แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 176 หลี่มั่ว
“อู้ อู้ พี่สาวข้ากำลังบินอยู่ สนุกจังเลย” มั่วหลีกางแขนออกทั้งสองข้าง ทำท่ารับลม
“พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงพื้นฐานก็ทำได้แล้ว พอถึงตอนนั้น ข้าจะขอศิษย์พี่ให้ช่วยทำอาวุธที่แข็งแกร่งให้กับเจ้า”
“ต้องอยู่ในช่วงพื้นฐานเลยหรือ ยังอีกตั้งหลายปี” มั่วหลีรู้สึกว่ายังอีกนาน ใบหน้าซึมลงน้อยๆ
“นังหนู ต้องค่อยๆเดินไปทีละก้าว หากเร่งรีบมากเกินไปจะทำให้พื้นฐานไม่มั่นคง ตอนนี้เจ้ายังอยู่ในช่วงพื้นฐาน ไม่ควรเร่งรีบมากนัก” หลิวหลีรู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นคนแก่ไปแล้ว พูดเรื่องนั้นที พูดเรื่องนี้ที แถมต้องคอยดูสีหน้าฝ่ายตรงข้าม ว่าจะฟังเข้าหัวหรือไม่
“ท่านพี่สาว ข้าเข้าใจ” มั่วหลีจะไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้อย่างไร
“ข้ารู้อยู่แล้วว่ามั่วหลีของข้าเก่งที่สุด” หลิวหลีชมน้องสาวของตัวเองด้วยมบหน้านิ่งเฉย
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ามั่วหลี น้องสาวของหลิวหลีผู้ที่เก่งที่สุดในโลก” มั่วหลีพูดอย่างภูมิใจ
“พอได้แล้ว มีการชื่นชมคนเช่นนี้ด้วยหรือ เจ้าต้องรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าตัวเองนั้นเก่งที่สุด” หลิวหลีพูดพลางส่งสายตาตำหนิไปให้มั่วหลี
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” พี่สาวของนางถ่อมตนเกินไป นางได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก พี่สาวของนางคือคนที่เก่งที่สุดในใจนาง ไม่มีใครเทียบนางได้
“อีกอย่างพอถึงสำนักเมฆาคล้อย ข้าจะให้เจ้าอยู่สำนักนอกประมาณหนึ่งปี ตรงนั้นมีแต่พวกที่แกนวิญญาณแย่ คุณสมบัติร่างกายธรรมดา ไม่ค่อยมีความมุมานะเท่าไรนัก ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เป็นเหมือนคนพวกนั้น อีกอย่างจงจำไว้ว่าห้ามกินยาเม็ดศักดิ์สิทธิ์ พึ่งพายาในการบำเพ็ญเพียรเท่ากับดับอนาคตตัวเอง เจ้าเข้าใจหรือไม่” หลิวหลีเน้นประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ
“ท่านพี่สาว ข้าจะจำไว้” เรื่องนี้นางเข้าใจแจ่มแจ้ง ตั้งแต่นางเริ่มบำเพ็ญเพียร นางก็ไม่ใช้ยาอีกเลย ที่นางใช้เป็นยาอาบ ดูดซึมจากภายนอก เพราะนางมีพี่สาวเป็นยอดฝีมือปรุงยา จึงค่อนข้างเข้าใจความน่ากลัวจากสารพิษในยา
“อีกอย่าง ศิษย์สำนักนอก ห้องหนึ่งต้องอาศัยด้วยกันหลายคน แต่จะให้สิทธิพิเศษแก่เจ้า ให้เจ้าได้พักอาศัยอยู่คนเดียวไม่ต้องอยู่รวมกับคนอื่น อย่าลืมแช่ยาทุกคืน นี่คือป้ายค่ายกล ทุกครั้งเวลาแช่อย่าลืมใช้หินวิญญาณเปิดค่ายกล หากหินวิญญาณหมด ก็ส่งนกพิราบกระดาษมาบอกพี่” หลิวหลีกำชับ
“รู้แล้วเจ้าค่ะท่านพี่” มั่วหลีจะพูดอย่างไรดี นางตื่นเต้นทีเดียว นางออกจากบ้านเป็นครั้งแรกแถมยังได้ใช้ชีวิตคนเดียว ตื่นเต้น ดีใจมากจริงๆ
