แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 175 โม่หลีจะออกเดินทางไกล
“อยู่ๆ นังหนูก็ว่านอนสอนง่ายขึ้นมา ข้ารู้สึกไม่ค่อยชินเลย” หลิวหลีมองโม่หลีที่ทำตามคำสั่งตนเองทุกอย่าง ทำไมรู้สึกไม่ค่อยชิน แล้วก็ไม่ถามตัวเองด้วยซ้ำไปว่าทำไม สาวน้อยที่น่ารักหัวอ่อนผู้นี้คือน้องสาวที่เอาแต่ใจขี้อ้อนคนนั้นหรือ แต่เวลาผ่านไปสามเดือน ก็น่าจะพอได้แล้ว
“โม่หลี มานี่มา” หลิวหลีรู้สึกว่าพอใช้ได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องฝึกฝนต่อ
“ทำอะไรน่ะ ท่านพี่” โม่หลีชักมือกลับ มองพี่สาวอย่างสงสัย ท่านพี่จะทำอะไรอีก
“อืม สามเดือนแล้ว เจ้าก้าวหน้าเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ตอนนี้เจ้านั่งลงตรงนั้น นั่งทำสมาธิให้ดี ตอนนี้ข้าจะปลดผนึกพลังเซียนในร่างเจ้าให้” หลิวหลีพอใจกับพัฒนาการของโม่หลีในสามเดือนนี้อย่างมาก
“จริงหรือเจ้าคะ จะปลดผนึกให้ข้าแล้วหรือเจ้าคะ” โม่หลีรู้สึกดีใจเล็กน้อย ตอนนี้นางนึกถึงวันที่จะได้บำเพ็ญเพียร นางครบกำหนดวันรับโทษแล้วหรือ
“ใช่ เจ้าลองสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเจ้าดู” หลิวหลีพูดจบ ก็แตะโม่หลีเบาๆ โม่หลีสัมผัสได้ถึงพลังเซียนที่เคลื่อนไหวภายในร่างกาย หลังจากพลังพลุ่งพล่าน ก็เริ่มค่อยๆ ไหลเวียนทั่วร่างกาย ผลคือโม่หลีค้นพบอย่างประหลาดใจว่านางดูดซึมพลังเซียนได้เร็วกว่าแต่ก่อนมากนัก แรกๆ อาจยังรู้สีกไม่ค่อยชิน จากนั้นพอเริ่มคุ้นเคยแล้ว โม่หลีก็บรรลุช่วงฝึกฝนลมปราณขั้นที่ 4 ไปอย่างง่ายดาย จนถึงช่วงฝึกฝนลมปราณขั้น 6 ขั้นสุดยอด โม่หลีก็เห็นได้ชัดว่าเส้นลมปราณในร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นไม่น้อย นี่คือผลจากการที่พี่สาวให้นางฝึกฝนอย่างนั้นหรือ
“ช่วงฝึกฝนลมปราณขั้นที่ 6 เหลือแค่นิดเดียวก็จะเข้าสู่ขั้นที่ 7 แต่ช่วงนี้ถือเป็นช่วงสำคัญของช่วงฝึกฝนลมปราณ ไม่ได้บรรลุได้ง่ายขนาดนั้น” หลิวหลีค่อนข้างพอใจกับความก้าวหน้าของโม่หลี
“ในลำดับต่อไป พี่จะฝึกให้เจ้าควบคุมพลังเซียนในร่างกาย”
“ได้เจ้าค่ะ” หากฝึกตามที่พี่สาวบอก นางก็จะบรรลุขั้นพลังได้อย่างรวดเร็ว แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
“ท่านพี่ ข้าต้องฝึกอะไรบ้าง”
“วิชาง่ายๆ เจ้าก็ฝึกฝนได้แล้ว แต่ว่าเจ้าจะต้องฝึกฝนวิชาที่โคจรพลังเซียนให้ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งใช้มันอย่างไรให้ประหยัดพลังเซียน เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าจะกดพลังบำเพ็ญเพียรของข้าให้อยู่ในช่วงพื้นฐาน แล้วเรามาสู้กัน” หลิวหลีคิดว่าการได้ลงมือทำจะทำให้เห็นผลมากกว่า นางจึงฝึกเป็นเพื่อนโม่หลี
โม่หลีล้มลงแผ่หราบนพื้น พี่สาวของนางเป็นคนหลอกลวง การควบคุมพลังให้ตรงจุดอะไรพวกนั้นเป็นเรื่องโกหกชัดๆ พี่สาวของนางแค่อยากจะแกล้งนางเท่านั้น นางทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
