แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 134 ประโยชน์ของการสวมชุดสีแดง
“สมแล้วที่เป็นผู้บำเพ็ญมาร ที่นี่มืดมิดจนทำข้าเกือบหยุดหายใจ ทั้งๆที่คูกู่ยังถือว่ามีรสนิยมปกติ แต่ทำไมคูมู่ถึงได้ต่างกันขนาดนี้” หลิวหลีที่แอบเข้ามาอดบ่นไม่ได้ นี่จะต่างกันมากเกินไปแล้ว มีเพียงสีดำสีเดียวเท่านั้น นางยังแอบนึกว่าคูมู่ชอบใส่ชุดสีแดงคงจะชอบอะไรที่มีสีสัน แต่ที่จริงเขาเป็นคนหลงตัวเองต่างหาก “นังหนู เบาเสียงหน่อย อย่างไรเสียพวกเราก็แอบเข้ามา” หนานกงเวิ่นเทียนอดพูดไม่ได้ นังหนูจะวางตัวสงบเสงี่ยมหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
“ก็ได้ ข้าจะไม่ส่งเสียงดัง” หลิวหลีเบะปาก
ทั้งสองคนไม่รู้ว่าเดินไปเป็นเวลานานเท่าไหร่แต่รู้สึกเหมือนกำลังเดินเป็นวงกลม
“เสี่ยวเทียน เหมือนพวกเรากำลังเดินเป็นวงกลมอยู่เลย” หลิวหลีชะงักฝีเท้า นี่จะต้องเดินวนอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร
“ใช่ จะต้องหาทางออกให้เจอ มิน่าล่ะคูมู่ถึงกล้าอยู่คนเดียว ไม่กลัวคนข้างนอกพวกนั้นเข้ามา ที่นี่มีทั้งค่ายกลภาพลวงกับค่ายกลวงกต ถึงมีคนเข้ามาเยอะกว่านี้ก็ต้องสูญเสียพลังตายไปอยู่ดี” หนานกงเวิ่นเทียนเองก็พบปัญหานี้เช่นเดียวกัน ดูแล้วค่ายกลนี้ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
“หึ คิดว่าข้าผู้เฒ่าคูมู่เป็นคนที่ใครจะทำอะไรก็ได้งั้นหรือ นึกว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไรว่ามีคนแอบลักลอบเข้ามา” คูมู่ในชุดแดงพูดอย่างไม่ยี่หระ
“เฮ้อ ข้ารู้แค่ว่าค่ายกลเป็นหนึ่งในศาสตร์ 4 แขนง” หลิวหลีออกตัวว่านางเองก็แค่รู้จักผิวเผินเท่านั้น อีกอย่างก็คือนางถนัดเผาค่ายกล แต่ก็ไม่รู้ว่าที่นี่มีคนเข้ามามากแค่ไหน หากเผาโดนคนอื่นขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ข้าก็รู้เรื่องค่ายกลแค่ผิวเผินเท่านั้น” หนานกงเวิ่นเทียนฝืนยิ้มแล้วส่ายหัว ใครจะไปรู้ล่ะ
“ดูท่าพวกเราน่าจะเหลือแค่วิธีเดียวแล้ว” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“พวกเราจะต้องหาตัวช่วยจากด้านนอก” หลิวหลีพูดต่อจากนั้นจึงปล่อยเอ๋าเลี่ยออกมา
“เกิดอะไรขึ้น นังหนู ทำไมถึงเรียกข้าออกมา ไหนบอกว่าพวกเจ้าจะจัดการกันเองมิใช่หรือ” เอ๋าเลี่ยมองคนที่บอกว่าให้เขาออกมาเดินเล่นก็พอ ไม่ต้องให้คนแก่อย่างเขาลงมือ เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันก็เรียกเขาออกมาเสียแล้ว
“อาเลี่ย บนโลกนี้มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ อีกอย่างอาเลี่ย เจ้าก็รู้ว่าตัวเจ้าเองอายุตั้งเท่าไรแล้ว หากไม่ขยับตัวบ้าง จะไม่ดีต่อสุขภาพนะ” หลิวหลีพูดจาไร้สาระด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“พูดมาเถอะว่าจะให้ข้าช่วยอะไร” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่ากลับมาพูดเรื่องปัญหาดีกว่า ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่านังหนูจะพูดจาไร้สาระไปถึงไหน
