แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 164 อันดับที่ 13 ฮัวจิงเฟย
“ยินดีกับทุกท่านที่ผ่านสู่ด่านต่อไป ด่านนี้ต้องการจะทดสอบประสาทเซียน ผู้ที่มีประสาทเซียนที่แข็งแกร่งสามารถเข้าไปสู่ด่านต่อไปได้ ด่านนี้ทุกคนจำเป็นต้องฝืนประคองตัวเองอยู่บนกระดานฝึกพลัง แต่หากผู้ใดฝืนจนประสาทเซียนใกล้จะบาดเจ็บ ก็จะถูกกระดานฝึกพลังดีดออกมา ขอให้ทุกคนโชคดี” หุ่นเชิดร่างหญิงสาวพูดจบ กระดานฝึกฝนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า ทุกคนก็ถูกดูดขึ้นไป แรงกดดันจากประสาทเซียนที่รุนแรงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยเจ็บหัวรุนแรงราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หลิวหลีเคยได้รับการฝึกฝนเช่นนี้มาก่อนขณะอยู่ในแดนลี้ลับโลกอสูรเทพ จึงพอทนไหว
คนจำนวนมากรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักเมื่อแรงกดดันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงโดนดีดออกไป รายชื่อในตัวอักษรสีทองก็ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“อัจฉริยะใน 10 อันดับแรกช่างเก่งกาจสมเป็นอัจฉริยะจริงๆ พวกข้าฝืนอยู่นานขนาดนี้ยังปวดหัวเจียนจะระเบิด แต่สีหน้าพวกเขายังไม่เปลี่ยนสีเลย”
“จริงด้วย แต่ถึงจะรู้สึกปวดหัว แต่ก็ได้อะไรกลับมา ประสาทเซียนแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย”
“จริงด้วย หากฝึกฝนอยู่ในนั้นเป็นประจำ ประสาทเซียนก็จะแข็งแกร่งขึ้น เสียดายเมื่อถูกกระดานฝึกฝนดีดออกมาก็ไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสมันอีกแล้ว”
ฮัวจิงเฟยรู้สึกราวสมองตนเองโดนกดทับจนบิดเบี้ยว แต่จะยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้ เขาได้โอกาสมาพบหลงหลิวหลี จนเก่งกาจกว่าคนอื่น จะมาถอดใจได้อย่างไรอีกอย่างยิ่งรับแรงกดดันได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อตนเองมากเท่านั้นในอนาคต เห็นได้จากการที่เขารับวิบากอัสนีบาต แรกๆฝืนรับไปได้เพียงหนึ่งครั้ง ต่อมาร่างกายก็เริ่มสามารถรับได้ 3-4 ครั้ง เขาจะต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับบ้านสกุลฮัว จะพ่ายแพ้ที่นี่ไม่ได้ ฮัวจิงเฟยขบริมฝีปากจนเลือดซิบ การรับรู้ของเขาเริ่มเลือนลาง ทันใดมีพลังกลุ่มหนึ่งดีดเขาออก สัมผัสเย็นสบายลอยลงมาจากด้านบนประสาทเซียนที่เสียหายก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมา เขาพยายามซึมซับความเย็นสบายนั้นราวฟองน้ำ ประสาทการรับรู้ของเขาขยายออกจนฮัวจิงเฟยรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถดูดซึมได้อีก จึงลืมตาขึ้น ก็พบกระดานกับพู่กันปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘อันดับที่ 13’
“ใช้ได้แล้ว ต้องรู้จักพอ” ฮัวจิงเฟยพูดพลางมองไปที่ผู้เข้าแข่งขันอีก 12 คนที่ยังคงอยู่บนกระดานฝึกฝนพลังจิตที่อยู่ไม่ไกล แล้วก็มองไปเห็นหลงหลิวหลีที่หน้าไม่เปลี่ยนสีด้วยซ้ำ