“อีกอย่างมั่วหลี นอกเสียแต่ว่าเจออันตรายถึงชีวิต เจ้าจงทุบหยกชิ้นนี้ ส่วนเรื่องอื่นๆจัดการด้วยตัวเอง ที่สำนักเมฆาคล้อยเจ้าไม่ใช่จ้านมั่วหลีน้องสาวของหลงหลิวหลี แต่เจ้าคือหลี่มั่ว จำได้หรือไม่” หลงหลิวหลีใช้แซ่ของตนเองยามอยู่บนโลกมนุษย์มาตั้งชื่อใหม่ให้น้องสาวตัวเอง
“หลี่มั่ว ท่านพี่ ข้าจำได้แล้ว” มั่วหลีกล่าว แค่เอาชื่อของนางสลับหน้าหลังเองไม่ใช่หรือ
“เอาล่ะ ถึงสำนักเมฆาคล้อยแล้ว เจ้าเข้าไปในฐานะของผู้มีลิขิตเซียนที่ผู้อาวุโสออกเจอที่ภายนอกแล้วกัน แต่เพราะความไม่เข้าใจทำให้บำเพ็ญเพียรไปจนถึงช่วงฝึกฝนลมปราณชั้นหกเท่านั้น ผู้อาวุโสเสียดายความสามารถ จึงพาเจ้ากลับมา เจ้าใช้ฐานะนี้เข้าไปอยู่สำนักนอกแล้วกัน” หลิวหลีกำชับสถานะของมั่วหลี
“เข้าใจเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ คนผู้นั้นคือผู้อาวุโสที่จะพาเจ้าไปสำนักนอก หากหาพี่ไม่เจอ ไปหาเขาก็ได้” หลิวหลีชี้คนที่กำลังรอพวกนางอยู่ คนผู้นั้นคือจื่ออีนั่นเอง
“จื่ออีคารวะอาจารย์อา เด็กคนนี้คือคนที่จะให้ข้าพาที่สำนักนอกใช่หรือไม่” จื่ออีทำความเคารพหลิวหลีอย่างนอบน้อม พลังบำเพ็ญเพียรตอนนี้ของหลิวหลีจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย บวกกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนหลิวหลีเคยสอนพวกเขา จื่ออีก็ได้ความรู้กลับมาไม่น้อย เพียงแต่ตอนที่เขาเข้าร่วมการจัดอันดับผู้ถูกเลือก จื่อซูกับเขาเข้าไปอยู่ใน 100 อันดับแรกอย่างเฉียดฉิว โดยอยู่ในอันดับท้าย ๆ
“จื่ออี คนผู้นี้คือ เด็กที่มีลิขิตเซียนที่ข้าบังเอิญไปพบ ไม่รู้ว่ามีใครเคยวัดระดับแกนวิญญาณของนางหรือไม่ นางฝึกฝนด้วยตนเองอย่างไร้หลักการ ข้าเลยคิดว่าให้มาฝึกที่สำนักน่าจะดีกว่า พานางไปอยู่ที่สำนักนอกแล้วกัน ข้าขอตัวก่อน” หลิวหลีเสียงเย็น เมื่อพูดจบนางก็เดินจากไป ทิ้งมั่วหลีที่ยังอึ้ง ต้องเริ่มแสดงตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ ในฐานะที่เป็นเจ้าถิ่น ท่านจะพาข้าไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อนไม่ได้เลยหรือ ทำไมนางรู้สึกว่าการที่นางออกมากับท่านพี่เป็นแผนร้ายเลย
“เจ้าชื่ออะไร” จื่ออีถามเด็กสาวที่ตรงหน้าที่ออกจะใสซื่อ และแสร้งทำท่าสงสัยอย่างเอ็นดู ใบหน้ากลมแป้น น่ารักจริงๆ
“มั่ว หลี่มั่ว” มั่วหลีเกือบจะหลุดปาก โชคดีที่นางหัวไว
“หลี่มั่ว ชื่อเพราะทีเดียว เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่มาส่งเจ้าเมื่อครู่คือใคร” จื่ออีถาม
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” มั่วหลีส่ายหัว นางจะไม่รู้ได้อย่างไร นางฟังเรื่องพี่สาวตนเองมาตั้งแต่เด็กจนโต
“เจ้าเป็นเด็กวาสนาดีจริงๆ คนเมื่อครู่เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสำนักเมฆาคล้อย เป็นผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่ง แถมยังเป็นนักปรุงยาระดับ 8 อีกด้วย” จื่ออีพูดด้วยความภาคภูมิใจน้อยๆ