“อ่ะแฮ่ม อาเลี่ยเหมือนพวกเราติดอยู่ในค่ายกลกักขังกับค่ายกลวงกตเพราะเดินวนมาหลายรอบแล้ว อีกอย่างไม่แน่ใจว่ายังมีผู้บำเพ็ญคนอื่นอยู่ที่นี่เหมือนกันหรือเปล่า ข้าเลยไม่อยากใช้เพลิงอัคคีเผาค่ายกล” หลิวหลีบอกปัญหาที่นางพบ
เอ๋าเลี่ยพูดไม่ออก บนโลกใบนี้คนที่จะทำลายค่ายกลด้วยวิธีนี้ คาดว่าคงจะมีแต่นังหนูเท่านั้น เอ๋าเลี่ยใช้ประสาทเซียนสำรวจดู และเป็นอย่างที่นังหนูพูดไว้จริง ๆ ที่นี่เป็นค่ายกลกักขังกับค่ายกลวงกตอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกขังไปจนตาย นังหนูคงไม่รู้ตัวว่าพลังเซียนของตัวเองลดหายไปอย่างช้าๆ เพราะข้างในยังมีค่ายกลดูดวิญญาณอยู่ด้วยเพียงแต่ถูกซ่อนไว้อยู่
“นังหนู เจ้าต้องรีบทำลายค่ายกลโดยเร็ว ที่นี่มีค่ายกลดูดวิญญาณซ่อนอยู่ พลังเซียนของพวกเจ้าจะถูกกลืนกินทีละนิดจนไม่เหลือ” เอ๋าเลี่ยเล่าผลลัพธ์ที่ตัวเองค้นพบออกมา
“แต่ข้ายังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ถึงจะรู้ว่ามีค่ายกลดูดวิญญาณแต่ว่าข้าก็จนปัญญา” หลิวหลีแบมือออกทั้งสองข้างทำท่าจนปัญญา หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว นี่ยังมีค่ายกลดูดวิญญาณอยู่ด้วยหรือนี่
“นังหนู เจ้าลืมไปแล้วใช่ไหม เจ้ามีเพลิงอัคคี สามารถขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ทั้งปวง”
“รู้สิ ข้ากลัวว่าจะเผาถูกคนอื่นเลยไม่กล้าใช้” หลิวหลีกระพริบตาปริบๆ
เอ๋าเลี่ยนิ่งไป เมื่อครู่เขาเห็นผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยอยู่ข้างในจริง ๆราวแมลงวันไร้สมอง
“นังหนู เจ้าต้องทำลายค่ายกลดูดวิญญาณที่ถูกซุกซ่อนไว้ทิ้งก่อน ที่เหลือไม่ได้ส่งผลอะไรต่อคนพวกนี้มาก ข้าคิดว่าเจ้ามาที่นี่เจ้าก็คงมีจุดประสงค์ของเจ้าใช่ไหม อย่าบอกว่ามาเพื่อกำจัดมารผดุงคุณธรรมล่ะ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างจริงจัง
“แต่ครั้งนี้ข้ามาเพื่อกำจัดมารเพื่อผดุงคุณธรรมจริงๆ” หลิวหลีพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ฮะ” ไม่น่าเป็นไปได้ หากนังหนูเจอถึงจะลงมือกำจัดมารเพื่อผดุงคุณธรรม หากไม่เจอนางก็คงจะไม่ทำอะไร ครั้งนี้เขามั่นใจว่าการกำจัดมารผดุงคุณธรรมเป็นแค่เรื่องที่บังเอิญมาพร้อมกันเท่านั้น
“ก็ได้ ที่จริงข้าสนใจเพลิงดาราทมิฬของมารตนนี้ เป็นเพลิงอัคคีทมิฬพอดี แต่ว่าอาเลี่ยเพลิงอัคคีไม่ใช่ตัวแทนแห่งคุณธรรมงั้นหรือ ทำไมมารก็สามารถเก็บมาใช้ได้ล่ะ” หลิวหลีแสดงออกว่าไม่เข้าใจ
“ตามหลักการแล้วเป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงคนที่มีความสามารถถึงจะสามารถพิชิตได้ ข้าก็ว่าทำไมเจ้าถึงดูกระตือรือร้นเช่นนี้” เอ๋าเลี่ยบ่น เขาค่อนข้างจะเข้าใจนังหนูมากทีเดียว
“รู้ก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็ได้”
“เอ่อ นังหนู เจ้าเดินไปข้างหน้า 100 ก้าวแล้วใช้เพลิงอัคคีเผามันเสีย” จัดการธุระจะดีกว่า
“อาเลี่ย ข้างหน้าคือกำแพง” ถึงแม้ตอนนี้นางจะหนังหนาแค่ไหนแต่เสี่ยวเทียนเป็นชายหนุ่มบอบบาง จะให้เขามาทำเรื่องสมบุกสมบันเหมือนกับผู้หญิงอย่างนางได้อย่างไร
