แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 187 มาถึงโลกอสูร
“หลิวหลี หนานกง นั่นคือตำหนักขนวิหค ถึงบ้านข้าแล้ว” ชิงหลวนตื่นเต้น พี่สาวคงจะไม่ทำโทษนางใช่ไหม ผ่านไป 60 ปีเพิ่งจะถึงบ้าน แต่อยู่ต่อหน้าแขกคงจะไม่กล้ากระมัง
“สวยจังเลย” หลิวหลีกล่าวชม สวยงามมากจริงๆ เป็นตำหนักที่ทำมาจากขนนกล้วนๆ สวยจนไม่อาจละสายตาได้
“สวยล่ะสิ จะบอกอะไรให้นะ หลิวหลี ตำหนักขนวิหคของข้าเป็นตำหนักที่สวยที่สุดเลยนะ” ชิงหลวนพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“อื้ม” หลิวหลีให้ความร่วมมืออย่างดี แต่ยังไม่ทันได้เห็นอีกสองตำหนัก นางจะตัดสินว่าอีกสองตำหนักไม่งดงามก็คงจะไม่ดีนัก
“ใครนะ?” หลิวหลีสัมผัสได้ว่าข้างหน้า 500 เมตรมีอสูรแอบมองอยู่
“เจ้าตำหนักชิงหลวนหรือ ข้าคืออูเชวี่ย วันนี้เป็นวันที่ข้าต้องเข้าเวร” อูเชวี่ยเห็นชิงหลวนก็โล่งใจ เพียงแต่ทั้งสองคนทำให้นางหวาดกลัวขึ้นมา โดยเฉพาะคนตัวเตี้ยคนนั้น บนร่างอีกฝ่ายมีกลิ่นอายความน่ากลัวบางอย่างทำให้นางรู้สึกต้อยต่ำราวเถ้าธุลี นายน้อยไปรู้จักคนที่โหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ฮือ ฮือ ฮือ
“อูเชวี่ยเองหรือนี่ อูเชวี่ย ข้ากลับมาแล้ว นี่คือเพื่อนของข้า เจ้าเข้าเวรต่อเถอะ ข้าจะไปหาพี่ชิงเฟิ่ง” จริงๆแล้วชิงหลวนรู้สึกตกใจเล็กน้อย อูเชวี่ยมีความสามารถในการปรับตัวให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม แม้แต่กลิ่นอายใดก็แทบจะไม่แพร่งพรายออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงหลายคนก็ไม่สังเกตเห็น สมแล้วที่ หลิวหลีเป็นคนที่นางนับถือ
“เจ้าค่ะ ท่านเจ้าตำหนัก” อูเชวี่ยกลับไปซ่อนตัวตามเดิม แต่รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ นี่ใครกันร้ายกาจจริงๆ ทำไมถึงเก่งกาจขนาดนี้ จะให้นางใช้คำว่านักพรางตัวที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อไปได้อย่างไร
“นกตัวนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ” หลิวหลีประทับใจในนกตัวนี้ไม่น้อย
“อูเชวี่ยคงไม่ดีใจแน่หากได้ยินเจ้าพูดถึงนางเช่นนี้” ชิงหลวนบอกว่านี่ไม่ใช่คำชมเชย
“เจ้านกน้อย มอบให้เจ้าถือเป็นคำขอโทษจากข้า” หลิวหลีโยนขวดขนาดเล็กให้อูเชวี่ยที่อำพรางตัวอยู่ โยนไปตรงปากของอูเชวี่ยพอดิบพอดี แม่นยำจริงเชียว อูเชวี่ยลองดมดู พอเปิดขวดออกก็ตื่นเต้นทันที คิดไม่ถึงว่าคือยาวิญญาณอสูร ก็ได้คนผู้นั้นเป็นคนดี นางให้อภัยอีกฝ่ายอย่างใจกว้าง ในเมื่อตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด พอกลืนยาลงคอก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทั้งร่างกาย สบายตัวขึ้นทันที
“หลิวหลี อสูรในโลกอสูรจะต้องชอบเจ้ามากแน่ๆ เพราะเจ้าช่างเป็นใจกว้างจริงๆ” ชิงหลวนบ่งบอกว่าอสูรก็ชื่นชอบคนแบบหลิวหลี
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูด้วยว่าข้าชอบมันหรือเปล่า” หลิวหลีแสดงเจตนาอย่างชัดเจนหากเป็นคนที่ไม่เข้าตานาง ก็อย่าคิดเลยไม่มีทาง
