แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 195 ชางหยาง
“ท่านลุงหลง ท่านดูสิว่าใครมา” ฮัวจิงเฟยกล่าว
“ใครกัน หลิวหลี เจ้ามาที่นี่แล้วหรือ” ตอนแรกหลงจิ่งอู๋หงุดหงิดใจ จากนั้นก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ดีจริง ๆ หลานสาวของเขามาแล้ว
“ท่านลุง ท่านดูหงุดหงิดเชียวนะ” หลิวหลีพูดขณะมองหลงจิ่งอู๋พลางหัวเราะ
“ใช่ หงุดหงิดจริงๆ ถึงจะเตรียมการมาตั้งแต่เนิ่นๆแต่ก็ยังลำบากอยู่ดี เจ้ามาแล้วคงช่วยได้ไม่น้อย” หลงจิ่งอู๋ยอมรับว่าตนเองค่อนข้างหงุดหงิด
“สถานการณ์ทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหลีค่อนข้างสนใจคำถามนี้มาก
“อืม ไม่สู้ดีนัก กองทัพมารมีความโหดเหี้ยม ฆ่าฟันกันไม่หยุด” หลงจิ่งอู๋ปวดหัวตุบๆ
“อืม จัดการยากอยู่เหมือนกันนะ เอาแบบนี้แล้วกันข้าจะไปปรุงยามาก่อนส่วนหนึ่งเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ท่านลุงสามเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการติดต่อกับดินแดนอื่นๆใช่หรือไม่ ข้าพอจะมีคนรู้จักอยู่ในดินแดนอื่นๆบ้าง บอกพวกเขาว่าหลังจากร่วมกันปราบพวกโลกมารแล้ว ข้าจะตอบแทนอย่างงาม” หลิวหลีพูดกับหลงจิ่งอู๋
“หลิวหลี เจ้าคิดจะมอบอะไรให้พวกเขาหรือ” หลงจิ่งอู๋คิดถึงธรรมเนียมการมอบยาศักดิ์สิทธิ์ของหลานสาว ก็คงจะเป็นยาศักดิ์สิทธิ์อีกแน่
“ไม่ พวกเขาต้องการยาชนิดไหน ข้าเตรียมพืชวิญญาณไว้พร้อม ข้าจะปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาต้องการให้” หลิวหลีพูดอย่างมั่นใจ
“นังหนู เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกรอบได้ไหม” หลงจิ่งอู๋กับฮัวจิงเฟยที่อยู่ข้างๆ แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คำพูดนี้ของนางมากเกินไปจริงๆ
“ข้าก็จะปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาต้องการให้ คนละชนิดเดียว” หลิวหลีทวนซ้ำและพูดเสริมขึ้น
“นังหนู เจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 9 แล้วหรือ” มือหลงจิ่งอู๋มือสั่นน้อยๆ บ้านสกุลหลงของเขาดวงดีขนาดไหนกันถึงได้มีหลานสาวเก่งขนาดนี้
ฮัวจิงเฟยใจสั่นระรัว ต่อให้เป็นนักปรุงยาระดับ 9 ขั้นอาวุโสยังไม่กล้าพูดเช่นนี้ออกมาเลย หลงหลิวหลีนี่เจ้าจะต้องมั่นใจในตัวเองขนาดไหนเนี่ย
“ใช่แล้ว” หลิวหลีพยักหน้า
“เจ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 9 ตั้งแต่เมื่อไหร่” หลงจิ่งอู๋ถามขึ้นอย่างตกใจ
“ไม่กี่วันก่อนนี้”
“ไม่กี่วันก่อนนี้หรือ” หลงจิ่งอู๋ทวน มิน่าพวกเขาถึงไม่รู้ แต่ว่าหลงหลิวหลีเจ้าเพิ่งจะเป็นนักปรุงยาระดับ 9 แล้วพูดโอ่คุยโวเช่นนี้ จะเชื่อได้หรือ
“ถ้าไม่เชื่อข้า ข้าจะปรุงให้ดูตอนนี้เลยก็ย่อมได้” เมื่อเห็นความคลางแคลงใจที่ฉายชัดในแววตาอีกฝ่าย หลิวหลีจึงต้องการจะแสดงให้พวกเขาเห็น
“ไม่ต้องหรอก แต่นังหนู ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าดูลึกลับมากกว่าเดิมอีก” หลงจิ่งอู๋ไม่ได้พูดว่า จนทำให้เขารู้สึกอยากคุกเข่าให้ ราวเห็นบรรพบุรุษตนเอง
