แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 182
เมื่อชิงหลวนลืมตาก็พบว่าเวลาได้ล่วงเลยไปแล้วถึง 60 ปี ตัวเองมาเป็นแขก แต่กลับบำเพ็ญเพียรในบ้านคนอื่นนานถึง 60 ปี ถึงแม้ชิงหลวนจะเป็นคนสบายๆ ขี้โวยวายแต่ก็ยังเกรงใจ หลิวหลีคงจะไม่รำคาญตนกระมัง
เวลาที่หลงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้เข้าฌานก็จะแวะมาดูว่าชิงหลวนออกจากฌานแล้วหรือยัง ตัวนางเองเข้าสู่ช่วงอมตะแล้ว แต่พี่ชิงหลวนก็ยังไม่ออกฌานอยู่ดี ตอนนี้นางเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดแล้ว แต่พี่ชิงหลวนยังเข้าฌานอยู่ พี่สาวก็หนีไปเล่นที่สำนัก ไม่ยอมพานางไปด้วย ยังดีที่นางยังมีเสวียนเช่อคอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่อย่างนั้นนางคงจะเบื่อมากแน่
“เอ่อ พี่ชิงหลวนออกฌานแล้ว” หลงเสี่ยวเสี่ยวสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวภายในห้อง
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้ารอข้ามาตลอดเลยงั้นหรือ ขอโทษด้วยนะ เพราะข้ารื้อของที่ได้มาจากการจัดอันดับผู้ถูกเลือก หลังจากใช้แล้วก็เข้าฌานเลย” ชิงหลวนพูดด้วยความรู้สึกผิดน้อยๆ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่อยากรู้อยากเห็นก็คงดี เป็นแบบนี้ชวนให้อึดอัดใจทีเดียว
“เอ่อ เสี่ยวเสี่ยว ชิงหลวน พวกเจ้าจะออกไปกันแล้วหรือ?” ตอนที่หลิวหลีเข้ามา ก็เจอกับชิงหลวนที่เพิ่งจะออกมาเจอกับเสี่ยวเสี่ยวพอดี แน่นอนหลิวหลีไม่รู้ว่าชิงหลวนได้เข้าฌานไปแล้ว 60 ปี น้ำเสียงเลยอึกอักเล็กน้อย
“พี่สาว ท่านกลับมาจากสำนักแล้วหรือ” เสี่ยวเสี่ยวสงสัย คนจอมยุ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
“ใช่ โม่หลีอยู่ในช่วงอมตะแล้ว เสี่ยวหู่ก็เหมือนกัน” ภารกิจของนางเสร็จสิ้นแล้ว จึงนึกถึงแขกที่หลงลืมไปถึง 60 ปีขึ้นมา นางมองชิงหลวนด้วยสายตากระอักกระอ่วน ส่วนชิงหลวนมองหลิวหลีอย่างเกรงใจเช่นกัน
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว พวกท่านสองคน คนหนึ่งเข้าฌานไป 60 ปีถึงจะออกมา ส่วนอีกคนไปอยู่ที่สำนัก 60 ปีไม่กลับมา ปรากฏว่าออกมาปรากฏตัวพร้อมกันในวันเดียวกัน” เสี่ยวเสี่ยวเหน็บแนมทั้งสองคน ทำให้ทั้งสองทำหน้าไม่ถูก คนหนึ่งไม่มีความเป็นเจ้าบ้านที่ดี ส่วนอีกคนไม่มีความเป็นแขกที่ดี
“เรื่องนั้นน่ะหรือ ชิงหลวน ข้าว่าจะออกไปแสวงหาโอกาสข้างนอก เจ้ายินดีจะไปด้วยกันหรือไม่” หลิวหลีชิงพูด ไม่ว่าจะอย่างไร ก็เพราะนางทำหน้าที่เจ้าบ้านได้ไม่ดีหรือไม่
“พวกพี่จะออกไปข้างนอกกันหรือ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่” ชิงหลวนยังไม่ทันตอบ เสี่ยวเสี่ยวก็ชิงพูด เย่ จะได้ออกไปเที่ยวอีกแล้ว
“เอ่อ เรื่องนั้น เสี่ยวเสี่ยว ที่ที่เราจะไปครั้งนี้พาเจ้าไปด้วยไม่ได้ เจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่บ้านแล้วกัน” หลิวหลีปฏิเสธทันที ล้อกันเล่นหรืออย่างไร พาเด็กออกไปด้วย แล้วจะได้เล่นอะไร ถึงเด็กคนนี้จะแก่พอเป็นยายคนได้แล้วก็ตาม