“มันก็ใช่ อสูรในโลกอสูรส่วนใหญ่ล้วนตรงไปตรงมา น้อยครั้งนักจะวางแผนทำร้ายกัน” ชิงหลวนเองก็บอกว่าอสูรในโลกอสูรต่างก็เป็นอสูรที่มีจิตใจบริสุทธิ์
“เรื่องนี้น่ะหรือ ไว้ค่อยว่าเถอะ” หลิวหลีตอบกลับอย่างคลุมเครือ
“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว” ชิงหลวนวิ่งเข้าอ้อมกอดของชิงเฟิ่งราวเด็กน้อย
“ตอนนี้เจ้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงแล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กๆอีก เจ้าพาแขกมาด้วยจะช่วยทำตัวสุขุมหน่อยไม่ได้เลยหรืออย่างไรนะ” ชิงเฟิ่งลูบคนในอ้อมกอดเบาๆ พยักหน้าให้หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนน้อยๆ แล้วพูดกับน้องสาวตนเองอย่างเอ็นดู
“เป็นเพราะข้าเห็นท่านพี่เลยดีใจอย่างไรล่ะ อ้อจริงสิ ท่านพี่ นี่คือหลิวหลี ผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่ง ส่วนนี่คือหนานกง ผู้ถูกเลือกอันดับสาม” ชิงหลวนแนะนำเพื่อนตนเองด้อย่างภูมิอกภูมิใจ คราวนี้ตัวเองได้หน้าขนาดนี้ ตำหนักขนวิหคคงจะไม่อยู่เป็นที่โหล่แล้วกระมัง
“หลงหลิวหลี/หนานกงเวิ่นเทียน คารวะ ท่านเจ้าตำหนัก” ทั้งสองให้เกียรติชิงหลวนไม่น้อย
“พวกท่านต่างก็เป็นผู้ถูกเลือก มาเยือนที่ตำหนักขนวิหคของข้า ถือว่าเป็นความโชคดีของตำหนักข้า” ชิงเฟิ่งก็ภูมิใจเช่นกัน
“ท่านเจ้าตำหนักกล่าวเกินไปแล้ว”
“ท่านพี่ ท่านพี่ คราวนี้ตำหนักขนวิหคไม่รั้งท้ายแล้วล่ะ” ใบหน้าชิงหลวนรอคอยคำชื่นชม
“นังหนู เจ้าคิดมากไปแล้ว หยวนหวงแห่งตำหนักราชาพสุธาเป็นคนไปเชิญหยวนเทียนผู้ถูกเลือกอันดับที่ 8 กลับมาตำหนักด้วยตัวเอง ฉะนั้นนังหนูตำหนักขนวิหคของเราก็ยังคงรั้งท้ายอยู่ดี” ชิงเฟิ่งพูดอย่างอับจนปัญญา
“หยวนเทียน” หลิวหลีอุทาน คือหยวนเทียนหรอกหรือ
“ทำไม พวกเจ้ารู้จักหรือ?” ชิงเฟิ่งถามด้วยความสงสัย
“แน่นอน หากเป็นหยวนเทียนผู้ถูกเลือกอันดับที่ 8 ล่ะก็พวกเราย่อมรู้จักคุ้นเคย ควรจะไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย” ความหมายของหลิวหลีคือในเมื่อเพื่อนสนิทของนางอยู่ที่นี่ และนางรู้แล้วก็ควรจะต้องไปทักทาย
“คนคุ้นเคยหรือ” ชิงเฟิ่งตาขวากระตุก เป็นคนสนิทหรือนี่ ถ้าเช่นนั้นความต่างของพวกเขาก็คงมากขึ้นสินะ
ชิงหลวนก็เศร้าไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะยังอยู่ในอันดับสุดท้ายตามเดิม ตัวเองยังด้อยกว่ามากจริงๆด้วย
“ชิงหลวน พาพวกเราไปพักผ่อนหน่อยได้หรือไม่ เจ้าเป็นคนบอกเองนี่ว่าการเดินทางของพวกเราเจ้าจะเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด” หลิวหลีกล่าวและมองชิงหลวนที่ซึมน้อยๆ
“ได้” ชิงหลวนรู้สึกว่าความมั่นใจของตนเองกำลังถูกทำร้าย
“ชิงหลวน เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ เจ้ากับหยวนเทียนไม่อาจเทียบกันได้ เจ้าเป็นเพียงอสูรเทพระดับล่าง หยวนเทียนเป็นอสูรเทพระดับสูง ใกล้เคียงกับสุดยอดอสูรเทพ ชิงหลวน เจ้าต้องมองพัฒนาการของตัวเอง” หลิวหลีเตือน
