สามารถใช้ปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ
“ใช่ เป็นของดีอย่างหนึ่ง เรียกว่า ยาระเบิดแล้วกัน มันมีพลังทำลายล้างสูงมาก” คล้ายกับระเบิดในชาติที่แล้วเลย
……………………………….