“อืม ออกไปคราวนี้ได้อะไร เจอเพลิงอัคคีอีกประเภทแล้ว” หลิวหลีรู้สึกว่าเก็บเกี่ยวได้ไม่เลว
แปลว่าแค่นางเก็บเพลิงอัคคีชนิดสุดท้ายได้ ก็จะสามารถบรรลุเป็นเซียน
“หลงหลิวหลี ความสามารถแบบมารของเจ้าจะกดดันคนอื่นให้ตายเลยใช่ไหม” ฮัวจิงเฟยเอ่ยเสียงละห้อย หลงหลิวหลีคนที่เกิดยุคเดียวกับเจ้าทุกคนจะโดนเจ้ากลบแสงไปจนหมด
“เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ดีไม่ใช่หรือ เห็นแก่ที่ว่าเจ้ากับข้ายังชะตาต้องกันบ้าง ข้าจะให้ของขวัญเจ้าสักอย่าง” หลิวหลีกล่าวพลางเหลือบมองฮัวจิงเฟยครู่หนึ่ง
“คงจะไม่ได้ให้ยาศักดิ์สิทธิ์ข้าใช่ไหม” ฮัวจิงเฟยกระเซ้า
“ใช่แล้ว เจ้าใกล้จะบรรลุขั้นต่อไปแล้ว ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับเจ้า ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ แต่ว่าใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” หลิวหลีเห็นกลิ่นอายเข้มข้นที่ใกล้จะบรรลุช่วงของฮัวจิงเฟย
“หลิวหลี เจ้าพูดจริงหรือไม่” ฮัวจิงเฟยแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
“แน่นอน ข้าเคยไม่รักษาคำพูดเสียที่ไหน อีกอย่างตอนนี้ชิงหลวนอยู่ในช่วงรวมกายา เหมือนใกล้จะเข้าสู่ระยะกลางแล้วด้วย” พูดถึงตรงนี้หลิวหลีก็อดจะกดดันฮัวจิงเฟยไม่ได้
“อะไรนะ ชิงหลวนเข้าสู่ช่วงรวมกายาแล้วหรือ” ฮัวจิงเฟยอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“ใช่แล้ว ชิงหลวนอยู่ในช่วงรวมกายาแล้ว ดังนั้นจิงเฟยเจ้าจะต้องสู้ๆ สงครามครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง พลังบำเพ็ญเพียรสูงถือเป็นเรื่องที่ดี ท่านลุง ขอท่านถ่ายทอดคำสั่ง ให้ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนที่ใกล้จะเข้าสู่ช่วงรวมกายามารับยาศักดิ์สิทธิ์จากข้า” หลิวหลีกล่าว
“หลิวหลี ลุงขอบคุณเจ้าแทนผู้บำเพ็ญเพียรทุกคน” หลงจิ่งอู๋พูดอย่างตื้นตันพลังในช่วงรวมกายาและช่วงแยกจิตแตกต่างกันอยู่มาก หากทุกคนอยู่ในช่วงรวมกายากันหมด ถ้าเป็นแบบนั้นพลังการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นมากเท่าใด หลงจิ่งอู๋ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“อีกอย่างนี่คือยาพิษกับยาอันตราย ท่านลุงแบ่งให้คนอื่นไว้ใช้ป้องกันตนจากศัตรูด้วย” หลิวหลีนำถุงเก็บของออกมาหนึ่งใบ หลงจิ่งอู๋รับมาด้วยมือสั่นเทา
“จิงเฟย อย่าใช้ยาศักดิ์สิทธิ์ของข้าเฉยๆสิ พาข้าไปห้องปรุงยาหน่อย สงครามใหญ่กำลังจะมาถึง ฝ่ายสนับสนุนที่อยู่แนวหลังก็สำคัญเช่นกัน” ไม่รู้ว่านักปรุงยากลุ่มนั้นจะตื่นเต้นจนทำให้อัตราสำเร็จในการปรุงยาลดลงมากหรือเปล่า
ผลคือหลิวหลีกับฮัวจิงเฟยเพิ่งมาถึงเขตที่พักของนักปรุงยา ก็ได้ยินเสียงเตาระเบิดดังขึ้นไม่หยุด ฮัวจิงเฟยที่ได้ยินก็ทำหน้าไม่ถูกเช่นเดียวกัน
“นี่เสียงเตาระเบิดหรือเนี่ย” หลิวหลีจับคางไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ สายตาจ้องด้านหน้า แต่ไม่รู้ว่าใจไปไหน
