แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 180 ลูกหลานสกุลฮัว
“โม่หลี ลดไหล่ลงมาหน่อย เสี่ยวหู่ยกแขนขึ้นอีกนิด” หลิวหลีมองเด็กทั้งสองด้วยท่าทีจริงจัง เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เลวเลย โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บตามร่างกายหยางจิงหู่ หลิวหลีก็รักษาให้จนหายหมดแล้ว ความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในก็ค่อยๆเปล่งประกายออกมา เป็นเด็กเก่งทีเดียว เพียงแต่ว่า
“โม่เอ๋อร์ อดทนไว้นะ” หยางจิงหู่ให้กำลังใจโม่หลี
“เสี่ยวหู่เจ้าดูตัวเองก่อนเถอะ”
เมื่อมองเด็กสองคนว่ากล่าวตักเตือนกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคู่รักกันอย่างไรบอกไม่ถูก หากอีกฝ่ายเป็นน้องเขยในอนาคต หลิวหลีพยายามมองหยางจิงหู่โดยละเอียด ความสามารถอ่อนด้อยมากจนเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็ใช้มาตรฐานของน้องเขยมาเป็นเกณฑ์แล้วกัน ช้าก่อน หากว่าท่านพ่อท่านแม่รู้เข้า นางจะโดนไล่ออกจากบ้านหรือไม่ ที่น้องสาวของตัวเองมีคู่หมั้นหมายรวดเร็วเช่นนี้
ทันใดนั้นก็ก็มีนกพิราบกระดาษลอยเข้ามา หลิวหลีเอื้อมไปรับแล้วหันไปพูดกับเด็กทั้งสอง
“เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนกลับไปเก็บของให้เรียบร้อย มีแขกมา” หลิวหลีเลิกคิ้ว มาเร็วเหมือนกัน นางเดินสาวเท้าเพียงครู่เดียว ก็มาถึงหน้าประตูของสำนัก ฮัวจิงเฟยแต่งตัวหลากสี มันช่างน่าจริงๆ
“หลิวหลี หลิวหลี เจ้าจะไปไหนล่ะ ไม่ให้ข้าเข้าไปหรือ” เขามองดูหลิวหลีที่กำลังจะหมุนตัวเดินกลับก็ตะโกนเรียกให้หยุด
“เจ้าเป็นใคร ข้าไม่รู้จักเจ้า” หลิวหลีแสดงท่าทีว่าไม่รู้จักนกยูงหลายสีตัวนี้
“อย่าสิ พวกเราออกจะสนิทกัน อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเลย” หลิวหลีเป็นอะไรไป ทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้” หลิวหลีมองฮัวจิงเฟยอย่างรังเกียจ ทำไมแต่ก่อนถึงมองไม่ออกเลยว่าเขาเป็นคนที่ชอบโอ้อวดเช่นนี้
“เป็นอะไรไป ข้าตั้งใจเปลี่ยนเพื่อออกบ้านเลยนะ เจ้าเรียกข้ามา ข้าจะทำให้เจ้าเสียหน้าก็คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ” ฮัวจิงเฟยมองการแต่งตัวของตัวเอง ยอดเยี่ยมมากเลยใช่ไหม
“นี่คือแขกของข้า ข้าจะพาเขาเข้าไป” รีบๆพาเข้าไปจะดีกว่า น่าขายหน้าจริงๆ
“ในเมื่อเป็นแขกของท่านปรมาจารย์หลิวหลี เชิญขอรับ” ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูเชื้อเชิญอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณ” หลิวหลีพูดจบก็โยนขวดขนาดเล็กให้กับผู้ดูแลประตู จากนั้นก็พาฮัวจิงเฟยเดินไป
“เอ่อ เอ่อ หลิวหลีทำไมเจ้าเดินเร็วขนาดนี้ จะให้ข้าชมวิวทิวทัศน์ในสำนักเมฆาคล้อยหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร” เสียงตะโกนของฮัวจิงเฟยดังก้องไปทั่ว
“จะดูอะไรนักหนา ทำธุระเสร็จก่อน แล้วค่อยว่ากัน” การแต่งตัวแบบนี้เป็นการฉีกหน้านางชัดๆ นางอาจจะโด่งดังเพราะมีเพื่อนที่แต่งตัวเวอร์วังเช่นนี้เข้าสักวัน
