แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 200 ออกเดินทางหินมารรัตติกาล
“เสี่ยวเทียน เจ้าพอจะรู้ตำแหน่งคร่าวๆหรือไม่?” ไม่ว่าเสี่ยวเทียนจะรู้มาได้อย่างไร นางก็เชื่อเขา
“ข้าจำตำแหน่งได้ไม่ค่อยชัดเจน” ตอนนั้นเยี่ยซิงหวงเป็นคนพาเขาไป
“เรื่องนี้จะช้าไม่ได้ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ เสี่ยวเทียน ทั้งหมดมีกี่อัน?” หลิวหลีถาม
“6 อัน”
“พวกเราแบ่งกลุ่มสองคน แล้วขอความช่วยเหลือจากโลกอสูรกับโลกพุทธะ แล้ว แล้วแต่ละกลุ่มไปจัดการสองอัน” หลิวหลีกล่าว
“แล้วจะแบ่งอย่างไร?” เอ๋าเลี่ยถาม
“ย่อมเป็นข้ากับเสี่ยวเทียนหนึ่งกลุ่ม พวกเจ้าสองคนอีกกลุ่ม และนักบวชกับพวกเฟยเผิงอีกหนึ่งกลุ่ม” หลิหลีพูดขึ้นมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“ได้” ตอนนี้ทั้งสองคนไม่ใช่เด็กที่จำเป็นต้องมีคนมาคอยคุ้มครองแล้ว พวกเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
“ข้าจะแจ้งพวกหยวนเจินรู้ก่อน” หลิวหลีกล่าว
ณ บริเวณชายแดนโลกพุทธะ หยวนเจินใช้บทสวดชำระล้างจิตใจของผู้บำเพ็ญมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า จนมารในตัวสลายไป หยวนเจินจึงรามือ วิบากกรรมครั้งนี้ช่างกินเวลายาวนาน
“หลิวหลี มีเรื่องอะไรหรือ ฝั่งพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อหยวนเจินได้รับข้อความของหลิวหลี เขาจึงตอบกลับไป
“มีเรื่องเร่งด่วน หยวนเจิน หาคนมาแทนที่เจ้าหน่อย พวกเรามีเรื่องใหญ่ต้องจัดการ” เสียงของหลิวหลีแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
“เรื่องใหญ่?” หยวนเจินงุนงง ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ
“ข้าได้ข่าวมาว่า โลกมารจะวางค่ายกลปีศาจกลืนนภา มีจุดศูนย์กลางอยู่ 6 จุด ข้ากับเสี่ยวเทียนไปจัดการ 2 จุด คู่พันธสัญญาของข้ากับเสี่ยวเทียนไปจัดการอีก 2 จุด ส่วน 2 จุดที่เหลือให้เจ้ากับสหายที่โลกอสูรไปจัดการได้หรือไม่?” หลิวหลีถาม
“ได้ หากสามารถจบวิบากกรรมที่ไร้ประโยชน์นี้ได้โดยเร็วถือเป็นการสร้างบุญบารมี” หยวนเจินตกลง ทำลายแผนร้ายของเผ่ามารได้ถือเป็นเรื่องดี
สามารถทำลายแผนการลับของเผ่ามารได้ถือเป็นเรื่องที่ดี
“ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าจะไปบอกสหายที่โลกอสูรก่อน” บทสนทนากับหยวนเจินสิ้นสุดลงด้วยดี หลิวหลีก็ส่งข้อความหาสหายที่โลกอสูร
หยวนเจินรายงานสถานการณ์ให้อาจารย์ของตนเองทราบ ฝั่งโม่เนี่ยนกับโม่หมิงปรึกษากันแล้ว คิดว่าหลิวหลีคงไม่ทำอะไรโดยไร้เป้าหมาย จึงอนุญาติให้หยวนเจินไปได้