“ข้าเข้าใจดี ข้าแค่อยากจะสู้เพื่อพี่สาวของข้าบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นที่โหล่ แต่ข้าจะกลับมาเป็นปกติ หลิวหลีไม่ต้องเป็นห่วง” ชิงหลวนกล่าว
“อย่ามัวคิดเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย” หนานกงเวิ่นเทียนพูดเสริม
“ข้าเข้าใจ นี่ ที่นี่ก็คือที่พักของพวกเจ้า มีอะไรก็ตะโกนเรียกข้าได้เลย” ชิงหลวนกล่าว
“คิดไม่ถึงว่านังหนูก็มีความคิดเช่นนั้น” หลิวหลีหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ข้ารู้สึกว่าหยวนหวงคงได้ยินมาว่าหยวนเทียนเป็นชนเผ่าอสูร อีกทั้งเป็นจำพวกสัตว์บก แล้วพอดีกับที่การจัดอันดับผู้ถูกเลือกครั้งนี้ ตำหนักราชาพสุธาไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ เลยเชิญเขามา” หลิวหลีวิเคราะห์
“มันก็จริง หยวนเทียนเป็นคนที่ไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอก ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เป็นอสูรที่มาจากที่ใด แต่ถ้าเป็นอสูรเดินดินจะถือว่าเป็นคนของพวกเขา” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าเห็นด้วย
“สามตำหนักที่นี่น่าสนใจดี ทะเล บก อากาศหรือ?” นี่คือความเข้าใจที่หลิวหลีมีต่อทั้งสามตำหนัก
“ทะเล บก อากาศ?”
“ทะเล หมายถึงอสูรที่อยู่ในทะเลหรือมีความเกี่ยวข้องกับทะเล บกหมายถึงอสูรที่อยู่บนบก อากาศหมายถึงอสูรที่มีปีกบินอยู่บนท้องฟ้า” หลิวหลีอธิบาย
“ทะเล บก อากาศ หลิวหลีสรุปได้น่าสนใจจริง ๆ” หนานกงเวิ่นเทียนชมอย่างออกนอกหน้า
หลิวหลีลูบจมูกตัวเองเบาๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางสรุปขึ้นเอง
ณ ตำหนักราชาพสุธา หยวนเทียนที่ถูกเชื้อเชิญมาก็บอกว่าจะเข้าฌาน หยวนหวงก็อนุญาต คงจะได้อะไรกลับมาจากการจัดอันดับผู้ถูกเลือก ส่วน 10 อันดับแรกคงได้รางวัลที่มีประโยชน์ไม่น้อย ของที่หยวนเทียนได้มามีประโยชน์ต่อเขามากจริงๆ ถึงแม้ว่าหยวนหงจะดีกับเขาเท่าไหร่ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ชอบตำหนักราชาพสุธาอยู่ดี
“หยวนเทียน ออกฌานแล้วหรือ” หยวนหวงมองดูเด็กที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับตำหนักราชาพสุธาของเขา ถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่ได้ยินยอมเท่าไรก็ตาม แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะปล่อยให้ตำหนักพสุธาสูญเสียอำนาจต่อไปก็ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าผู้ถูกเลือกอันดับ 8 เป็นอสูรหยวนเทียน เขาก็แบกหน้าไปหาหยวนเทียน แล้วจึงพบว่าอีกฝ่ายเป็นจิ้งจอกเก้าหาง ทำให้ในตอนนั้นเขาตัดสินใจเลยว่าไม่ว่าจะใช้วิธีใด ก็จะต้องพาอีกฝ่ายกลับตำหนักราชาพสุธาให้ได้ เขาทำได้แล้ว เพียงแต่เวลาผ่านไป 60 ปีแล้วเด็กคนนี้ก็ยังเย็นชาเช่นเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“อือ” หยวนเทียนรู้สึกได้เลยว่าตนเองไม่อาจจะชอบหยวนหวงที่พยายามเชิญเขามาที่นี่ได้ลง