เมื่อหลิวหลีพาฮัวจิงเฟยมาถึงหอปรุงยา ฮัวจิงเฟยก็แอบถอนหายใจกับพลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีที่ยากจะคาดเดาได้เช่นเคย ดังนั้นการที่ท่านลุงเหน็บแหนมเขาทุกวันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“โม่หลี เสี่ยวหู่ มีแขกมา มาทักทายแขกก่อนเร็ว”
ฮัวจิงเฟยหน้าเปลี่ยนสีในทันที หากเป็นคนสกุลฮัวจริงๆ ท่าทางของเขาออกจะดูไม่จริงจังเกินไป
“อ่าว พี่จิงเฟยจากสกุลฮัว ท่านคือแขกของท่านพี่ข้าหรือ พี่ยังถือว่าเป็นแขกด้วยหรือเนี่ย” เมื่อโม่หลีเห็นว่าเป็นพี่จิงเฟยหน้าหนา ก็ช่วยไม่ได้ ยามเจอคนผู้นี้ ก็มักจะหลงลืมเรื่องความอาวุโส นางไม่อยากจะทำความเคารพเขาด้วยซ้ำ
“คารวะผู้อาวุโส” หยางจิงหู่ทำความเคารพอย่างมีมารยาท
“โม่หลีเองหรอกหรือ ไหนให้ข้าดูหน่อย ทำไมถึงผอมเช่นนี้” ฮัวจิงเฟยแกล้งทำเป็นถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นโม่หลีส่งสายตาไม่พอใจให้กับเขา เมื่อเห็นใบหน้าผู้ปกครองอย่างหลิวหลี แย่แล้ว ลืมไปเลยว่าหลงหลิวหลีจอมมารที่หวงน้องยิ่งกว่าอะไรยืนอยู่ข้างๆ
“ไม่เจอกันตั้งนาน โม่หลีสวยขึ้นเยอะเลย” หวังว่าหลงหลิวหลีคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจะไม่แค้นเคืองเขา
“พอเถอะ รีบจัดการธุระได้แล้ว” หลิวหลีจดความแค้นนี้ไว้ในใจ ถึงขนาดพูดว่าน้องสาวนางผอมลง หลิวหลีมองดูหน้ากลมๆของโม่หลี แล้วก็มองแก้มเสี่ยวหู่ ฮัวจิงเฟยสมควรโดนจัดการจริงๆ
สีหน้าฮัวจิงเฟยเคร่งขรึมโคจรสัมผัสทางสายโลหิต หยางจิงหู่ที่อยู่ตรงข้าม ก็รู้สึกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในสายโลหิต
“ใช่จริงๆ” ฮัวจิงเฟยประหลาดใจเล็กน้อย เป็นสายเลือดบ้านสกุลฮัวจริงๆ ด้วย เพราะว่าเป็นญาติ สัมผัสทางสายโลหิตจึงไม่รุนแรงนัก แต่ก็ยังพอสัมผัสได้
“โชคของข้าไม่เลวเลยจริงๆ” หลิวหลีก็ตกใจกับโชคชะตาของตัวเอง
“ใช่” แค่ไม่เลวที่ไหน ไม่ใช่ว่าออกจากบ้านแล้วจะได้เจอคนในสกุลกันได้ง่ายๆเสียที่ไหน
“เอาล่ะ ข้าจัดการเรื่องของข้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า โม่หลี ไปทำเครปเค้กกินดีกว่า” หลิวหลีกวักมือเรียกน้องสาว ปล่อยให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“ท่านลุง” ทันทีที่หลิวหลีจากไป ฮัวจิงเฟยก็นำกระจกวารีออกมา เรียกหาท่านลุงของเขา
“มีอะไร ทำไมอยู่ดีๆถึงใช้กระจกวารี ข้าตกใจหมดเลย” ฮัวเชียนหนิวที่เพิ่งได้ข่าวบ้างอย่างก็ตกใจเพราะหลานตนเอง
“ก็มีเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ผู้อาวุโสอย่างท่านเป็นผู้จัดการ เห็นคนนั้นแล้วหรือยัง เขาเป็นสายเลือดสกุลฮัว” ฮัวจิงเฟยชี้ไปที่หยางจิงหู่ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“แน่ใจหรือ เป็นสายเลือดบ้านสกุลฮัวจริงๆหรือ” ฮัวเชียนหนิวตื่นเต้นน้อย ๆ เป็นสายเลือดสกุลฮัวจริงด้วย
“แน่ใจสิ ข้าใช้สัมผัสทางสายโลหิต อาจจะเป็นเพราะพวกเราไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดจึงไม่สามารถสัมผัสอะไรได้มาก” ฮัวจิงเฟยกล่าว ตอนแรกที่เห็นท่าทางของเด็กคนนี้ เขาคิดจริงๆว่าเป็นลูกของท่านพ่อด้วยซ้ำไป เพราะนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อของเขาเป็นอย่างมาก แต่เมื่อใช้สัมผัสทางสายโลหิตตรวจสอบดู ก็สัมผัสได้ว่าเขาน่าจะคิดมากเกินไป นี่ไม่ใช่ลูกของท่านพ่อ