“หลิวหลีส่งข้อความมานัดพวกเราไปทำการใหญ่” ชิงหลวนตื่นเต้น ต่อสู้กับโลกมารมาหลายปีทำให้นางรู้สึกหม่นหมองไม่น้อย
“การใหญ่อะไร?” หยวนเทียนถามอย่างสงสัย ตอนนั้นเรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หยวนเทียนเองก็ไม่ได้กลับไป อย่างไรเสียที่เมืองต้าเยี่ยยังถือว่าค่อนข้างปลอดภัย
“นางไปล่วงรู้แผนของเผ่ามารมา จึงให้เราร่วมมือกับนักบวชไปจัดการกับตำแหน่งค่ายกล 2 จุดในนั้น” ชิงหลวนรู้สึกว่าแผนการนี้ไม่เลว ตื่นเต้นน้อยๆ ที่ตนเองเป็นคนทำการใหญ่ด้วย
“ไปเถอะ รายงานกับเจ้าตำหนักทั้งสามก่อน แล้วพวกเราค่อยออกเดินทางไปพร้อมท่านนักบวช” เฟยเผิงกล่าว
จนชิงหลวนอธิบายให้เจ้าตำหนักทั้งสามฟังแล้ว คุนก็ตอบตกลง หยวนหวงกับชิงเฟิ่งก็ไร้ข้อโต้แย้งใด ๆ
“หากทำเรื่องนี้สำเร็จถือเป็นบุญครั้งใหญ่ สำหรับอสูรอย่างพวกเราแล้วนี่จะเป็นประโยชน์อย่างมาก” คุนเปิดปากเอ่ย อย่างไรเสียวิบากอัสนีบาตที่อสูรต้องฝ่าฟันอันตรายกว่าดินแดนอื่นนัก
“พี่ใหญ่คุนกล่าวถูกแล้ว เด็กสามคนนี้โชคดีจริงๆ” หยวนหวงพูดเสริม
ส่วนฝั่งของพวกหลิวหลีต่างก็ออกเดินทางแล้วเช่นกัน เมื่อเดินไปตามทางและพวกหลิวหลีก็มาถึงตำแหน่งของที่ซ่อนหินมารรัตติกาล
“เสี่ยวเทียนที่นี่หรือ?” เพราะพลังหยินจำนวนมากรายล้อมรอบตัวทำให้หลิวหลีรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถึงเขาจะเป็นธาตุหยินล้วน ถึงสภาพแวดล้อมแบบนี้จะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ก็ยังรู้สึกทรมานอยู่ดี
“ใช่แล้ว” เมื่อหนานกงเวิ่นเทียนย้อนกลับไปนึกดู คงจะเป็นที่นี่ หนานกงเวิ่นเทียนบอกโดยละเอียด
“อยู่ตรงนั้น” ตรงนั้นคือจุดศูนย์กลางของพลังหยิน
“ตรงนั้นหรือ เสี่ยวเทียน เจ้ารอข้าที่นี่ ข้าจะเข้าไปเอง ข้ามีเพลิงอัคคีคุ้มครอง พลังหยินพวกนี้ทำอะไรข้าไม่ได้” หลิวหลีแสดงออกว่าตนเองจะเป็นคนจัดการเอง หากเสี่ยวเทียนเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ก็ดีเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนไม่บ่ายเบี่ยง รับคำนาง
หลิวหลีเดินเข้าอย่างระมัดระวัง นางใช้เพลิงอัคคีครอบคลุมร่างกาย เมื่อค่อยๆเข้าไปใกล้ก็พบก้อนหินที่แผ่ความชั่วร้ายออกมา หลิวหลีใช้เพลิงอัคคีปกคลุมเอาไว้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เพียงแต่ทำไมหินก้อนนี้ดูดูคุ้นตาบอกไม่ถูก หลิวหลียืนมองหินก้อนนั้น อืมเหมือนนางจะมีอยู่ก้อนหนึ่งเลย นางไปได้มาจากไหนกันนะ
หลิวหลีชักสีหน้า หนานกงเวิ่นเทียนไพล่นึกว่านางทำไม่สำเร็จ
“นังหนูมีอะไรผิดปกติหรือ?”