“คนผู้นี้ไม่สามารถเทียบกับคนทั่วไปได้เลยจริงๆ” ฮัวจิงเฟยพูดจบ ก็ใช้พู่กันเขียนชื่อของตัวเองลงบนกระดาน ตัวอักษรสีทอง ‘ฮัวจิงเฟย’ พลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
“จิงเฟยได้อันดับ 13 ไม่เลว ไม่เลว รวมๆแล้วบ้านสกุลฮัวทำได้ดีทีเดียว” ฮัวเชียนหนิวมองตำแหน่งของสองพี่น้องสกุลฮัวที่ปรากฏขึ้นบนฟ้าอย่างพอใจ คนหนึ่งอันดับ 13 อีกคนอันดับ 48 ไม่เลว ไม่เลว อย่างน้อยก็ดีกว่าสกุลจ้านและสกุลหลิน ส่วนสกุลหนานกงกับสกุลหลงนั้นเทียบไม่ได้อยู่แล้ว ลูกหลานของพวกเขาเป็นผู้ถูกเลือกอัจฉริยะทั้งสิ้น ทั้งยังอยู่ในสามอันดับแรกเสียด้วย
“พี่ใหญ่ จิงเฟยมีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้ถูกเลือก ข้าคิดมาตลอดว่าเขาไม่เอางานเอาการ ไม่ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ทำแต่เรื่องไร้สาระ แต่เขากลับได้อันดับที่ 13 พี่ใหญ่ นี่คือเรื่องจริงใช่หรือไม่” ฮัวเชียนหนิวพูดเหลวไหล จนสุดท้ายกลายเกิดเรื่องที่แสนอัศจรรย์นี่ ลูกชายที่ไม่เอาไหนของเขากลับมีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้ถูกเลือก ตัวอักษรสีทองคำว่า ‘ฮัวจิงเฟย’ ปรากฏขึ้น ทำให้ฮัวเชียนหนิวรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
“พอเถอะ เชียนเหนียน อย่าโอ้อ้วดต่อหน้าข้านักเลย ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีลูกชายที่ดี” ฮัวเชียนหนิวกลอกตาใส่น้องชาย แม้เขาจะเข้าใจนิสัยน้องชาย แต่ท่าทีแบบนี้ของเขามันเข้าข่ายขี้อวดแล้ว
“พี่ใหญ่ ข้าเปล่าเสียหน่อย” ฮัวเชียนหนิวร้อนรน
“เอาล่ะ พอที ถ้าพูดต่ออีกก็คงจะเริ่มเป็นการโอ้อวดเสียแล้ว คราวก่อนที่จิงเฟยไปพบหลงหลิวหลี น่าจะได้โอกาสครั้งใหญ่มา แต่เจ้าเด็กนั่นยังไม่พูดความจริง ไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกหรือไม่ เชียนเหนียน มีครั้งนึงที่ข้าสู้กับเขา ข้าพบว่าสายเลือดเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง” ฮัวเชียนหนิวพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“สายเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือ พี่ใหญ่ ฮัวจิงเฟยเป็นลูกชายข้าจริงๆ ถึงจะเก่งกาจขึ้น แต่ก็ยังนิสัยเดิมเขาเป็นคนไม่เสแสร้ง” ฮัวเชียนเหนียนตั้งปณิธาน ลูกชายเขาก็ยังเป็นลูกชายเขาอยู่วันยันค่ำ
“ข้าว่าสายเลือดเขาแข็งแกร่งขึ้น เหมือนดื่มอะไรเข้าไปเพื่อเพิ่มความบริสุทธิ์ให้กับสายเลือด อีกทั้งเงาพยัคฆ์ทิฬของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปเล็กน้อยเช่นกัน ไม่ตั้งใจมองก็มองไม่ออก” ฮัวเชียนเหนียนรู้สึกเหนื่อยหน่ายเมื่อพูดกับน้องชาย ยังดีที่จิงเฟยเหมือนท่านแม่ตนเองที่อายุไม่ยืนยาวนัก หากว่าเขาหัวช้ายืดยาดเหมือนน้องชายตนเอง คาดว่าเด็กคนนั้นก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จเช่นตอนนี้