หยางจิงหู่มองเพื่อนของท่านพี่หลิวหลีด้วยสายตางุนงง ใช่แล้ว ท่านพี่หลิวหลี เมื่ออยู่ในอาณัติของหลิวหลี หยางจิงหู่จึงเรียกท่านพี่ตามโม่หลี แรกๆหยางจิงหู่รู้สึกไม่ชินนักแต่พอนานๆไปก็ชินปากไปเอง โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าปรมาจารย์ท่านนี้เพิ่งจะอายุร้อยปีเท่านั้น ก็ยิ่งนับถือมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะบอกให้ทำอะไร เขาก็ทำตาม
ฮัวเชียนหนิวเริ่มสงสัยว่านี่คือลูกหลานสกุลฮัวของเขาจริงหรือ เมื่อเห็นท่าทางที่ดูเงอะงะ มึนงงของฮัวจิงหู่ เด็กนี่คงไม่ได้มึนขนาดนั้นใช่ไหม ทันใดนั้นเอง ผู้อาวุโสสามฮัวเชียนซานก็พาหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางดูคุ้นตาไม่น้อย
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน เจ้าลองคุยกับเด็กดูก่อน ผู้อาวุโสสามมาแล้ว” ฮัวเชียนหนิวเก็บกระจกวารี
“เชียนซาน เจ้ามาได้อย่างไร ท่านผู้นี้คือ… ดูคุ้นตาทีเดียว” ฮัวเชียนหนิวมองหญิงสาวคนนั้น รู้สึกคุ้นเคยมากจริงๆ
“พี่ใหญ่ นี่คือครอบครัวฝั่งของท่านตารอง แม่นางฮัวเชียนซา” ฮัวเชียนซานกล่าวแนะนำ
“เชียนซาคารวะ ท่านผู้นำสกุล” ฮัวเชียนซาย่อตัวลง เมื่อเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความร้อนรน
“เชียนซานี่เอง ข้านึกออกแล้ว เจ้าเพิ่งจะแต่งงานไปเมื่อไม่กี่ปีไม่ใช่หรือ” ฮัวเชียนหนิวนึกออกในที่สุด นี่คือครอบครัวฝั่งปู่ทวดของเขา ได้ยินมาว่าเหลือแค่เพียงน้องสาวคนนี้เท่านั้น คนในสกุลดูแลนางอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สามีของนาง นางเลือกด้วยตนเอง เป็นบุตรของอนุภรรยา ห่างจากเขาไปหลายรุ่น น่าเสียดายที่เด็กคนนั้นอายุสั้น แต่งงานได้ไม่นานก็จากไป
“ผู้นำสกุล เชียนซาจะไม่พูดอ้อมค้อม ได้ยินมาว่าบ้านสกุลฮัวมีเด็กที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอก ใช่เด็กชายอายุ 7 ขวบหรือไม่” ฮัวเชียนซาถามขึ้นมาตรง ๆ
“จิงหู่ เจ้าอายุกี่ขวบแล้ว” ฮัวจิงเฟยเริ่มถามข้อมูลของเด็ก
“น่าจะประมาณ 7 ขวบ” หยางจิ่งหู่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“พ่อแม่เจ้าล่ะ” เรื่องนี้สำคัญมาก
“พ่อแม่หรือ ไม่รู้สิ ข้าโตมากับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง” บางครั้งหยางจิงหู่ก็อยากรู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร น่าเสียดาย เมื่อพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงได้ยินเขาถามถึงพ่อแม่ ก็จะทุบตีตนเองอย่างโหดร้ายทารุณ พอเวลาผ่านไป เขาก็ไม่คิดจะถามอีก
“พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงดีกับเจ้าหรือไม่”
“ก็ไม่ปล่อยให้ข้าหิวตาย” หยางจิงหู่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
