แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 133 ข่าวของเพลิงอัคคีชนิดต่อไป
ณ เมืองลิ่วเจี่ยว หลิวหลีเอาสิ่งของที่จำเป็นส่งกลับผ่านลูกศิษย์สาขาย่อย พอเทียนเลี่ยนจื่อได้รับของก็มองดูสินแร่กองพะเนินกับมีดเล่มใหญ่ที่แตกออกเป็นสองท่อน และขวดยาศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ศิษย์น้องยังคงใจป้ำเหมือนเดิม เพียงแต่มองดูแผ่นภาพที่ศิษย์น้องส่งมาให้ เขาควรจะขอบคุณศิษย์น้องที่เชื่อมั่นในตัวเขาถึงเพียงนี้หน่อยไหม หากตัวเขาเองสามารถหลอมออกมาได้เขาคงเลื่อนขั้นเป็นนักหลอมอาวุธระดับ 8 ไปแล้ว มองดูของขวัญที่ศิษย์น้องมอบให้ สินแร่กองโตกับยาศักดิ์สิทธิ์ขวดเล็กล้วนเป็นยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 7 คุณภาพชั้นเลิศ
“ศิษย์พี่ ลองได้เต็มที่เลย อาวุธของข้าขอฝากไว้ที่ศิษย์พี่ด้วย” แล้วยังใช้นกพิราบกระดาษส่งข้อความเสียงมาให้อีกต่างหาก
“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะพยายามแล้วกัน”
สินแร่ที่หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนได้กลับมายังถูกส่งกลับไปที่โลกอสูรเทพอีกสองชุด บ้านสกุลหลงกับบ้านสกุลหนานกงคนละชุด
ของส่งไปแล้ว ทั้งคู่จึงเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองลิ่วเจี่ยว
“นี่เป็นแบบมาใหม่ สวยใช่ไหมล่ะ”
“ของข้าก็เหมือนกัน”
หลิวหลีมองดูชุดผู้หญิงแบบใหม่หลากหลายสีสัน
“นี่คือแบบที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกอสูรเทพ ได้ยินมาว่าชุดแต่งงานของหลงซินเยว่กับจ้านเฟิงหลิงที่จัดขึ้นก่อนหน้านี้ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย”
“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าลูกสาวของพวกเขาหลงหลิวหลีเป็นคนออกแบบ”
“หลงหลิวหลีผู้นี้แทบจะทำให้คนอื่นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลย อายุยังน้อยแต่พลังบำเพ็ญเพียรขนาดนั้นทำเอาหลายคนอยากกลับไปเริ่มต้นบำเพ็ญเสียใหม่ อีกทั้งยังเป็นนักปรุงยาระดับ 7 ที่มีอายุน้อยที่สุด ได้ยินมาว่ามีพรสวรรค์ในเรื่องการออกแบบอีกด้วย”
“สวรรค์คงจะโปรดปรานนางมาก มีของอะไรดีๆก็ให้นางหมด”
“ใช่แล้วยังมีคู่หมั้นที่ความสามารถไม่ธรรมดาด้วย”
“นังหนู คิดเห็นอย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนฟังคำพูดเหล่านั้นแล้วหันไปมองหลิวหลีที่ทำสีหน้าเรียบเฉย
อะไรคือสวรรค์โปรดปรานนาง ทั้งๆที่นางเองก็มานะบากบั่น แต่กลับไม่มีใครมองเห็นความพยายามของตัวนางเลย คนทั่วไปก็มักเป็นเช่นนี้
“คิดอย่างไร ก็มันจริงนี่นาที่พวกเขาบอกว่าข้ามีคู่หมั้นที่แสนเก่งกาจ” หลิวหลีเชยคางของหนานกงเวิ่นเทียนแล้วพูดขึ้น
“นังหนู เจ้านี่นับวันก็ยิ่งผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ” หนานกงเวิ่นเทียนมองดูหลิวหลีที่ชอบแซวเขาอยู่บ่อยๆอย่างหมดคำพูด ตั้งแต่ออกมาก็มักจะแซวเขาอยู่ตลอด ไม่กลัวว่าเขาจะลงโทษนางตรงนั้นเลยหรืออย่างไร
“ไม่เลย ข้าออกจะปกติขนาดนี้ จะผิดปกติได้อย่างไร” หลิวหลีเห็นว่านางเป็นคนที่ปกติมาก