“เพี๊ยะ” ในที่สุดเอ๋าเลี่ยก็อดที่จะลงมือไม่ได้ นังหนูจะมีสักวันที่จะไม่ทำให้ต้องโมโหไหม สถานที่อันตรายเช่นนี้ไม่ใช่ที่ที่คนสามารถอาศัยอยู่ได้จริง ๆ
“ตีข้าทำไม” หลิวหลีมองไปที่เอ๋าเลี่ยด้วยแววตาน่าสงสาร
“ตัวเจ้าก็รู้ว่าที่นี่มีค่ายกลกำบังกับค่ายกลภาพลวง ภาพลวงตา ภาพลวงคา ฉะนั้นของสิ่งนี้จะเป็นของจริงได้อย่างไร อีกอย่างถึงแม้ว่าจะเป็นของจริง เจ้าหนังหนาขนาดนั้น ไม่เจ็บหรอก” เอ๋าเลี่ยพยายามระงับความโมโหแล้วพูดเสียงต่ำ
“เอ่อ ข้าอย่างไรก็ได้ แต่เสี่ยวเทียนผิวดีบอบบางขนาดนี้ หากบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร ข้าจะต้องปวดใจแน่” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ขอบคุณนะแต่ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น พวกเราไปกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนทำหน้าเย็นชาแล้วเดินทะลุกำแพงเข้าไปก่อน เรื่องที่เขาทำผิดพลาดมากที่สุดก็คือเชื่อฟังคำพูดของบรรพบุรุษของตัวเอง ทำเอาตอนนี้ตัวเองมีความขาวเนียนนุ่มไม่น้อย แม้แต่ท่านแม่ของเขาเองก็ยังถามเขาว่าดูแลผิวอย่างไร
หลิวหลียักไหล่เล็กน้อยแล้วเดินตามเข้าไป
“นังหนูคนนี้ ไม่หาเรื่องไม่ได้เลย” เอ๋าเลี่ยหมดคำพูด ดูสิว่าทำให้เจ้าหนูสกุลหนานกงโมโหแค่ไหน
“คือที่นี่งั้นหรือ” ทะลุกำแพงมา ไม่มีอะไรจริงด้วย เนื้อสัมผัสของตัวกำแพงเหมือนกับของจริงไม่มีผิด ใครจะไปนึกได้ว่านี่คือของปลอม หลิวหลีมองดูภาพวาดตรงหน้าที่อยู่ห่าง 100 ก้าว
“ภาพนี้เป็นภาพยันต์บ้าอะไรกัน” หลิวหลีวิจารณ์
“นังหนู เจ้ารีบทำลายค่ายกลเถอะ เจ้ายังจะกำจัดมารผดุงคุณธรรม พิชิตเพลิงอัคคีอยู่ไหม” ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์ภาพอีก
“ได้” หลิวหลีหุบยิ้มจะเล่นไม่ได้แล้ว
หลิวหลียื่นมือขวาออกมาเพลิงอัสนีครามปรากฏขึ้น หลิวหลีรู้สึกมาตลอดว่าอัสนีเป็นตัวแทนแห่งธรรม เพราะฉะนั้นเวลานางกำจัดมาร นางจึงชอบใช้เพลิงอัสนีครามมากกว่า
เมื่อปล่อยเพลิงอัสนีครามออกไป เสียงระเบิดดังตู้มเหมือนมีอะไรพังทลายลงมา
“คนที่เข้ามามีเพลิงอัคคี อีกทั้งยังทำลายค่ายกลดูดวิญญาณได้ น่าสนใจ น่าสนใจ” เพลิงดาราทมิฬในร่างของคูมู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสิ่งประเภทเดียวกัน ขยับตัวไปมาคูมู่เองก็สัมผัสได้ว่าค่ายกลดูดวิญญาณที่ตัวเองวางเอาไว้ถูกทำลายแล้ว คนผู้นี้น่าสนใจ ไม่คิดเลยว่าที่ไม่ทำลายค่ายกลกำบังกับค่ายกลภาพลวงไปด้วยก็เพื่อปกป้องคนพวกนั้น น่าสนใจจริง ๆ
คูมู่รู้สึกสนใจอยากเจอผู้บำเพ็ญเพียรที่แสนพิลึกผู้นี้เข้าแล้ว
“คูมู่มาแล้ว สู้ไม่ได้ค่อยเรียกข้าออกมา” เอ๋าเลี่ยสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังเซียน จากนั้นพอพูดจบก็หายตัวไป
“เสี่ยวเทียน ระวัง” ทั้งสองคนระวังตัวขึ้นมาในทันที