“ผู้ถูกเลือกคืออะไร นักปรุงยาระดับ 8 คืออะไร เก่งมากเลยหรือเจ้าคะ” มั่วหลีเอียงคอถาม แสร้งทำท่าทางสงสัย พี่สาวของนางไม่ได้เป็นแค่ความภาคภูมิใจของสำนักเมฆาคล้อยเท่านั้น ยังเป็นความภาคภูมิใจของโลกอสูรเทพด้วย ส่วนคนที่ควรจะภูมิใจมากที่สุดก็คือคนในครอบครัวของนาง คนพวกนี้จะมาภาคภูมิใจทำไม ไม่ใช่ผลงานของตัวเองเสียหน่อย ท่านพี่ ท่านให้ข้ามาฝึกฝนในสำนัก ท่านคิดผิดหรือเปล่าเนี่ย
“ก็จริง จะคาดหวังให้เด็กมาเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็คงไม่ได้ รอเจ้าเริ่มบำเพ็ญเพียร เจ้าจะเข้าใจเอง” จื่ออีเพิ่งรู้สึกตัว เขาพูดเรื่องพวกนี้กับเด็กอายุน้อยขนาดนี้ เขาคงจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ
“ถึงแล้ว ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่เจ้าจะต้องใช้ชีวิตต่อไปหลังจากนี้” จื่ออีหยุดลงที่หน้าประตูหินบานหนึ่ง
มั่วหลีไม่ได้พูดไม่จา ที่นี่ดูโบราณมากจริงๆ เป็นประตูหินเสียด้วย
หลังจากเข้าไป ก็มีผู้ดูแลออกมาต้อนรับ
“ข้าไม่ทราบว่าอาจารย์อาจื่ออีมาที่นี่ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับที่หน้าประตู” ผู้ดูแลประจบประแจงเล็กน้อย แต่รู้สึกกังวลใจเบาๆ ทำไมท่านผู้นี้ถึงมาที่นี่ได้ พอมองเห็นเด็กสาวที่ทำท่าทางอยากรู้อยากเห็นข้างกายเขา ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
“เจ้าคือผู้ดูแลของที่นี่หรือ?” จื่ออีพูดพลางด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ขอรับ ข้าน้อยหวงฉี” หวงฉีพูดพลางหลบตา
“หวงฉี นี่คือหลี่มั่ว ผู้อาวุโสในสำนักออกไปข้างนอกแล้วพบเข้า ให้นางอยู่สำนักนอกไปก่อน หากพบว่ามีความมานะพยายาม ก็จะให้เข้าไปอยู่ในสำนัก” จื่ออีพูดแล้วชี้มั่วหลี
“คารวะ ท่านผู้ดูแล” มั่วหลีทำความเคารพผู้ดูแล พี่สาวของนางเคยบอกไว้ว่ามีแต่ความนอบน้อมจะทำให้คนชื่นชอบ แต่คำพูดแย่ๆไม่ทำให้ใครพอใจ
“เป็นเด็กสกุลไหนกัน ปากหวานจริงๆ” หวงฉียิ้มน้อยๆ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เป็นเด็กดี
“อีกอย่าง เด็กคนนี้มากะทันหัน ให้นางพักคนเดียวก็แล้วกัน เรื่องอื่นควรจะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นเช่นนั้น ไม่รู้นังหนูคนนี้ไปเรียนเคล็ดวิชาจากใครมา ให้นังหนูคนนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาพื้นฐานของสำนักเมฆาคล้อย ยังดีที่พลังบำเพ็ญเพียรไม่สูงมาก ยังสามารถดึงกลับมาได้อยู่” จื่ออีคิดๆแล้ว ก็กำชับ
“เข้าใจแล้วขอรับ” หวงฉีรับรู้ เป็นเด็กที่ผู้อาวุโสบังเอิญเจอเข้าจริงๆด้วย
“เอาล่ะ ฝากเจ้าด้วยแล้วกัน” จื่ออีพูดจบก็เดินไป
“น้อมส่งอาจารย์อา” หวงฉีพูดจบ และสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่หันหลับมา