“เอาเถอะ เลิกเล่นเถอะ ตอนนี้พวกเราสัมผัสได้ถึงช่วงพลังต่อไปแล้ว นังหนูพวกเราควรจะไปตามหาเพลิงอัคคีกันแล้วหรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าวขณะแกะมือของหลิวหลี แล้วใช้มือเคาะหัวของนาง
“เฮ้อ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน เพลิงอัคคีไม่ใช่ผักกาดขาวที่จะมีอยู่ทั่วทุกที่สักหน่อย” หลิวหลีกล่าว
“ไม่แน่ว่าอาจจะตกลงมาจากบนฟ้าก็ได้” หนานกงเวิ่นเทียนพูดติดตลก แต่นังหนูก็เคยได้เพลิงอัคคีจากบนฟ้าจริง ๆ
“จะมีเรื่องบังเอิญแบบนั้นที่ไหนกัน ไม่ได้หรอก ต้องไปหาผู้บำเพ็ญมารที่ทำแต่ความชั่ว แล้วเขามีเพลิงอัคคี เราแย่งของเขามาก็ได้แล้ว” หลิวหลีพูดติดตลก จริงๆแล้วนางมีลางสังหรณ์ว่านางจะได้เพลิงอัคคีชนิดต่อไปจากการแย่งชิง
“เฮ้อ พวกเจ้าได้ยินกันแล้วหรือยัง เมืองเมฆารุ้งมีผู้บำเพ็ญมารที่เก่งกาจ จนไม่มีใครทำอะไรเขาได้”
“หืม มารตนนั้นเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ”
“มารตนนั้นมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงนัก อีกทั้งยังมีเพลิงดาราทมิฬที่จัดอยู่อันดับต้นๆของเพลิงอัคคีปกป้องตัวเองจนไม่มีใครทำอะไรเขาได้”
“เพลิงอัคคี พูดถึงเพลิงอัคคีก็นึกถึงหลงหลิวหลีที่บำเพ็ญฝึกฝนคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ ไม่รู้ว่าเพลิงอัคคีของพวกเขาสองคนใครจะสุดยอดกว่ากัน”
“หลงหลิวหลีต้องสุดยอดกว่าอยู่แล้ว ได้ยินมาว่าตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของนางอยู่ในช่วงแยกจิตแล้ว แถมยังมีเพลิงอัคคีตั้ง 5 ชนิด”
“มีเยอะจะช่วยอะไรได้ ต้องดูที่คุณภาพต่างหาก เพลิงอัคคีมากมายขนาดนั้นก็ใช่ว่าจะทำอะไรมารตนนั้นได้”
“ใช่แล้ว มารตนนั้นมีนามว่าอะไรหรือ”
“เหมือนจะชื่อว่าผู้เฒ่าคูมู่”
“เสี่ยวเทียน พวกเราเพิ่งจัดการกับคูกู่ไป ตอนนี้มีคูมู่ออกมาอีกแล้ว แต่ว่าคนนี้เหมือนจะไม่ธรรมดาเพราะมีเพลิงอัคคีด้วย” น้ำเสียงของหลิวหลีเจือร่องรอยตื่นเต้น
“ช่วงนี้ผู้บำเพ็ญมารคึกคักไม่เบา ทั้งที่อยู่ในช่วงสงบศึก การปรากฏตัวของผู้บำเพ็ญมารดูไม่ค่อยชอบมาพากลนัก” หนานกงเวิ่นเทียนพูดวิเคราะห์
“ถ้าเป็นเช่นนี้เราลองไปที่เมืองเมฆาสีรุ้งกัน ในเมื่อข้าเองก็สนใจเพลิงดาราทมิฬไม่น้อย” หลิวหลีกล่าว แค่สนใจที่ไหน ลุ่มหลงเลยต่างหาก นางต้องได้มันมาครอบครอง
“นังหนูต้องการสิ่งนี้หรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนไม่ค่อยเข้าใจคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณมากนัก เพราะเป็นเคล็ดวิชาที่ยังไม่เคยมีใครฝึกมาก่อนจึงไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรได้
“อืม เพลิงดาราทมิฬเป็นเพลิงอัคคีสายทมิฬ ข้าต้องการเป็นอย่างมาก” หลิวหลีพูดพลางพยักหน้า
“ไปเถอะ หวังว่ามารตนนั้นจะยังไม่ไปไหน” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยท่าทีไม่แน่ใจนัก
“เดี๋ยวข้าจะจัดการกับมารตนนั้นจนต้องร้องหาพ่อแม่เลย” หลิวหลีพูดพลางถูหมัดเตรียมพร้อม
“ประมาทไม่ได้ ได้ยินมาว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนโดนทำร้ายมาไม่น้อย” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นว่าในสายตาของหลิวหลีมีแต่เพลิงอัคคี จึงอดเตือนไม่ได้
