แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 152 สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก
“ดีเหลือเกิน โม่หลีมีแกนวิญญาณ เป็นแกนวิญญาณคู่วายุพฤกษา” หลิวหลีดีใจอย่างมาก น้องสาวนางมีแกนวิญญาณ แม้จะเป็นแกนวิญญาณคู่ แต่ก็เป็นคู่ที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
“ไม่เลวเลย ท่านลุงกับท่านป้าคงจะดีใจไม่น้อย” หนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกยินดีกับเรื่องนี้เช่นกัน
“ใช่ พวกเขาดีใจกันมาก อาจเป็นเพราะพวกเขาพลาดตอนทดสอบแกนวิญญาณของข้า ทำให้พวกเขารู้สึกเสียดาย การทดสอบในครั้งนี้ของน้องสาว ทำให้พวกเขาดีใจมากเป็นพิเศษ” หลิวหลีอธิบาย
ส่วนโม่หลี นางไปที่สำนักฝึกฝนของตระกูลในวันแรกด้วยความเบิกบานใจ แต่พอตกกลางคืนกลับเดินคอตกกลับมา
“โม่หลี เป็นอะไรไปลูก?” สองสามีภรรยาที่ตั้งใจรอลูกสาวกลับมามองลูกสาวอย่างสงสัย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาวข้าคือหลิวหลีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขาหรือ ทำไมทุกคนทำท่าทีราวว่าข้ามียาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากสมควรต้องแบ่งพวกเขา” โม่หลีงุนงง ยาเม็ดศักดิ์สิทธิ์กับยาผงที่ท่านพี่ให้นาง ทำไมนางต้องแบ่งให้พวกเขาด้วย
“มีคนมาขอยาศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าหรือ” จ้านเฟิงหลิงถามด้วยเสียงขึงขัง
“เจ้าค่ะ พวกเขาบอกว่าพี่สาวข้าคือหลิวหลี นางเป็นนักปรุงยาที่เก่งที่สุด ในบ้านเราคงมียาศักดิ์สิทธิ์เยอะแยะ แบ่งให้พวกเขานิดหน่อยก็คงไม่เป็นไร” โม่หลีพยายามนึกถึงคำพูดที่พวกเด็กๆพูดวันนี้ เดิมทีนางไปเรียนด้วยความเบิกบานใจ แต่สุดท้ายก็ต้องเสียอารมณ์
“หึ ข้าไม่รู้เลยว่าคนอื่นมีสิทธิ์มาจัดแจงสิ่งของของลูกสาวข้า อาหลิง ไปบอกพี่ใหญ่ ต่อจากนี้ไปยาศักดิ์สิทธิ์ที่หลิวหลีลูกสาวข้าทำ ขอให้ทางสกุลจ้านใช้หินวิญญาณเท่ากับราคาตลาดมาซื้อไป ถ้ามีคนต้องการยาศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหน ก็กรุณาต่อแถวมาซื้อด้วย” หลงซินเยว่โกรธจนหน้าแดง มิน่า หลิวหลีถึงไม่ค่อยชอบคนสกุลจ้าน คนสกุลหลงไม่มีทางทำเช่นนี้ ละโมบโลภมากจนน่ารังเกียจ พวกเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน
“ได้” จ้านเฟิงหลิงโมโหจนหน้าตึง ถึงแม้จะเป็นคำพูดของเด็ก แต่ว่าเด็กๆ จะสามารถพูดคำพูดพวกนี้ออกมาได้อย่างไร ต้องมีผู้ใหญ่สอนแน่
“โม่หลี เจ้าชอบสำนักฝึกฝนตระกูลของสกุลจ้านหรือไม่” หลงซินเยว่ถามจริงจัง
“ไม่ชอบ ท่านพี่เคยบอกว่าถ้าไปเรียนที่สำนักฝึกฝนของตระกูลจะได้รู้จักเพื่อน แต่ว่าพวกเขาไม่ใช่เพื่อน เป็นตัวดูดเลือด เอาแต่จะดูดเลือดโม่หลี” โม่หลีคิดแล้วจึงเลือกใช้คำพูดนี้
“แต่หากไม่ไปสำนักฝึกฝนของตระกูล โม่หลีจะไม่เหงาหรือ” หลงซินเยว่ถามต่อ