“เฮ้อ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบที่นี่ แต่ว่าข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไรจริงสิ ได้ยินมาว่าชิงหลวนแห่งตำหนักขนวิหคพาเพื่อนกลับมาด้วยสองคน หากว่าเจ้าเบื่อ ก็ไปเล่นกับชิงหลวนแล้วกัน” หยวนหวงทอดถอนใจ
“ได้” หยวนเทียนนึกขึ้นมาได้ เหมือนว่าชิงหลวนจะนับถือหลิวหลีอย่างมาก เช่นนั้นเพื่อนที่นางพามา อย่างน้อยหนึ่งคนในนั้นจน่าจะเป็นหลงหลิวหลี นางคือเพื่อนเก่าของเขา ไปเที่ยวหาก็ดี
ตอบตกลงแล้วหรือนี่ นังหนูชิงหลวนเป็นคนที่น่าเข้าหาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
“ไป๋ลู่ เจ้าบอกว่าใครมานะ” ชิงเฟิ่งนวดบริเวณหว่างคิ้วเบาๆ ทำไมทุกคนแห่กันมาที่นี่ แถมแต่ละคนยังเป็นถึงผู้ถูกเลือก หรือว่าที่นี่ฮวงจุ้ยดีหรือนี่
“รายงานท่านเจ้าตำหนัก หยวนเทียนจากตำหนักราชาพสุธา” ไป๋ลู่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเช่นกัน
“ผู้ถูกเลือกท่านนี้ไม่ชอบสุงสิงกับใครไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ดีๆเกิดอยากจะมาที่นี่-ขึ้นมาได้” ชิงเฟิ่งรู้สึกว่าน่าจะมีปัญหา
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน” ไป๋ลู่เองก็อับจนหนทาง
“เรียกให้เขาเข้ามาเถอะ” เพราะอย่างไรก็มีเฟยเผิงอยู่ จะมีหยวนเทียนมาอีกคนก็ไม่เป็นไร จะว่าไปแล้วครั้งนี้มีผู้ถูกเลือกคนดังหลายคนมาที่นี่กันแทบจะทุกคน
“หยวนเทียน คารวะท่านเจ้าตำหนักชิงเฟิ่ง”
“หยวนเทียน เจ้ามาที่นี่คงเพื่อมาหาเพื่อนผู้ถูกเลือกทั้งสองคนของชิงหลวนใช่หรือไม่” ชิงเฟิ่งเดา
“ขอรับ น่าจะมีหนึ่งคนในนั้นเป็นเพื่อนข้า” หยวนเทียนพยักหน้า
“เอาเถอะ เจ้าไปพักที่เรือนรับรองของข้าก่อน รอเพื่อนของชิงหลวนพักผ่อนแล้วเรียบร้อย แล้วเจอพร้อมกัน” ชิงเฟิ่งพูดพลางเอามือกุมขมับ
“ขอบคุณ ท่านเจ้าตำหนักชิงเฟิ่ง”
“หลงหลิวหลีนี่เนื้อหอมมากจริงๆ” ชิงเฟิ่งถอนหายใจ
วันถัดมา ชิงหลวนมารับหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนตรงเวลา ชิงเฟิ่งก็แจ้งเฟยเผิงกับหยวนเทียนว่าชิงหลวนพาเพื่อนออกเดินทางมาแล้ว
“หยวนเทียน เป็นเจ้าจริงๆด้วย” หลิวหลีเห็นก็รู้ได้ในทันที
“หลิวหลี ข้าเดาไว้ไม่มีผิด คนที่ชิงหลวนพามาคือเจ้าจริงๆเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าอีกคนจะเป็นพี่เวิ่นเทียน” หยวนเทียนกล่าว
“พี่หยวนเทียน นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะมาที่โลกอสูร” หนานกงเวิ่นเทียนกล่า
เฟยเผิงที่อยู่ข้างๆรู้สึกขัดเขิน คนสนิทกับไม่สนิทต่างกันมากขนาดเพียงนี้
“ฮ่าฮ่า พี่หลง พี่หนานกง ไม่เจอกันนานเลยนะ” เฟยเผิงทำได้เพียงพูดขึ้นมาก่อน
“พี่เฟยเผิง” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า
หลิวหลีรู้สึกแย่ เรียกพี่หลงงั้นหรือ ไม่น่าฟังเลยจริง ๆ
“พี่เฟยเผิง เรียกข้าว่าหลิวหลีก็พอ”
……………………