ฮัวจิงเฟยขมวดคิ้ว ไม่ปล่อยให้เขาหิวตาย คำพูดนี้ดูมีปัญหา ไม่หิวตายแสดงว่าไม่เคยกินอิ่มมาก่อน ดูท่าแล้ว พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของเขาคงไม่ได้ดีกับเขาเท่าไหร่นัก
“เจ้าแค้นพวกเขาหรือไม่” ฮัวจิงเฟยตั้งใจถาม ทรมานคนสกุลฮัวของเขา เรื่องคงจะไม่จบง่ายๆขนาดนั้น
“ไม่เกลียดชัง ตั้งแต่ข้าได้เข้าสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ข้าก็ไม่คิดแค้นพวกเขาอีก อย่างไรเสียพวกเราก็เดินกันคนละเส้นทาง” จิงหู่ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น ตอนนั้นเพราะว่าสามีเจ้าเสียชีวิตกะทันหัน เจ้าก็เลยออกไปทำใจ เมื่อพบว่าตัวเองตั้งครรภ์และกลับสกุลไม่ทันจึงคลอดลูกที่ด้านนอก แล้ววานให้คนอื่นช่วยดูแล” ฮัวเชียนหนิวสรุป
“ถูกต้องแล้ว ท่านผู้นำสกุล ตอนนั้นครอบครัวนั้นถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์พร้อม มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว ข้าทิ้งเงินไว้ให้ครอบครัวนั้นจำนวนมาก ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะดีต่อลูกของข้า ข้าตั้งชื่อให้กับเขาด้วย นามว่า จิงหู่” ฮัวเชียนซากล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุใดเจ้ากลับมาแล้วจึงไม่บอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ แล้วไปรับเด็กคนนั้นกลับมา” ฮัวเชียนหนิวไม่พอใจ มีลูก ลูกยังไม่สามารถเลี้ยงได้ เป็นแม่ภาษาอะไร แถมยังคลอดลูกหลังจากพ่อเด็กเสียอีกด้วย
“เรียนผู้นำสกุล ตอนนั้นพลังบำเพ็ญเพียรของเชียนซาถดถอยอย่างหนัก ร่างกายกระทบกระเทือนไม่น้อย ตัวเองจะกลับบ้านก็ยังลำบาก จึงอยากจะฝากลูกไว้กับสองสามีภรรยา ข้าได้กำหนดเวลาไว้กับตัวเอง 8 ปีหลังจากนั้น ข้าจะออกฌานไปหาเขา” ฮัวเชียนซาอธิบาย
“จริงสิ ได้ยินมาว่า ชื่อของข้าเป็นชื่อที่ท่านแม่ตั้งให้” หยางจิงหู่กล่าวกับฮัวจิงเฟย นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขามีเพื่อการระลึกถึงท่านแม่
“ชื่อไพเราะไม่น้อยเลย” ฮัวจิงเฟยเริ่มมั่นใจว่าพ่อแม่แท้ๆของจิงหู่ต้องเป็นคนรุ่นเดียวกับพ่อของเขาอย่างแน่นอน เพราะรุ่นที่มีชื่อขึ้นต้นว่า จิง จะเป็นรุ่นของเขา เหมือนกับสกุลหลงที่จะขึ้นต้นด้วยตัว เทียน บ้านสกุลหลินขึ้นต้นด้วย เสี่ยว ส่วนสกุลจ้านขึ้นต้นด้วย อวิ๋น
“เอาล่ะ เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าให้จิงเฟยไปดูแล้ว มีเด็กที่น่าจะเป็นเด็กที่เจ้าพูดถึงคนหนึ่ง เป็นสายเลือดบ้านสกุลฮัว แต่ในรายละเอียด ข้าคงต้องลองคุยกับจิงเฟยอีกที” ฮัวเชียนหนิวพูดกับฮัวเชียนซา
“ขอบคุณท่านผู้นำสกุล”
“ผู้นำสกุล คุยกันจบแล้ว เมื่อครู่ข้าถามจิ่งหู่ เขาอายุ 7 ปี โตมากับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง แต่ว่าพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของเขาไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก ชื่อของเขา แม่ของเขาเป็นคนตั้งให้” ฮัวเชียนหนิวหยิบกระจกวารีออกมาโดนที่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮัวจิงเฟยก็พูดมายาวเหยียด ด้วยความแน่ใจว่า หยางจิงหู่เป็นลูกของฮัวเชียนซา
…………………………………………….