“ไม่เจ้าค่ะ หนทางธรรมต้องเดินด้วยตัวเอง ข้าเดินได้ด้วยตัวเอง อีกอย่าง ข้าไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีท่านพ่อท่านแม่ ท่านพี่ ท่านพี่บอกข้าว่า จะให้ข้าได้ทำพันธสัญญากับกิเลนที่ดีที่สุด” พูดถึงเรื่องนี้โม่หลีก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
“หลิวหลีเอ็นดูนังหนูจนจะเสียคนอยู่แล้ว” หลงซินเยว่มองดูลูกสาวที่กลับมาร่าเริงเช่นเดิมแล้วกล่าว
“ไม่หรอก ลูกสาวข้าจ้านเฟิงหลิงเป็นเด็กดี จะโดนตามใจจนเสียคนได้อย่างไร” จ้านเฟิงหลิงพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“มันก็จริง เช่นนั้นอาหลิง เจ้าไปบอกพี่ใหญ่ด้วยว่า โม่หลีจะไม่ไปเรียนที่สำนักฝึกฝนของตระกูลแล้ว เรื่องพื้นฐานพวกเราสามารถสอนกันได้เอง หากไม่ได้จริงๆ จะส่งโม่หลีไปเรียนในสำนักฝึกฝนของสกุลหลงก็ได้” หลงซินเยว่ตัดสินใจ
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” จ้านเฟิงหลิงไม่รอช้า เขารีบไปทันที
จ้านเฟิงอวี้ส่งน้องชายกลับไป ก็ตบโต๊ะจนเกือบพัง คนพวกนี้ ไปเอาความกล้ามาจากไหน
“ไปเชิญผู้อาวุโสทุกคนมา” จ้านเฟิงอวี้รู้สึกว่าการที่เขาใช้คำว่าเชิญนี้ เขาต้องสะกดอารมณ์อย่างยิ่ง ไม่นานนักเหล่าผู้อาวุโสก็เดินเข้ามาด้วยความสับสน
“ท่านผู้นำสกุลเรียกพวกข้ามามีเรื่องสำคัญใดหรือ” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งรวบรวมความกล้าแล้วถามขึ้น สีหน้าผู้นำสกุลจ้านไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เมื่อครู่เฟิงหลิงบอกข้าว่า โม่หลีจะไม่ไปเรียนที่สำนักฝึกฝนของตระกูลจ้านแล้ว” จ้านเฟิงอวี้พูดพลางกวาดสายตามองเหล่าผู้อาวุโส
เพราะเหตุใด ทำไมถึงได้มีความคิดเช่นนี้ ไม่พอใจอะไรสำนักฝึกฝนของเราหรือ” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม กะอีแค่มีลูกสาวมากความสามารถคนเดียว ได้ใจอะไรกัน สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาสกุลอยู่ดี
“เหอะ ไม่พอใจ ใช่สิ ไม่พอใจ พวกเจ้าสั่งสอนลูกหลานกันอย่างไร ถึงได้กล้าไปขอยาศักดิ์สิทธิ์จากโม่หลี ต่อไปคงอยากจะชี้นิ้วสั่งหลิวหลีให้ปรุงยาที่ต้องการเลยด้วยล่ะสิ พวกเจ้าลืมกันไปแล้วหรือ ว่าเมื่อก่อนเราต้องใช้ใช้หินวิญญาณตั้งเท่าไหร่เพื่อซื้อยาศักดิ์สิทธิ์” จ้านเฟิงอวี้ปาแก้วชาลงพื้น ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาต่างลืมไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างหลิวหลีกับเฟิงหลิงดีขึ้น นางถึงได้ปฏิบัติพวกเขาต่างจากสกุลหลงเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอกับการใช้สอยของพวกเขา พวกเขาจึงโอหังกันขึ้นมาจริงๆ
“ท่านผู้นำสกุล อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัว ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกันเลย” ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งเอ่ย