“เป็นแบบนี้เองหรือเนี่ย พี่ใหญ่ ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย พอเด็กคนนั้นดื้อขึ้นมา ข้าก็ลงมือกับเขาเหมือนเดิม ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน” ฮัวเชียนเหนียนพูดพลางใช้มือลูบหัว ท่าทางซื่อๆนั้นทำให้ฮัวเชียนหนิวอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้วฮัวจิงเฟยน่าจะเป็นลูกชายของเขาเสียจะดีกว่า ทำไมถึงได้กลายมาเป็นสายเลือดของน้องชายแสนโง่เง่าของเขาไปได้ เขามองไม่ออกหรือว่าหลังจากที่จิงเฟยกลับมาคราวนี้ ลูกชายของเขาก็จงใจออมมือให้ตลอด น้องชายเอ๋ย ใยเจ้าจึงเลินเล่อนักหนา
“สรุปคือจิงเฟยสร้างชื่อเสียงให้สกุลฮัว เชียนเหนียน ต่อไปเจ้าห้ามทำร้ายจิงเฟยเช่นนั้นอีก” ฮัวเชียนหนิวพูดกับน้องชายตรงๆ
“ตอนเขาดื้อขึ้นมาข้าก็ตีเขาไม่ได้หรือ พี่ใหญ่” ฮัวเชียนเหนียนถามเสียงอ่อน นั่นคือลูกชายของเขา ข้าตีลูกชายตัวเอง เป็นเรื่องที่ถูกต้อง พี่ใหญ่จะยุ่งเกินไปหรือเปล่า แต่ก็พูดออกไปไม่ได้อยู่ดี ไม่เช่นนั้นแล้วพี่ใหญ่คงลงมือกับเขาแทน
“ไม่ได้ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำสกุลฮัวขอออกคำสั่ง ห้ามเจ้าลงไม้ลงมือกับจิงเฟย มิเช่นนั้นเจ้าก็รอโดนข้าจัดการได้เลย” ฮัวเชียนหนิวพูดพลางทำหน้าบึ้งตึง
“ก็แค่จัดอันดับผู้ถูกเลือกเท่านั้นเอง จิงหงก็มีชื่ออยู่ในนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุใดจึงไม่ได้สิทธิประโยชน์เช่นนี้บ้าง” ฮัวเชียนเหนียนพึมพำเสียงเบา
“อันดับที่ 13 กับ 48 จะเหมือนกันได้อย่างไร เจ้าไม่เห็นหรือว่าชื่อของจิงเฟยใหญ่กว่าชื่อของจิงหงก็ตั้งมาก สีก็ต่างกัน สีของอักษรชื่อลูกชายเจ้าสะดุด ตากว่าไม่เห็นหรืออย่างไร” ฮัวเชียนหนิวโมโหในความโง่เขลาของน้องชายตนเองจนอยากจะหัวร่อ ดีที่จิงเฟยแสดงออกว่าไม่ได้สนใจในตำแหน่งผู้นำสกุล มิเช่นนั้นเขาล่ะกังวลว่าหากจิงเฟยได้มีเชื้อโง่ของน้องชายเพียงเศษเสี้ยว ก็อาจพาสกุลฮัวไปล่มจม
“พี่ใหญ่ พี่ปล่อยได้แล้ว ข้าอายุตั้งกี่ร้อยปีแล้ว เลิกดึงหูข้าเสียที” ฮัวเชียนเหนียนพูดพลางเต้นเร่า
“เจ้าก็รู้ว่าตัวเจ้าเองก็อายุอานามหลายร้อยปีแล้ว ลูกชายเจ้าก็อายุตั้งร้อยกว่าปี เจ้าเลิกมองว่าเขาเป็นเด็กเสียที” พอเถอะ ยังดีที่น้องชายของเขายังรู้ว่าตัวเองมีอายุหลายร้อยปีแล้ว
พี่น้องสกุลฮัวเถียงกันเอง ฮัวจิงเฟยย่อมไม่รู้ แค่จามไปไม่กี่ครั้งก็ยังไม่รู้ว่าเขามีพลังบำเพ็ญเพียรมาถึงขั้นนี้ ทำไมถึงยังจามอยู่แบบนี้ได้
มองเห็นกระดานฝึกพลังที่มีคนเหลืออยู่เพียง 10 คน เฮ้อ อัจฉริยะก็คืออัจฉริยะสินะ ไม่ใช่คนที่คนธรรมดาอย่างพวกเขาจะเทียบได้
ทั้งสิบคนต่างไม่มีใครยอมใคร แต่ใครได้เปรียบเสียเปรียบ ตอนนี้ก็พอจะดูออกบ้างแล้ว อันดับ 10 หงอวี้เหงื่อผุดออกเต็มหน้าผาก ใบหน้าแดงก่ำ อันดับ 9 พระเทียนซิน มีเหงื่อผุดออกที่หน้าผากประปราย แต่เขายังทนไหว อันดับ 8 หยวนเทียน ใบหน้าซีดเผือดแต่ก็ยังไม่ถึงขีดความสามารถของตน ส่วนอันดับ 7 กงเพียวเพียวปล่อยไอเหมันต์แผ่กระจายทั่วร่างกาย สีหน้าเรียบเฉย แต่นิ้วสั่นระริกแสดงให้เห็นว่านางเริ่มไม่ไหวบ้างแล้ว อันดับ 6 ตวนมู่เหยา ที่สีหน้าสบายๆในเมื่อครู่ก็กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา อันดับ 5 เยี่ยซิงขวง รู้สึกว่าตนเองยังไหว อันดับ 4 เฟยเผิง ที่พลังเซียนไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ยังคงฝืนต่อ ส่วนสามอันดับแรกท่าทีสงบนิ่งจนเกินไปเสียแล้ว