“อัปมงคล ที่แบบนี้จะปรุงยาได้อย่างไร ข้าเป็นนักปรุงยาชั้นสูง จะมาอยู่กับนักปรุงยาระดับล่างได้อย่างไร นี่มันดูถูกข้าชัดๆ” มีเสียงสบถดังลอยออกมา
“ข้าจะไปหาหลงจิ่งอู๋ เขาทำเช่นนี้เท่ากับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา”
“เป็นแค่นักปรุงยาระดับ 7 ยังวางท่าเสียใหญ่โตขนาดนี้ ข้าคงถ่อมตัวมากเกินไปจริง ๆ” ไม่รู้ว่าหลิวหลีดึงสติกลับมาได้ตอนไหน นางพูดอย่างหงุดหงิด
“ใช่แล้วล่ะ เจ้าน่ะถ่อมตัวเกินไปจริงๆ” ฮัวจิงเฟยเห็นด้วย นักปรุงยาระดับ 9 ยังไม่วางมาดขนาดนั้นเลย เป็นแค่นักปรุงยาระดับ 7 ก็นึกว่าตัวเองเก่งมากแล้ว ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน
“พวกเจ้าผู้น้อยสองคนบังอาจเสียมารยาทกับข้าถึงเพียงนี้ ผู้อาวุโสของพวกเจ้าไม่เคยสอนหรืออย่างไรว่าหัดเคารพนักปรุงยา หากทำให้นักปรุงยาโมโห ต่อไปภายหน้าพวกเจ้าก็คงจะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ไม่ได้” คนผู้นี้ยังคงวางท่าต่อไป
“ไม่เคยสอน ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีนามว่าอะไร” หลิวหลีถามอย่างเคารพ
“ฟังให้ดีล่ะ ข้าเวลาเดินไม่เปลี่ยนชื่อ เวลานั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าชื่อว่า ชางหยาง”
“ชางหยาง” หลิวหลีทวน อ้อ ชื่อบุคคลในประวัติศาสตร์นี่เอง น่าเสียดาย นิสัยเขาทำให้ชื่อนี้เสื่อมเสีย
“บังอาจ อายุของพวกเจ้าเท่านี้ ควรจะเรียกข้าว่าผู้อาวุโสชาง ดูก็รู้ว่าเจ้ามาจากชนบท มารยาทแย่มาก” ชางหยางเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“จิงเฟยได้ยินหรือไม่ การอบรมสั่งสอนของสกุลฮัวแย่เกินไป ว่าแต่เจ้าอยู่ที่ค่ายตลอดไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่เคยเจอผู้อาวุโสท่านนี้” หลิวหลีถามฮัวจิงเฟยที่อยู่ข้าง ๆ
“ข้าอยู่แนวหน้าตลอด จะรู้ได้อย่างไรว่าแนวหลังมีตัวถ่วงเช่นนี้อยู่ อีกอย่าง อย่ามาหัวเราะเยาะข้า การอบรมสั่งสอนของสกุลหลงก็ไม่เท่าไหร่นักหรอก จะว่าแต่ข้าได้อย่างไร” ฮัวจิงเฟยกลอกตาใส่หลงหลิวหลี
“เฮ้อ ท่านตาได้ยินจะโมโหจนบ้าเลยไหมเนี่ย” หลิวหลีรู้สึกเป็นห่วงท่านตาของตนเองขึ้นมารำไร
“หากท่านลุงข้ารู้เข้าคงโมโหจนอารมณ์ร้อนลุกเป็นไฟแน่” ฮัวจิงเฟยนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อท่านลุงของตนรู้เข้าจึงมองนักปรุงยาผู้นั้นอย่างเวทนา
“พวกเจ้าสองคนมัวคิดอะไรเหลวไหล รีบไปเรียกหลงจิ่งอู๋มาเดี๋ยวนี้” ชางหยางได้ยินเสียงคนทั้งสองคุยกันแต่ไม่ชัดเจนนัก จึงใช้พวกเขาไปเรียกหลงจิ่งอู๋ หลิวหลีเริ่มไม่พอใจ ท่านลุงใหญ่เป็นแม่ทัพอยู่แนวหน้าก็ยุ่งจะแย่ แนวหลังยังมีตัวถ่วงเช่นนี้ น้ำเสียงก็ไร้ซึ่งความเกรงใจ นางพลันรู้สึกคันไม้คันมือ ทำอย่างไรดี
คนที่มีความคิดแบบเดียวกันนี้คือฮัวจิงเฟย ท่านอาหลงยุ่งจนไม่มีเวลาบำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว ยุ่งจนแทบอยากแบ่งร่าง คิดไม่ถึงว่าจะมีตัวถ่วงอยู่ที่นี่ เขาล่ะอยากจะเตะหมอนี่สักป้าบ