“ไม่มีอะไร เพียงแต่ว่าข้ารู้สึกว่าหินมารรัตติกาลออกจะคุ้นตาไม่น้อย อีกอย่างมันต้องมีคนมาเฝ้าด้วยไม่ใช่หรือ คนล่ะ” หลิวหลีส่ายหัว โยนหินมารรัตติกาลเข้าไปในมิติ ไม่มีใครรู้สักหน่อย
“พูดถึงข้าหรือหรือ หึหึ มีเด็กอ้วนมาตั้ง 2 คน ดีจริงๆ ถูกปากข้าเสียจริง ๆ” ทันใดนั้นก็ปรากฏคนผู้หนึ่งที่มีกลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่ออกมา
“เจ้าเป็นผู้ครอบครองหินมารรัตติกาล?” หลิวหลีขมวดคิ้ว เป็นกลิ่นอายที่น่ารังเกียจจริงๆ
“ถึงเจ้าจะไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักพวกเจ้า”
“อะไรนะ พวกเรามีชื่อเสียงขนาดนั้นเชียวหรือ?” หลิวหลีกระพริบตาอย่างใสซื่อ ทำไมนางถึงไม่รู้เลย
“หลิวหลีคนใจมาร ข้าอยากเจอเจ้ามาตั้งนานแล้ว”
“ช่วยตัดฉายานั้นออกไปได้ไหม?” หลิวหลีหัวเสีย ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว คงต้องยินดีกับนาง ที่ยังเป็นผู้โหดร้ายอันดับหนึ่งอยู่เหมือนเดิม แถมคนอื่นเริ่มจะลืมเรื่องที่นางได้อันดับหนึ่งแล้ว แม้แต่คำพูดที่เอาไว้ใช้ขู่เด็กตอนนี้ก็คือ หากว่าเจ้ายังดื้ออีก ก็จะให้คนใจมารมาจับเจ้าไป นี่พวกเขายังอยากจะให้นางมีชีวิตต่ออย่างไร นางเป็นคนมีคุณธรรม แต่กลับให้ฉายามารกับนาง จะให้นางทำใจได้อย่างไร
“ฮ่าฮ่า นังหนู ได้รับฉายาเช่นนี้ในโลกมารถือเป็นเรื่องน่าภูมิใจ”
“ข้าเป็นนักบำเพ็ญสายปรุงยา” หลงหลิวหลีเน้นย้ำสถานะของตัวเอง ใครจะอยากเป็นคนใจมารกัน?
“จริงสิ คุยกันมาตั้งนาน ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเอง ข้าคือคูหรง น้องชายข้าคูมู่กับคูกู่เจ้าเป็นคนฆ่าใช่หรือไม่” พลังหยินในประโยคสุดท้ายของคูหรงรุนแรงขึ้นทุกที
“คูมู่กับคูกู่ สองชื่อนี้เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน” หลิวหลีจับคาง พยายามครุ่นคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน หืม? คิดไม่ออกแฮะ
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้าจัดการพวกเจ้าได้ถือว่าทำคุณงามความดีชิ้นใหญ่ให้โลกมารแถมยังได้แก้แค้นให้น้องชายที่ตายไปทั้งสองคน” คูหรงพูดจบก็เตรียมจะลงมือ กลับพบว่าช่วงล่างของตัวเองถูกแช่แข็ง ส่วนช่วงบนกำลังถูกหลอมละลาย
“ผู้บำเพ็ญมารในโลกมารพูดมากเหมือนเจ้าทุกคนไหม ตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว ใครจะมีเวลาฟังเรื่องไร้สาระของเจ้า” หลิวหลีพูดพลางเป่ามือ เพียงแค่นึกไม่ถึงว่านางกับเสี่ยวเทียนจะมีความคิดตรงกัน นี่เขาเรียกกันว่าใจตรงกันใช่ไหม
“พวกเจ้ายังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้มีคุณธรรมอีกหรือ ทำเรื่องหยาบช้าเช่นนี้ คนทั้งโลกตาบอดไปแล้วหรืออย่างไร” คูหรงตะโกน เจ้าเด็กชั่วที่แสนประหลาดทั้งสองคน
“เรื่องนี้คงไม่ต้องรบกวนเจ้า เจ้าไปนั่งดื่มชากับน้องชายเจ้าเถอะ เป็นห่วงน้องชายขนาดนี้ ดูเอาเถอะ ข้าเป็นคนดีขนาดไหน จะช่วยให้พวกเจ้าได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา” หลิวหลีพูดจีบปากจีบคอ