“พี่สาว ข้าอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดแล้ว” เข้าแดนลี้ลับมาแล้วด้วยรอบหนึ่ง เพียงแต่ของที่ทุกคนได้มานั้น ไม่เท่ากับที่หลิวหลีได้ สุสานบรรพบุรุษก็มีแต่หลิวหลีเข้าไปได้สำเร็จ เสี่ยวเสี่ยวเข้าไปได้ไม่สำเร็จ
“พลังบำเพ็ญเพียรยังไม่เพียงพอ เจ้าดูพี่ชิงหลวนของเจ้าสิ ตอนนี้ใกล้จะเข้าช่วงรวมกายาแล้ว ส่วนข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง สถานที่ที่ข้าจะไปคราวนี้ ข้าอาจปกป้องเจ้าไม่ได้ เจ้าเป็นเด็กดีอยู่บ้านไป รอจนเจ้าบรรลุช่วงแยกจิตก็ออกไปเที่ยวคนเดียวได้แล้ว” หลิวหลีปฏิเสธอย่างไม่ลังเล ว่าแต่นางยังไม่ได้ดูของที่นางได้จากการจัดอันดับผู้ถูกเลือกเลย หากมีเวลาว่าจะดูสักหน่อย หม้อสามขาเทียนสิงในตอนนั้นให้ความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเสี่ยวเห็นพี่สาวพูดเช่นนั้นจึงยอมถอดใจ นางตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อจะได้ออกไปเที่ยวด้วยตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากคนในครอบครัว
“ตกลง ไม่รู้ว่าหลิวหลีอยากจะไปไหน?” ชิงหลวนย่อมดีใจอยู่แล้ว ที่จะได้ออกเดินทางไปกับคนที่เป็นต้นแบบของนางตามลำพัง ช้าก่อน หากนางจำไม่ผิด คู่หมั้นของหลิวหลีมักตัวติดอยู่กับนางตลอด ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็ไปเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่เลยสิทีนี้ สีหน้าดีใจเมื่อครู่กลายเป็นอึดอัดแทน
“อยากไปโลกพุทธะสักหน่อย นักบวชหยวนเจินชวนข้าไปที่นั่น ปฏิเสธเขาตลอดคงไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงอยากขอให้ชิงหลวนพาข้าเที่ยวโลกอสูรด้วย แค่พวกเราสองคนได้หรือไม่” หลิวหลีบอกแผนการเดินทางของตัวเอง
“ได้สิ” ดีจริงไม่ต้องไปเป็นก้างขวางคอ มีแค่พวกนางสองคน มีความสุขเหลือเกิน
“เดี๋ยวนะ พี่สาว แม้แต่พี่เขยก็ไม่ไปด้วยหรือ” เสี่ยวเสี่ยวได้ยินว่ามีแค่พวกนางสองคนก็เข้าใจทันที แม้แต่พี่เขยก็ไม่ได้ไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าพี่เขยของนางก็เข้าฌานไป 60 ปีแล้ว ทำไมถึงยังไม่ออกจากฌานอีก หรือเพราะเขาเป็นผู้บำเพ็ญระดับสูงหรือ
“ไม่ต้องเป็นห่วง พี่เขยของเจ้าหาข้าเจอแน่นอน พี่เขยของเจ้ายังต้องการเวลา” หลิวหลีแสดงท่าทีบอก เสี่ยวเทียนจะหานางไม่เจอได้อย่างไร ในเมื่อนางพกสามีในอนาคตของนางติดตัวไว้โดยตลอด
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าขอลาผู้นำสกุลหลงก่อน แล้วพวกเราค่อยไปกัน” ชิงหลวนกล่าว
“ได้สิ ข้าจะไปบอกลาท่านตาด้วย” หลิวหลีบอกว่าไปด้วยกันได้ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านตาเป็นอย่างไรบ้าง
“พวกพี่จะไปหาท่านตาสามหรือ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องหรอก เมื่อ 20 ปีก่อนท่านตาเหมือนไปรับรู้อะไรบางอย่างเลยเข้าฌาน จนตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา” ดังนั้นต่อให้ไป ก็คงจะไม่ได้เจอท่านตาสามอยู่ดี
“เอ่อ ถ้าเช่นนั้นคนที่ดูแลบ้านอยู่ตอนนี้คือ…” หลิวหลีพยายามคาดเดาตัวเลือกที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำสกุล คงจะเป็นท่านลุงใหญ่