“ครอบครัวหรือ หลิวหลีเคยเรียกพวกเจ้าว่าท่านลุงหรือท่านอาบ้างไหม หลิวหลีไม่เคยลืมเรื่องที่พวกเจ้ารังแกหลงซินเยว่ โดยเฉพาะเรื่อที่พวกเจ้าดูแลเฟิงจวินพวกเจ้าเอายาของนางไปใช้รักษาชีวิตเฟิงจวิน คิดว่าเฟิงหลิงไม่รู้เรื่องนี้หรืออย่างไร แต่ที่เขาไม่พูดเพราะเห็นเป็นคนในสกุลเดียวกัน แต่พวกเจ้าไม่ควรล้ำเส้น ลูกทั้งสองคนของเขาเป็นเส้นตายของเขา ยินดีด้วย เมื่อครู่เฟิงหลิงบอกแล้วว่า ต่อไปกรุณาใช้หินวิญญาณมาแลกยาศักดิ์สิทธิ์ของหลิวหลีตามราคาในท้องตลาดหรือไม่เช่นนั้นก็เชิญไปซื้อจากนักปรุงยาท่านอื่น เรื่องออกมาเป็นเช่นนี้พวกเจ้าพอใจแล้วใช่หรือไม่” จ้านเฟิงอวี้พูดอย่างหัวเสีย
ผู้อาวุโสทุกคนตกอยู่ในความเงียบ คุณภาพยาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้หินวิญญาณซื้อมาสู้ยาที่หลิวหลีทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ประสิทธิภาพก็ด้อยกว่ามาก แถมยังต้องเสียหินวิญญาณไปไม่น้อย
จ้านเฟิงอวี้มองดูผู้อาวุโสที่ดูแก่ลง 10 ปีไปชั่วอึดใจ พลันรู้สึกสะใจ น้องชายของเขาบอกแล้วว่ายาในส่วนของเขาจะไม่ลดลงแน่นอน เขาทำเพื่อบ้านสกุลจ้านมาก็มาก แล้วได้อะไรกลับมาบ้าง รีบบรรลุ แล้วเกษียณจากตำแหน่งนี้ดีกว่า
ส่วนฟากหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนพูดคุยกันในระหว่างเดินทาง
“นังหนู ทำไมเจ้าถึงให้ยาศักดิ์สิทธิ์กับบ้านสกุลจ้าน” หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่าหลิวหลีเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น จะให้ยาศักดิ์สิทธิ์กับคนสกุลจ้านง่ายๆ ได้อย่างไร
“ทำไมหรือ ก็เพราะคนสกุลจ้านไม่รู้คุณคน ของพวกนี้ให้ใครก็ดีกว่าให้คนสกุลจ้าน แต่คุณภาพยาที่ข้าทำไม่มีใครเทียบได้ หากพวกเขาใช้ยาที่ข้าทำจนเคยชิน แล้วพวกเขารังแกคนในครอบครัวของข้า ข้าก็จะไม่ให้ยาพวกเขาอีก ลองคิดดูสิ หากพวกเขายังอยากจะใช้ยาต่อต้องทำอย่างไร ทำได้เพียงซื้อจากข้าหรือไม่ก็จากนักปรุงยาท่านอื่น ไม่เพียงแต่สิ้นเปลือง พวกเขาอาจต้องเจอปัญหาด้านคุณภาพ คนเราเปลี่ยนนิสัยจากประหยัดเป็นฟุ่มเฟือยนั้นง่ายแต่หากจะให้กลับมาประหยัดอีกนั้นคนละเรื่องกันเลย” ประโยคสุดท้ายหลิวหลีพูดออกมาอย่างมีจังหวะจะโคน
“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเลยหรือว่าคนบ้านสกุลจ้านจะหาเหาใส่หัว” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้น
“ตั้งแต่ที่พวกเขาปกป้องจ้านเฟิงจวิน ข้าก็ได้วางแผนเอาไว้แล้ว พวกเขาปกป้องคนที่ทำร้ายแม่ของข้า ข้าจะให้อภัยพวกเขาได้อย่างไร ใช้ของของข้า หากข้าไม่ได้ให้ด้วยความเต็มใจ ก็จะสามารถใช้ได้ง่ายๆหรือ รอดูก็แล้วกัน ไม่นานหรอก โม่หลีจะต้องไปเข้าเรียนในสำนักฝึกฝนประจำตระกูลของสกุลจ้านแล้ว พวกคนที่ละโมบโลภมากพวกนี้จะปล่อยโม่หลีไปได้อย่างไร ช่างน่าขันเสียจริง” หลิวหลีพูดวิเคราะห์การกระทำของพวกเขาด้วยความเข้าใจ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก” หนานกงเวิ่นเทียนสรุป
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราจะต้องรีบหน่อย ยังต้องเดินทางอีกสักพัก เสี่ยวเสี่ยวจะสามารถทนได้หรือไม่” หลิวหลีถามเสี่ยวเสี่ยวที่จื่อฉีจูงอยู่