“ข้าหมายถึงพวกเจ้าสองคนอย่างไรล่ะ ทำไมข้าต้องไปเชิญเขาด้วยตัวเองหรือ หลงจิ่งอู๋ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ถึงแม้หลงหลิวหลีหลานสาวของเขามาเอง ก็ต้องเคารพข้าเรียกข้าผู้อาวุโสด้วยซ้ำ” ชางหยางพูดอย่างไม่พอใจ
“อ้อ หลิวหลี นี่ใครกัน เจ้าต้องเคารพเขา เรียกเขาว่าผู้อาวุโสเชียวนา คนที่เจ้าจะเรียกว่าผู้อาวุโสบนโลกนี้ไม่ได้มีเยอะนักหรอก” ฮัวจิงเฟยกระเซ้า
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้ พลังบำเพ็ญเพียรแย่จะตาย เพิ่งจะเป็นนักปรุงยาระดับ 7 ได้ไม่นาน พลังบำเพ็ญเพียรยังไม่คงที่ อัตราสำเร็จในการปรุงยาก็ต่ำ ท่านลุงก็เหลือเกินจริงๆ ถึงจะขาดคนอย่างไร ก็ไม่ควรใช้สัตว์เดรัจฉานมาทำงานให้” หลิวหลีพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
“หึ หลิวหลี ตรงข้ามเกือบจะพ่นไฟอยู่แล้ว พวกเราเด็กน้อยทั้งสองคนช่างไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” ฮัวจิงเฟยมองชางหยางที่ใกล้จะระเบิดความโมโหออกมา
“ศิษย์น้องชางหยาง ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ไม่รีบไปปรุงยา ทำไมถึงออกมาเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอก” เสียงของเทียนเย่าลอยเข้ามา
“ศิษย์พี่เทียนเย่า คนผู้นี้เป็นศิษย์สำนักเดียวกับข้าหรือ สำนักเราช่างโชคร้ายจริงๆ” หลิวหลีรู้สึกเสียดายแทนสำนัก
“ศิษย์พี่ อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงนักปรุงยาระดับ 7 พวกเขาควรจะเตรียมห้องเดี่ยวให้ข้าไม่ใช่หรือ พวกเขาไม่เห็นสำนักเมฆาคล้อยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ” ชางหยางบ่นกับศิษย์พี่ของตัวเอง
“พอเถอะ เป็นนักปรุงยาระดับ 7 แล้วอย่างไร อัตราสำเร็จในการปรุงยาของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ กระทั่งยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศก็ยังไม่เคยทำสำเร็จ คิดจะปรุงยาระดับ 7 อีก เดินยังไม่คล่องแล้วคิดจะวิ่ง ศิษย์น้อง สงครามใหญ่กำลังจะมาถึง เจ้าตั้งใจหน่อยได้หรือไม่” เทียนเย่าตำหนิ
“ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว” ชางหยางถูกเทียนเย่ากล่าว โดนตำหนิขนาดนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดออกมา
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” เมื่อเทียนเย่าตำหนิศิษย์น้องแล้ว ก็เห็นเด็กสองคนอยู่ไม่ไกล กำลังมองเขาอย่างสนอกสนใจ แต่ว่าทำไมพวกเขาดูคุ้นตาบอกไม่ถูก
“ศิษย์พี่เทียนเย่า ไม่เจอกันตั้งนาน ท่านยังมีบารมีเหมือนเดิม” หลิวหลีชิงพูด
“บังอาจ ศิษย์พี่ของข้าเป็นใคร เจ้าเรียกซี้ซั้วได้อย่างไร” เทียนเย่ายังไม่ทันได้พูดอะไร ชางหยางก็เริ่มวางมาดอีกครั้ง
“ศิษย์น้องหลิวหลี เจ้าคือศิษย์น้องหลิวหลี นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าก็มาที่นี่ด้วย” เทียนเย่าประหลาดใจ ได้ศิษย์น้องผู้นี้มา ต้องเป็นกำลังสำคัญแน่
“หลิวหลี หลงหลิวหลี” ชางหยางพูดอย่างตกใจ สีหน้าซีดเผือดทันที
……………………