“ท่านลุงจิ่งอู๋เจ้าค่ะ” ความสามารถของท่านลุงจิ่งอู๋เป็นที่ยอมรับของทุกคน เพียงแต่รอให้เขาพัฒนามากขึ้นไปอีก เพื่อจะได้รับตำแหน่งผู้นำสกุลหลงอย่างเป็นทางการ แต่ได้ยินมาว่าท่านลุงใหญ่ก็เหมือนจะแตะขอบของช่วงต่อไปเช่นกัน จึงจำเป็นต้องให้คนมาช่วยเขาจัดการไประยะหนึ่ง และกำลังพยายามโน้มน้าวให้ลุงจิ่งหลินมาช่วย เพียงแต่ตอนนี้ยังทำไม่สำเร็จ
“คิดไปแล้วก็จริง ชิงหลวนพวกเราไปด้วยกันเถอะ” ในบรรดาลูกชายทั้งสามคนของท่านตา ท่านลุงใหญ่เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ท่านลุงรองมีพลังการต่อสู้ที่โดดเด่น ส่วนเรื่องอื่นๆไม่พูดถึงจะดีกว่า ท่านลุงสามเป็นคนเกียจคร้าน เขาจะไม่ลงมือทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขาให้เปลืองแรงเด็ดขาด ท่านลุงใหญ่กำลังจะบรรลุช่วงต่อไปพอดี คาดว่าเขาคงจะไปขอให้ลุงสามช่วยแน่ๆ แต่จะใช้วิธีอะไรนั้น ก็คงไม่ต้องเหนื่อยใจนัก อย่างไรเสียสุดท้ายลุงสามก็ต้องยอมช่วยอยู่ดี
“ตกลง”
หลงจิ่งอู๋กำลังดื่มชา มองดูน้องสามที่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมช่วย ทั้งๆ ที่ก็ยอมช่วยเขาจัดการธุระภายในบ้านแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังคงไม่ยอมช่วยเขาเรื่องนี้อยู่ดี เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าน้องสามของเขาจะทนใจแข็งได้ถึงเมื่อไร
“ลุงใหญ่ เอ่อ ลุงสามก็อยู่ด้วย” หลิวหลีเห็นลุงสามของตัวเอง ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที ลุงใหญ่ลงมือแล้วงั้นหรือ โถ่ ท่าทางตั้งใจทำงานด้วยความไม่เต็มใจเช่นนี้ ดูท่าแล้ว ลุงสามก็ใกล้จะพูดหว่านล้อมสำเร็จแล้วล่ะ
“หลิวหลีเองหรือ คนยุ่งแบบเจ้ามีเวลามาหาข้าที่นี่ด้วยหรือเนี่ย โถ่” หลงจิ่งอู๋สัมผัสได้ว่าพระมาโปรดแล้ว สวรรค์อยู่ข้างเขาจริง ๆ ด้วย
“เจ้าค่ะ ลุงใหญ่ท่านเป็นตัวแทนจัดการธุระในสกุลหลงไม่ใช่หรือ ทำไมคนที่จัดการงานต่างๆถึงเป็นท่านลุงสามได้ล่ะ” ทรมานพี่น้องขนาดนี้ ไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรือ ท่านตาจะโมโหจนต้องออกจากฌานเลยไหมเนี่ย
“เอ่อ นังหนู ลุงเหมือนจะรับรู้อะไรได้บางอย่าง จำเป็นต้องรีบเข้าฌาน แต่ลุงสามของเจ้าไม่ยอมช่วยข้า พลังนั้นของข้านั้นเกือบจะสลายไปจนแทบไม่เหลือแล้ว” หลงจิ่งอู๋แกล้งพูดด้วยท่าทางซึมๆ แล้วมองน้องสามที่ใบหน้าเรียบเฉย
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ลุงสามไม่ชอบความวุ่นวาย ข้าเองก็ไม่ชอบ ดูแลนี่นั่นเยอะขนาดนี้ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร ไหนจะยังผู้ดูแลทั้งหลายล่ะ จะมีพวกเขาไปเพื่ออะไร ในเมื่อท่านลุงต้องจัดการเองทุกเรื่อง ทุกปีให้คนมารายงานก็พอแล้ว รายการบัญชีต่างๆ ลุงก็ให้คนตรวจสอบความถูกต้องแล้ว จะรู้ว่าใครตรวจก็ตอนที่จะตรวจ วุ่นวายแค่เดือนเดียวก็พอ เอาเวลาที่เหลือไปบำเพ็ญเพียร เพราะอย่างไรเสียการแสวงธรรมจึงจะถือเป็นเป้าหมายหลักของเรา” หลิวหลีพูดไปพูดมา ก็พูดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาออกมาโดยไม่รู้ตัว หนำซ้ำยังเป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว หลงจิ่งอู๋กับหลงจิ่งหลินที่ฟังอยู่ก็ยังคิดว่ามีเหตุผล จริงๆแล้ว คนที่พวกเขาสมควรจะใช้งานที่สุดก็คือหลานสาวคนนี้ จะไม่มีใครคัดค้านแน่นอน