“พลังเซียนในร่างกายถูกใช้จนหมดแล้วใช่หรือไม่ รีบนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังกลับมาเร็ว” หลิวหลีสะกิดโม่หลีที่ไร้เรี่ยวแรง เร่งให้นางรีบลุกขึ้นมา
ฮือๆ นางก็นึกว่าพี่สาวของนางจะกลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่นางยังเป็นนางมารร้ายเหมือนสามเดือนที่ผ่านมา หรือความอ่อนโยนในอดีตของนางเป็นแค่เรื่องโกหกทั้งเพ
โม่หลีดิ้นรนลืมตาขึ้น ฝืนสะกดความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิอย่างทุลักทุเล ตอนแรกเริ่มนางเจ็บปวดน้อยๆ ไม่นานนักก็เริ่มค่อยๆ คุ้นเคย และโคจรพลังรอบแล้วรอบเล่า สุดท้ายพลังทั้งหมดก็กลับเข้าไปที่จุดตันเถียน
หลิวหลีได้รับสัญญาณจากอาจารย์ นี่เขายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะให้นางกลับไปปล่อยแกะอีกหรือนี่ แต่นางไม่อยากเห็นสีหน้าท่าทางของพวกศิษย์พี่อีกแล้ว
“ศิษย์ข้า เจ้าวางใจเถอะ พวกศิษย์พี่ของเจ้าไปเข้าฌานบำเพ็ญเพียรกันหมดแล้ว เจ้ากลับมาเถอะอย่างสบายใจเถอะ อาจารย์อาเจ้าสำนักบอกไว้แล้ว เจ้าชอบลูกศิษย์ที่พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงไหน เจ้าก็สอนช่วงนั้นแล้วกัน”
เรื่องนี้น่ะหรือ หลิวหลีมองไปน้องสาวที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ น้องสาวนางเองก็ต้องการเพื่อน อืม เด็กๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“หลิวหลี เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าจะพาโม่หลีไปที่สำนักเมฆาคล้อยหรือ” หลงซินเยว่แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง ลูกสาวคนโตจะพาลูกสาวคนเล็กของนางออกไปข้างนอกด้วยกัน
“ไม่ได้ โม่หลียังเด็กเกินไป จะพานางออกไปไม่ได้” จ้านเฟิงหลิงไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย ลูกสาวคนโตอยากออกไปไหนก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียนางก็มีความสามารถพอตัว แต่ลูกสาวคนเล็กเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญเพียร จะให้ห่างอกพ่อแม่เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
“ท่านแม่ ท่านดู โม่หลีอยู่ในโลกอสูรเทพไม่มีเพื่อนที่อายุเท่ากันเลยสักคน ข้าอยากให้นางลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมดู ไม่แน่ว่าอาจได้เจอเพื่อนรู้ใจ” หลิวหลีอธิบาย หลังจากฟังคำอธิบายของลูกสาวคนโต พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าเรื่องในตอนนั้นมีอิทธิพลต่อลูกสาวคนเล็ก เพียงแต่พวกเขาไม่อยากให้นางไปจริงๆ
“รอให้โม่หลีโตกว่านี้สักหน่อย แล้วค่อยพานางออกไปไม่ได้หรือ” หลงซินเยว่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ดี ส่วนจ้านเฟิงหลิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ท่านแม่ ดอกไม้ที่อยู่อย่างสบายๆ จะเติบโตได้อย่างไร” แม่ที่มีจิตใจเมตตาล้มเหลวในการเลี้ยงลูกมาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว
“แม่เข้าใจ แต่ใจแม่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ดี” หลงซินเยว่ทำไมจะไม่เข้าใจ เพียงแต่ว่าไม่อยากให้ไปก็คือไม่อยากให้ไป
“ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเราถามความเห็นของโม่หลีดีหรือไม่” ถามความเห็นเจ้าตัวจะดีกว่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาว พวกท่านเรียกข้ามาด้วยเหตุใด” นางกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ดีๆ พี่สาวของนางก็เรียกให้นางมาหา สงสัยว่าคงต้องการให้นางมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ในบ้านเรื่องนี้ โม่หลีคิดอย่างมีวิจารณญาณ
“โม่หลี พี่อยากจะพาเจ้าไปอยู่สำนักเมฆาคล้อยสักพัก เจ้าอยากไปกับพี่หรือไม่” หลิวหลีพูดตรงๆ
“สำนักเมฆาคล้อยหรือ เป็นสำนักที่ท่านอยู่ ไม่ได้อยู่ในโลกอสูรเทพใช่หรือไม่” น้ำเสียงของโม่หลีแฝงไปด้วยความดีใจน้อยๆ ได้ออกไปที่อื่นนอกเหนือจากโลกอสูรเทพ น่าตื่นเต้นจริงๆ
“ใช่แล้ว โม่หลีอยากไปด้วยกันหรือไม่” หลิวหลีพยักหน้า ถามนางต่อ
“เจ้าค่ะ ข้าอยากไป พี่สาวให้ข้าไปด้วยเถอะนะ ข้าจะเป็นเด็กดี ข้าว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังท่าน แถมยังขี้อ้อน แล้วก็จะอบอุ่นเหมือนผ้าห่มที่ท่านต้องพกพาไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือไปเที่ยว” ได้ออกไปเที่ยวนอกโลกอสูรเทพ น่าตื่นเต้นจริง ๆ
“พอได้แล้ว พลังบำเพ็ญเพียรแบบพี่สาวเจ้าไม่ต้องการความอบอุ่นอะไรทั้งนั้น ของใช้จำเป็นพวกนั้น นางก็ไม่ต้องการ เจ้าอยู่กับพวกเราไม่ดีหรือ ทำไมถึงได้อยากออกไปข้างนอกขนาดนี้” ท่าทีของลูกสาวคนเล็กทำให้หลงซินเยว่โมโหจนอยากจะหัวเราะออกมา นังหนูช่างแล้งน้ำใจจริง ๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากจะลองออกไปดูโลกบ้าง อยู่ที่นี่ ข้าไปได้ไกลที่สุดก็แค่บ้านของท่านตา ข้าอยากจะเห็นโลกภายนอก แล้วก็อยากจะมีเพื่อนด้วย” พูดถึงวรรคสุดท้าย ใบหน้าของโม่หลีก็ซึมลงไปเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลิวหลี เจ้าต้องดูแลโม่หลีให้ดีๆ ” ประโยคสุดท้ายของลูกสาวสะกิดปมในใจของหลงซินเยว่ ลูกสาวคนเล็กของนางค่อนข้างจะโดดเดี่ยว บางอย่างนางกับอาหลิงหรือแม้แต่หลิวหลีก็ไม่อาจให้ได้ พวกเขาให้ได้แค่ความรักแบบคนในครอบครัวเท่านั้น ความสัมพันธ์แบบเพื่อนนางจะต้องเป็นคนไปหาเอง อีกอย่าง พลังบำเพ็ญเพียรของลูกสาวคนโตในตอนนี้สูงกว่าพวกเขามาก มีอะไรที่พวกเขายังจะต้องเป็นกังวลอีก
“แน่นอนเจ้าค่ะ” หลิวหลีกล่าว นางมีน้องสาวแค่คนเดียว จะไม่ดูแลให้ดีได้อย่างไร
“เย่ เย่” ดีจังเลย นางจะได้ออกไปข้างนอกแล้ว ต้องเตรียมอะไรบ้าง ผ้าห่มที่นางชอบที่สุดก็จะต้องเอาไปด้วย น้ำผลไม้ของนางก็ต้องเอาไป ขนมของนางก็ต้องเอาไป มีของหลายอย่างเลยที่ต้องเตรียมไปด้วย
“ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น ตัวเจ้าตามข้ามาก็พอ” หลิวหลีพูดขึ้นพลางมองดูโม่หลีที่เดินวนไปมาด้วยความตื่นเต้น