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเด็กอายุน้อยขนาดนี้ อายุยังไม่ถึง 100 ปีก็มีพลังบำเพ็ญเพียรเท่านี้แล้ว สมควรเรียกว่าผู้ถูกเลือกสินะ เสียดายที่มาเจอข้าก่อน การจัดอันดับผู้ถูกเลือกพวกเจ้าคงไม่ต้องเข้าร่วมแล้วล่ะ” คูมู่ดูว่าเป็นใครกันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าจะอายุน้อยขนาดนี้ต่างจากที่เขาคิดไว้มากแต่เขากลับรู้สึกดีใจ
“เจ้าเป็นกรรมการ?” หลิวหลีเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ เมื่อครู่คนที่ใช้เพลิงอัคคีคือเจ้าใช่ไหม ในฐานะที่เรามีเพลิงอัคคีเหมือนกัน ข้าจะเมตตาบอกเจ้าให้แล้วกัน เพราะว่าชีวิตน้อยๆของพวกเจ้าจะต้องทิ้งไว้ที่นี่ยังจำเป็นต้องรู้ว่าการจัดอันดับผู้ถูกเลือกคืออะไรอีกหรือ” อยู่ๆคูมู่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นมารที่มีจิตใจเมตตา พูดคุยกับผู้ถูกเลือกของฝ่ายธรรมะไปตั้งมากมาย
“มั่นใจขนาดนั้นเชียวแค่มีเพลิงอัคคีไม่ใช่หรือ ใครจะไม่มีบ้างล่ะ” หลิวหลีพูดอย่างไม่ยี่หระ
“ไม่ ไม่ ไม่สิ หนูน้อย เจ้ายังไม่เข้าใจ เพลิงอัคคีก็มีการแบ่งระดับ และบังเอิญว่าเพลิงอัคคีของข้าเป็นเพลิงดาราทมิฬที่อยู่ในอันดับ 9 ของการจัดอันดับเพลิงอัคคีพอดีเสียด้วยสิ” คูมู่พูดจบเพลิงหลากสีก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือขวา
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เจ้าสวมชุดสีแดงก็เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับเพลิงดาราทมิฬสินะ” หลิวหลีทำท่าทีเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งออกมา กำหมัดมือซ้ายแล้วทุบลงมือขวา
“ฮ่าๆ นังหนูช่างใจกว้างนัก ถึงขนาดมีอารมณ์ไปคิดเรื่องนี้” คูมู่ประหลาดใจกับการกระทำของหลิวหลี จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“เจ้าหนู นึกว่าถ่วงเวลาแล้วเจ้าพวกโง่พวกนั้นจะสามารถออกมาจากค่ายกลได้งั้นหรือ นี่เป็นค่ายกลที่วางโดยผู้บำเพ็ญมารช่วงมหายานเชียวนะ คนพวกนั้นจะมีความสามารถออกมาได้งั้นหรือ อย่ามาล้อเล่นหน่อยเลย” คูมู่นึกว่าตัวเองเดาได้แล้วจึงหัวเราะเยาะเสียงดัง
หลิวหลีไม่รู้จะพูดอะไร นางรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆถึงพูดออกมาแบบนั้น มารตนนี้คิดมากเกินไปหรือเปล่า
“นังหนู อย่ามัวพูดไร้สาระกับเขาอยู่เลย ระวัง” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยความระมัดระวัง
“เป็นผู้หญิงหรอกหรือนี่ ดูไม่ออกจริงๆ ตอนนี้พอมองดูแล้วก็เป็นสาวงามเหมือนกัน” คูมู่มองหลิวหลีด้วยความสนใจ
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย” นางยอมรับว่านางเป็นสาวงาม แต่จะทำไมล่ะ
“แม่สาวงาม มายอมเป็นของข้าดีไหม ข้ารับรองจะทำให้เจ้ามีความสุข”
“ขอโทษที ข้าไม่สนใจซากศพ”
“นังหนู เชิญให้ดื่มเหล้าดี ๆไม่ชอบ อย่าให้ต้องบังคับดื่ม” คูมู่พูดเสียงเหี้ยม
“ขอโทษที ข้าไม่ชอบดื่มเหล้า” หลิวหลีปฏิเสธอย่างจริงจัง
“นังหนู อีกเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าต้องร้องขอชีวิต” เป็นตัวปัญหาจริงๆ ตัวเล็กแค่นี้พูดเก่งเสียเหลือเกิน
“ยังไม่รู้เลยว่าใครจะต้องร้องขอชีวิตจากใครกันแน่”
…………………………………………………..