“ท่านลุง ข้าพาชิงหลวนมากล่าวลา ท่านลุงแล้วพบกันใหม่” นางรีบไปก่อนที่ชิงหลวนจะมีโอกาสได้พูดอะไร ดูจากท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจของท่านลุงแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองจะโชคร้าย ไม่ว่าจะอย่างไรสู้หนีไปก่อนจะดีกว่า
“นังหนูคนนี้ จมูกไวจริงๆ หนีไปอย่างรวดเร็วทีเดียว” หลงจิ่งอู่เอ่ยพลางหัวเราะ
“ที่นังหนูพูดก็มีเหตุผล พี่ใหญ่ ท่านไปเข้าฌานเถอะ ข้าจะปล่อยให้พลังบำเพ็ญเพียรของท่านหยุดนิ่งไม่ได้ ความรู้สึกเดียวที่รู้สึกได้คือ การบรรลุขั้นพลังต่อไปเริ่มยากขึ้นอีกแล้ว” หลงจิ่งหลินถอนหายใจ การที่พี่ใหญ่บรรลุขั้นเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ต้องเสียสละอิสระเพียงไม่กี่วันของตัวเอง ต้องอดทนให้ไหว แถมความคิดหลิวหลีก็ดีทีเดียว เสียเวลาไปไม่เท่าไหร่
หลิวหลีพาชิงหลวนออกจากโลกอสูรเทพแล้วถึงจะยอมหยุด นี่เขาคิดจะเอานางเข้าไปเอี่ยวด้วยหรือเปล่า สวรรค์! ก็รู้ว่านางเพิ่งได้รับอิสระ นางไม่อยากกลับไปโดนพันธนาการแบบเดิมอีก
“หลิวหลี ข้ายังไม่ทันได้กล่าวลา คงจะเสียมารยาทไม่น้อย” ชิงหลวนรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก
“มีอะไรไม่ดีเหรอ แล้วถ้าถูกรั้งให้อยู่ต่อแล้วจะทำอย่างไร หากโดนใช้แรงงานทาส ก็ควรจะเป็นท่านลุงสาม กว่าข้าจะได้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าไม่อยากจะถูกขังอยู่ที่นั่น” หลิวหลีชี้ให้เห็นว่าอิสระล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
“แปลว่าพวกเราจะก็ไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ” ชิงหลวนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่สิ ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไร หยวนเจินบอกว่าหากข้าหาทางไปโลกพุทธะ ให้นำลูกประคำที่เขาให้ออกมาจะสามารถใช้นำทางได้” หลิวหลีนำลูกประคำออกมา ลูกประคำส่องแสงไปยังทิศทางหนึ่ง อ่อ ทางนั้นเอง
“ไปกันเถอะ”
ณ โลกพุทธะ หยวนเจินกำลังสนทนาธรรมอยู่กับอาจารย์ ทันในนั้นเองก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“อมิตาพุทธ โยมหลงเตรียมจะมาโลกพุทธะแล้ว ดีจริงๆท่านอาจารย์ ท่านจะได้พบกับโยมหลงท่านนี้ นางเป็นคนที่มีบุญสัมพันธ์กับข้า”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็อยากจะเจอสักครั้ง”
“ใช่แล้ว ตั้งแต่จากกันตอนการจัดอันดับผู้ถูกเลือก ในที่สุดโยมหลงก็ยอมมาเสียที”
“เป็นคนที่มีความเมตตาต่อคนในครอบครัว มีจิตใจโอบอ้อมอารี โยมหลงท่านนี้ ถึงแม้จะยังไม่ได้เจอตัว แต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา”
“ท่านอาจารย์ได้พบแล้วก็จะทราบทันที อีกอย่างแสงแห่งบารมีบนตัวของโยมหลงนั้นเปล่งประกายกว่าของข้าที่เป็นนักบวชมากนัก”
“อาจารย์รู้สึกรอคอยการมาของโยมหลงยิ่งนัก”
…………………………..