“นังหนู มาที่นี่คงไม่ได้มีอิสระอะไรมาก ดูเจ้าแล้วก็ฉลาดไม่เบา ไป ไปผ่าฟืนที่ด้านหลังให้หมด อีกอย่าง ไปเปลี่ยนเป็นชุดทำงานสีเทาของสำนัก ชุดของเจ้าไม่เหมาะจะทำงาน”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านผู้ดูแล” มั่วหลีทำท่าทางเหมือนที่หวงฉีที่ทำกับจื่ออีเมื่อครู่
สวมชุดสีเทาแล้วจึงมัดผมเป็นก้อนกลมๆคล้ายซาลาเปา วัดน้ำหนักมีดในมือ ออกจะเบาเหมือนกัน พี่สาวของนางตอนนางเข้าร่วมสำนักก็เป็นศิษย์สำนักในเลยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงรู้ได้ว่าศิษย์สำนักนอกนั้นต้องตัดฟืนตักน้ำ พี่สาวของนางไม่มีทางบอกนางแน่ แต่ความจริงแล้วคือชาติที่แล้วพี่สาวของนางอ่านนิยายมามากต่างหาก
เมื่อนึกถึงหน้าของผู้ดูแล หากทำเสร็จก็ต้องไปทำอย่างอื่นอยู่ดี อืม นางค่อยๆทำดีกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อฟ้ามืด ฟืนกองนี้ก็ถูกจัดการจนเสร็จเรียบร้อย
หวงฉีมองดูฟืนที่ถูกตัดออกด้วยขนาดเท่าๆกันหมด นังหนูเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำใช่หรือไม่ แต่ถือเป็นเด็กมีพรสวรรค์ เด็กพวกนั้นเข้ามาเป็นปีก็ยังไม่สามารถตัดให้เป็นระเบียบได้ขนาดนี้ ดูท่าแล้ว เด็กที่ท่านผู้อาวุโสไปเจอมาจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี
“นังหนู พรุ่งนีไม่ต้องตัดฟืนแล้ว ไปตักน้ำก็แล้วกัน” หวงฉีตัดสินใจว่า หากให้นังหนูคนนี้ตัดทั้งหมดโดยใช้วิธีนี้ โรงอาหารก็คงจะต้องเตรียมตัวตัดเสบียงอาหารแล้ว
พอตกเย็นเมื่อเห็นว่าจะได้กินอะไร มั่วหลีก็เปลี่ยนสี หงุดหงิดจริงๆ นางอดทนกับความยากลำบากได้ แต่อย่าให้นางกินอาหารหมูได้หรือไม่ นางดันข้าวกลับไปให้เด็กที่น่าสงสารที่กำลังจ้องมองนางอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจ มั่วหลีกลับไปที่ที่พักของตัวเอง นำของกินในแหวนเก็บของออกมา ยังดีที่ตัวเองเตรียมมาอยู่ ไม่เช่นนั้นนางคงจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญที่หิวตายคนแรกของประวัติศาสตร์แน่ ทว่านางมีเสบียงไม่มาก หากมีโอกาสได้ออกไปข้างนอก คงจะต้องเก็บผลไม้มาตุนไว้บ้าง ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมกินข้าวที่โรงอาหารแน่นอน
วันถัดมา เพื่อจะสร้างความลำบากให้มั่วหลี หวงฉีจงใจนำถังน้ำทรงปลายแหลมมาให้นางสองอัน แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า ไม่มีถังน้ำแล้ว เหลือแค่อันนี้เท่านั้น มั่วหลีมองผู้ดูแลด้วยความประหลาดใจน้อยๆ แต่ก็ไม่พูดจา ผลคือกลางคืนอ่างน้ำของมั่วหลีมีน้ำเต็มอ่าง หวงฉีตกตะลึง แต่เขาไม่รู้ว่ามั่วหลีแอบเบะปากในใจ อ่างน้ำนี้มีขนาดแค่หนึ่งในสามของอ่างน้ำที่พี่สาวของนางทำให้ด้วยซ้ำ อีกอย่าง พวกเขาดูตักน้ำกันแบบขอไปที ดังนั้นท่านพี่ให้นางมาเรียนรู้อะไรที่สำนักนอกตั้งหนึ่งปี
………………………………