“ข้ารู้ ข้าจะไม่ประมาท” หลิวหลีกล่าว หากนางประมาท เอ๋าเลี่ยคงจะได้ออกมาบีบคอคู่พันธสัญญาอย่างนางแน่
ทั้งสองคนก็ไม่ได้รีรอรีบรุดหน้าไปที่เมืองเมฆารุ้ง คนจำนวนไม่น้อยต่างชี้นิ้วมาที่พวกเขา
“คนไม่กลัวตายมาอีกแล้ว”
“น่าเสียดาย ยังเป็นวัยหนุ่มสาวอยู่เลย คนวัยหนุ่มสาวก็มักจะมั่นใจอย่างนี้แหละ” หลายคนเริ่มรู้สึกเสียดายแทนทั้งคู่
“มั่นใจหยิ่งผยองเกินไปอายุจะสั้นเอานะ”
“เสี่ยวเทียน ผู้ชมพวกนี้เริ่มไว้อาลัยให้พวกเราแล้ว” หลิวหลีต้องได้ยินคำพูดของคนรอบข้างอยู่แล้ว ทำไมต้องคิดว่าคนอื่นเก่งกว่าแล้วคิดว่าตัวเองด้อยกว่าด้วยล่ะ หลิวหลีเกิดอาการไม่พอใจเล็กน้อย
“นังหนู ใช้ความจริงตอกกลับไปน่าจะดีกว่า” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้นพลางมองคนกลุ่มนั้นที่ดีแต่พูดอย่างไม่ยี่หระ
หลิวหลีแสดงออกว่าเห็นด้วย ไม่มีอะไรที่จะเป็นการเอาคืนพวกเขาได้ดีเท่านี้
ณ สาขาย่อยของสำนักเมฆาคล้อย จื่ออีส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปที่สำนัก เฮ้อ ถึงจะฟังคำพูดของอาจารย์อามา เขาพยายามฝึกบำเพ็ญให้มากขึ้นแต่ว่าก็ยังไม่ทำอะไรมารตนนี้ไม่ได้ เมื่อจื่ออีมองลอดเข้าไป เฮ้อ อยู่ๆก็นึกถึงอาจารย์อาขึ้นมา
“อาจารย์อา” นี่ฝันไปหรือเปล่า อาจารย์อาจริงๆใช่ไหม จื่ออีมองสาววัยละอ่อนในชุดขาวที่ใบหน้าเหมือนเดิม ว่าแต่คนข้างๆคือใครกัน
“จื่ออี ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่” หลิวหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เจอคนรู้จัก ช้าก่อน จื่ออีไม่ใช่นักปรุงยาที่มีร่างกายอ่อนแอหรอกหรือ คิดอย่างไรถึงได้เอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่ หลิวหลีขมวดคิ้ว
“เรียนอาจารย์อา จื่ออีออกมาข้างนอกเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์แล้วผ่านมาที่นี่พอดี” จื่ออีตอบด้วยความนอบน้อม บนตัวของหลิวหลีตอนนี้ไม่มีกลิ่นอายของความเป็นเด็กสาวอย่างแต่ก่อนอยู่เลยแม้แต่น้อย
“การฝึกฝนสิ้นสุดลงแล้วหรือ”
“เรียนอาจารย์อา สิ้นสุดลงแล้ว” ไม่เช่นนั้นคงไม่มาเมืองเมฆารุ้งเพื่อส่งข่าวให้อาจารย์จนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
“เสร็จแล้วก็กลับสำนักไป อยู่ที่นี่ก็วุ่นวายเปล่าๆ” หลิวหลีพูดอย่างไม่เกรงใจ จื่ออีได้ยินก็ทำหน้าไม่ถูก แต่ก็เข้าใจว่าสิ่งที่หลิวหลีพูดคือเรื่องจริง แต่ได้ยินแบบนี้ก็ทำตัวไม่ถูก
“จื่ออี เจ้ามีอาจารย์อาที่อายุน้อยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร” เพื่อนสนิทของจื่ออี ลู่เทียนสิงไม่พอใจน้อยๆที่เห็นเพื่อนของตัวเองถูกว่ากล่าวตักเตือนราวเป็นเด็กน้อย
“เทียนสิง อย่าเสียมารยาท” จื่ออีแอบส่งสายตาไปให้เขา ช่วงเวลาสำคัญเมื่อไหร่เพื่อนคนนี้ก็ผีเข้าตลอด ทั้งๆที่นับถืออาจารย์อาจนไม่รู้จะนับถืออย่างไรแล้ว อีกฝ่ายก็อยู่เบื้องหน้าแต่กลับทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้