“ได้เจ้าค่ะ พี่สาว พี่จื่อฉีสร้างแนวคุ้มครองให้ข้าอยู่ ไม่มีปัญหาแน่นอน อีกอย่าง ข้าก็ชอบความรู้สึกที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบเช่นนี้” เสี่ยวเสี่ยวกล่าว ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเรารีบไปกันเถอะ” เมื่อหลิวหลีเห็นว่าเสี่ยวเสี่ยวไม่เป็นอะไร จึงตัดสินใจเดินทางให้เร็วขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง ฮัวจิงเฟยมัวแต่บ่นว่าหลิวหลีแล้งน้ำใจ ไม่พาเขาไปด้วยกัน ฮัวจิงหงที่อยู่ข้างเขาฟังเสียงบ่นจนหูชา เมื่อคิดได้แล้วจึงไปหาจิงเฟยเพื่อขอโทษ ทั้งสองคนกลับมาเข้าใจกันเช่นเดิม เนื่องจากฮัวจิงหงเปิดใจยอมรับมากขึ้น ทำให้เขาสามารถบรรลุเข้าสู่ช่วงแยกจิตได้สำเร็จ จึงได้เข้าร่วมการจัดอันดับผู้ถูกเลือกกับฮัวจิงเฟย
ลูกศิษย์จากสำนักและบ้านสกุลอื่นๆเริ่มทยอยออกเดินทาง ลูกศิษย์จากเผ่ามารและเผ่าอสูรก็เริ่มออกเดินทางด้วยเช่นกัน
“พี่ใหญ่ ท่านกำลังบอกว่า พวกผู้อาวุโสสำนึกผิดแล้วงั้นหรือ” จ้านเฟิงหลิงเห็นพวกผู้อาวุโสที่เวลาผ่านไปสามเดือนแล้ว จึงเพิ่งจะให้พี่ชายมาพูดหว่านล้อมเขา ก็รู้สึกไม่พอใจมากขึ้น
“นั่นสิ ช่วงนี้ซื้อยาศักดิ์สิทธิ์มากองหนึ่ง ประสิทธิภาพต่างจากของหลิวหลีมากเสียจนพวกเขาถึงกับขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสหลายท่านที่ปากแข็งก็ไม่กล้าทำอีก”จ้านเฟิงอวี้ระบายความในใจ เขาสัมผัสได้ถึงเส้นขอบของการบรรลุช่วงต่อไป ใกล้จะสามารถลงจากตำแหน่งได้แล้ว จะรอดูพอถึงตอนนั้นพวกเขาจะทำอย่างไร
“หึ รู้ตัวตอนนี้ไม่ช้าเกินไปหน่อยหรือ” จ้านเฟิงหลิงไม่เล่นด้วย ลูกสาวของเขา ไม่ใช่คนที่คนพวกนั้นจะมาบงการได้
“จริงสิ แถมยังเชิญโม่หลีให้กลับไปเรียนที่สำนักฝึกฝนประจำตระกูลด้วย อย่างไรเสียโม่หลีก็น่าจะต้องคบหากับเด็กในวัยไล่เลี่ยกัน”
“เรื่องนี้คงไม่จำเป็น โม่หลีได้เริ่มหลอมลมปราณแล้ว บวกกับยาที่หลิวหลีทิ้งไว้ให้ ทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางไม่เป็นรองแกนวิญญาณเดี่ยว อีกอย่าง โม่หลีก็เข้ากับเด็กในสกุลหลงได้เป็นอย่างดี โม่หลีไม่ต้องการเพื่อนไม่จริงใจพวกนั้น” จ้านเฟิงหลิงปฏิเสธ ตอนนี้ลูกสาวเขาอยู่ในช่วงฝึกลมปราณระดับ 3 และค่อยๆพัฒนาขึ้นอย่างมั่นคงเมื่อบวกกับยาต่างๆ ที่หลิวหลีเตรียมไว้ให้ กว่าจะถึงช่วงอมตะ โม่หลีไม่มีอะไรต้องกังวล
“มีแค่โม่หลีเท่านั้นที่จะโชคดีเช่นนี้” มีพี่สาวที่เก่งกาจแถมยังรักและเอ็นดูนางขนาดนี้ ถือว่ามีจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าคนอื่น คงนำหน้าเด็กในรุ่นเดียวกันไปไกลแน่
“ตอนนี้พวกเขาเสียใจจนไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว” จ้านเฟิงอวี้สะใจ
“สายไปแล้ว” จ้านเฟิงหลิงส่ายหัว เขานำเรื่องนี้ไปบอกลูกสาวคนโต นางกล่าวนางอุตส่าห์เห็นพวกเขาเป็นครอบครัว แต่คนเหล่านั้นกลับรังแกโม่หลี นางจึงบอกจ้านเฟิงหลิงว่าต่อไปนางจะไม่ปรุงยาให้สกุลจ้านอีก
“ทำตัวเองชัดๆ” จ้านเฟิงอวี้ไม่มีเห็นใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
…………………………….