“สามอันดับแรกช่างไม่สมเหตุผลเลย เพียงครู่เดียวก็เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน”
“จริงสิ สีหน้าท่าทางสามคนนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากปกติเลย”
“อ๊ะ” หงอวี้ทนไม่ไหวถูกกระดานฝึกพลังดีดออกไปเป็นคนแรก จากนั้นพระเทียนซินก็ถูกดีดออกไปต่อ ผ่านไปครู่หนึ่งหยวนเทียนก็ถูกดีดออกจากกระดาน เขาเป็นผู้บำเพ็ญอสูรพยายามจนมาถึงจุดนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย เพียงครู่เดียวกงเพียวเพียวก็โดนดีดออกมาเช่นกัน ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ตวนมู่เหยาก็ถูกดีดออกมาตาม เหลือแค่เพียง 5 อันดับแรกที่ยังไม่มีความต่างมากนัก
“ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้ง 5 คนจะทนต่อไปได้นานแค่ไหน ตอนนี้เวลายาวนานเป็นเท่าตัวของอันดับ 6 แล้ว”
“เป็นอัจฉริยะเหมือนกัน แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างอยู่บ้างเช่นกัน ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าอัจฉริยะยังมีทั่วไปกับอัจฉริยะที่ผิดปกติด้วย”
“สหายท่านนี้พูดมีเหตุผล คนเก่งอย่างพวกเราก็ยังมีจุดแตกต่างกัน”
“รีบดูเร็ว เริ่มมีปฏิกิริยาแล้วประไร เยี่ยซิงขวงจากเผ่ามารถูกดีดออกไปแล้ว อสูรเฟยเผิงก็ด้วย แย่จริงต่างกันเพียงครู่เดียว น่าตื่นเต้นจริงๆ”
เยี่ยซิงขวงออกมาหลังเฟยเผิงแค่เพียงนิดเดียว กลายเป็นอันดับที่ 5 เฟยเผิงจึงได้อันดับ 4 ไป ทำเอาเยี่ยซิงขวงแทบอยากกระอักเลือด เพียงแค่เสี้ยววินาที ก็ต่างกันราวฟ้ากับดินไปได้
“เหลืออยู่แค่สามอันดับแรกที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด”
เมื่อมองทั้งสามคนที่ยังแข่งขันกันอยู่ เฮ้อ พวกคนประหลาดสามคน ยังคงไม่มีใครยอมใคร แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีนิ่งเฉยเช่นเดิม หน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หนานกงเวิ่นเทียนกับหยวนเจินก็ถูกดีดออกมาตามลำดับเหมือนเยี่ยซิงขวงกับเฟยเผิง ทำให้คนรู้สึกว่าอันดับที่ 2 ถึง 4 นั้นช่างเหมือนกับละครแท้ ๆ
“หลิวหลีคนประหลาด ทนได้ไหวจนตอนนี้ ได้อันดับหนึ่งไปครองก็แล้ว แต่ยังทนไหวได้นานขนาดนี้”
“พวกข้าได้แต่จ้องมองเท่านั้นเอง”
“เหตุใดสวรรค์จึงต้องให้มีหลงหลิวหลีคนแปลกๆผู้นี้”
“หลงหลิวหลีดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถก็ยังคงด้อยกว่านางอยู่เล็กน้อย ดูท่าคงจะต้องระวังหน่อยเสียแล้ว” เยี่ยซิงหวงพูดขึ้นพลางหลิวหลีที่อยู่บนกระดานฝึกพลังเพียงลำพังคนเดียว
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หลงหลิวหลีถึงได้ลืมตาขึ้นแล้วเดินลงไป หนำซ้ำยังดูผ่อนคลายปลอดโปร่ง คนแข่งกันเองมันช่างน่าโมโหจริง ๆ
อันดับหนึ่งเป็นของหลงหลิวหลีอย่างไม่ต้องสงสัย รวมๆแล้วอันดับได้ถูกจัดแล้วเรียบร้อย ตอนนี้เหลือเพียงการแย่งชิง 10 อันดับแรกก็เท่านั้น
………………………………….