“จื่ออี เพื่อนของเจ้าคนนี้น่าสนใจ แต่ว่าเด็กๆดูเรื่องสนุกจบแล้วก็กลับไปเถอะ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ใหญ่ปวดหัวได้” เอาเถอะ เป็นเพื่อนสนิทของศิษย์หลานของนาง นางก็จะปล่อยเขาไป จริงๆเลย นางเป็นผู้อาวุโสมาตั้งนานจนลืมไปเลยว่าอายุของตัวเองน้อยกว่าอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำไป เมื่อพูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน
“จื่ออี ผู้อาวุโสของเจ้าคนนี้มาจากไหนเนี่ย อายุไม่มากแต่นิสัยไม่เบาเลยทีเดียว” ลู่เทียนสิงมีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ดูสิดูสั่งสอนจื่ออีเหมือนเป็นนกกระทาเลยเชียว
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดของข้า” จื่ออีอยากจะกลอกตาแต่ก็เป็นห่วงเป็นใยอาจารย์อาขึ้นมา
“ผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุด” ลู่เทียนสิงทวน อยู่ๆก็นึกถึงเรื่องราวเมื่อสิบว่าปีก่อนที่จื่ออีถ่ายทอดคำพูดจากอาจารย์อาของเขาที่เคยสอนในชั้นเรียน ทำให้เขาพลอยได้รับประโยชน์เช่นกัน เขาอยากเจออีกฝ่ายมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เจอสักที แปลว่าคนเมื่อครู่น่าจะเป็นตัวจริง
ถ้าเช่นนั้นสถานะของคนเมื่อครู่นี้จะเป็นตัวจริง
พระเจ้า เขาพลาดเสียมารยาทกับคนที่ตัวเองนับถือไปแล้ว
“นางคือหลงหลิวหลีหรือ” ลู่เทียนสิงกระโดดขึ้นด้วยความตื่นเต้น จื่ออีพยักหน้า มองลู่เทียนสิงด้วยแววตาสงสาร ถึงแม้อาจารย์อาจจะไม่ถือโทษ แต่คงต้องแกล้งเขาแน่
ไม่รู้ว่าลู่เทียนสิงที่อยู่ข้างหลังจะร้องครวญครางอย่างไรบ้าง หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเบียดเข้าไป ใช้คุณสมบัติพรางตัวของเพลิงสุวรรณพราง และสองคนค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างระมัดระวัง
เห็นนักบวชหนวดขาวยืนประจันหน้าอยู่กับผู้เฒ่ารูปร่างซูบผอมที่อยู่ในชุดสีแดง หลิวหลีค้นพบโดยประหลาดใจว่า ไม่ใช่มารทุกตนจะชอบสวมเสื้อผ้าสีดำ ผู้เฒ่าคูมู่ในชุดสีแดงทำให้ดูเหมือนกำลังกระหายเลือด สีบางสีเหมาะกับคนประเภทนี้จริงๆ
“เสี่ยวเทียน สีมงคลขนาดนี้แต่คนผู้นี้ใส่แล้วกลับดูเหมือนเป็นชุดไว้อาลัยเลย” หลิวหลีมองทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้ากันอยู่แล้วพูดขึ้น
“นังหนู คำอุปมาของเจ้า ถึงแม้จะดูใกล้เคียงแต่ตอนนี้ยังพูดยาก” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
หลิวหลีแลบลิ้นแล้วปิดปาก รอดูต่อไป
จากนั้นก็ได้ยินทั้งสองฝ่ายผลัดกันพูดคนละที หลิวหลีง่วงจนหาวหวอด นี่จะคุยกันถึงตอนไหนเนี่ย
“ไม่ใช่ตลาดสดสักหน่อย สองคนนี้จะต่อราคากันไปถึงไหน” นึกว่าการบำเพ็ญเพียรจะเป็นเหมือนนักบวชแต่มีผม แต่จริงๆแล้วไม่ต่างอะไรจากตลาดสดนัก
พอแก่แล้วก็อย่างนี้ พูดไปพูดมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยค หลิวหลีฟังจนจะกรนได้อยู่แล้ว เมื่อไหร่จะเถียงกันจบสักที
หนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกเช่นกันว่าการเถียงกันเช่นนี้ไม่มีประโยชน์
“เสี่ยวเทียน พวกเราแอบเข้าไปกันเถอะ เพราะอย่างไรเราก็มีเพลิงสุวรรณพรางอยู่” หลิวหลีตัดสินใจว่าจะไปก่อน
“ก็ดีเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าจะพูดมากขนาดนี้”
……………………………………………