“พี่สาว ข้าไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรไปจริงๆ เหรอ” ไหนบอกว่าจะออกไปเที่ยวต้องเตรียมของเยอะแยะไม่ใช่หรือ
“ใช่ แต่ว่าท่านแม่ ถึงเวลาที่ควรจะให้แหวนเก็บของแก่นังหนูสักอันหนึ่งแล้วหรือไม่” พวกผู้บำเพ็ญล้วนแต่มีของไม่น้อย ตอนนี้นางควรเรียนรู้วิธีใช้ได้แล้ว
“ก็จริง นี่คือแหวนเก็บของที่แม่ใช้ตอนอายุยังน้อย ให้เจ้าเก็บไว้ก็แล้วกัน โม่หลี” หลงซินเยว่หยิบแหวนเก็บของที่ตัวเองเคยใช้ในอดีตออกมามอบให้โม่หลี
“ท่านแม่ ท่านยกของท่านให้ข้า แล้วท่านจะใช้อะไร?” โม่หลีไม่ได้หยิบแหวนจากมารดา หากท่านแม่ยกให้นางแล้วท่านแม่จะใช้อะไร
“ไม่ต้องเป็นห่วง เห็นหรือยัง นี่คือของขวัญวันแต่งงานที่พี่สาวของเจ้าให้ข้ากับพ่อของเจ้า” หลงซินเยว่ชูแหวนบนมือนางให้ลูกสาวดู ทั้งงดงามทั้งใช้งานได้จริง
“สวยมากเลยท่านแม่ แต่ว่าทำไมพี่สาวถึงให้ท่านเป็นของขวัญวันแต่งงานได้ล่ะ” เป็นลูกเข้าร่วมงานแต่งงานของท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างไร มิน่าถึงไม่เคยได้ยินท่านพี่เรียกท่านพ่อ ที่แท้นางกับท่านพี่มีแม่เดียวกันแต่คนละพ่อนี่เอง
“เรื่องนี้รอให้เจ้าโตก่อนแล้วค่อยบอกเจ้าแล้วกัน อีกอย่างนั่นมันสายตาอะไรของเจ้า” สายตาที่นึกว่าตัวเองเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งของโม่หลีทำให้หลงซินเยว่อยากจะหัวเราะ นังหนูคนนี้คิดอะไรแผลงๆ อีกแล้ว
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าเข้าใจ” โม่หลีทำท่าราวนางเข้าใจทุกสิ่ง ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
“พอได้แล้ว ถ้าไม่อยากได้ ก็เอาแหวนเก็บของคืนแม่” หลงซินเยว่แกล้งทำโมโหจะเอาของคืน
นังหนูรีบเก็บของแล้วแอบวิ่งหนีออกไป
“ลูกคนนี้นี่” หลงซินเยว่มองลูกสาวคนเล็กที่กลัวว่าตัวเองจะขอแหวนเก็บของคืน
“หลิวหลี คงต้องฝากโม่หลีให้เจ้าช่วยดูแลแล้ว” เฮ้อ ทำไมรู้สึกว่าลูกสาวคนโตเหมือนแม่ของลูกสาวคนเล็กเหลือเกิน นางทำอะไรหลายอย่างมากกว่าคนเป็นแม่อย่างนางเสียอีก
“แน่นอนเจ้าค่ะ” หลิวหลีรับประกัน น้องสาวของนาง นางจะรักและเอ็นดูแน่นอน แต่เรื่องไหนที่ควรจะต้องเข้มงวด นางก็จะไม่ใจอ่อนเช่นกัน
จ้านเฟิงหลิงมองดูสองแม่ลูกที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เขาก็ยังไม่อาจเข้าร่วมวงสนทนา แต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ลูกสาวคนโตจะเรียกเขาว่าพ่ออย่างแน่นอน
โม่หลีที่กลับไปก็นำแหวนเก็บของออกมาด้วยความตื่นเต้น มองซ้ายมองขวา จากนั้นก็ลองใส่โต๊ะใส่เก้าอี้เข้าไป แถมยังเก็บของส่วนตัวมากมาย อืม ถึงแม้พี่สาวจะบอกนางว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไร แต่นางก็ควรจะต้องเตรียมอะไรเล็กน้อย หากวันไหนทะเลาะกับพี่สาวขึ้นมา ตนเองจะได้ไม่ลำบาก
จนวันที่หลิวหลีจะพาโม่หลีไป นางก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่พอถึงตอนต้องไปจริงๆ นังหนูก็เกิดรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาน้อยๆ
………………………………………………