“หึ นังหนู เจ้านึกว่าเจ้าจะเอาชนะนายท่านได้หรือ อย่าฝันไปหน่อยเลย นายท่านไม่มีทางแพ้แน่นอน ฮ่าฮ่า” อยู่ๆคูหรงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วเปลวเพลิงก็หายไป หลิวหลีคว้าเอาดวงจิตของคูหรงที่คิดจะหนีไป บีบจนกลายเป็นผุยผง ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนจับปราณก่อนกำเนิดที่คิดจะหนีไปเช่นกันและบีบจนกลายเป็นผุยผงเช่นกัน
“นังหนู พวกเราไปที่ต่อไปกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ควรจะไปสถานที่ต่อไปเสียที
ในขณะเดียวกัน พวกเอ๋าเลี่ยก็จัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถือครองหินมารรัตติกาลผู้นี้ค่อนข้างน่าอนาถ จื่อฉีอ่านแผนของเขาออก ส่วนเอ๋าเลี่ยที่อยู่ข้างๆพูดตรงๆว่าเข้าฌานนานเกินไปทำให้คันไม้คันมือ ไม่ได้ซ้อมคนมานานเลยซ้อมคนผู้นี้จนกลายเป็นหมู ทั้งสองเล่นกันจนสะใจแล้วก็ส่งผู้บำเพ็ญมารผู้นั้นกลับคืนสู่ทางธรรม ก่อนที่ผู้บำเพ็ญมารจะสิ้นใจจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
ส่วนพวกหยวนเจินก็จัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน อสูรทั้งสามจัดการผู้บำเพ็ญมารจนไม่เหลือชิ้นดีในค่ายกลแห่งธรรมของหยวนเจิน
“สนุกจริงๆ ได้ร่วมมือกับท่านแล้วสนุกจริงๆ” ชิงหลวนที่ลงมือหนักที่สุดรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง
“ชิงหยวน เจ้านกบ้า แต่ครั้งนี้ให้เจ้าได้ระบายอารมณ์ให้เต็มที่ ครั้งหน้าควรถึงตาข้าได้ออกแรงบ้าง” เฟยเผิงกล่าว เขาเองก็เริ่มติดใจ
“มีผู้บำเพ็ญมารทั้งหมดแค่ 2 คน พวกเจ้าก็ควรจะให้ข้าได้ออกแรงบ้างใช่หรือไม่” หยวนเทียนพูดแล้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ช่างเถอะ พวกเจ้าทำกันหมดแล้ว แล้วท่านนักบวชจะทำอะไรได้” ชิงหลวนกลอกตามองบนใส่คนทั้งสอง ตั้งแต่เกิดสงครามขึ้นพวกเราสองคนก็กลายเป็นคนกระหายสงครามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อมิตาพุทธ อาตมาขอใส่ตราประทับพุทธะไว้บนหินมารรัตติกาลได้หรือไม่”
“ได้สิ ท่านนักบวช คงต้องรบกวนท่านกางและผนึกค่ายกลแล้ว” ชิงหลวนเองก็เห็นด้วย จึงมอบหินมารรัตติกาลมอบให้กับหยวนเจิน เขาจึงใช้ตราประทับพุทธะหลายชุดพันธนาการไว้ เพื่อรับรองว่าจะไม่มีพลังมารหลุดออกมาแม้แต่เล็กน้อย
ส่วนฟากหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็เดินทางมาถึงสถานที่สุดท้ายที่เก็บหินมารรัตติกาล เพียงแต่หลิวหลีเริ่มรู้สึกมีสังหรณ์ที่ไม่ดี หนานกงเวิ่นเทียนเองก็เช่นเดียวกัน
“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาสักที”
“เยี่ยซิงหวง ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” หลิวหลีนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเยี่ยซิงหวง แถมเป็นเยี่ยซิงหวงที่นางอ่านไม่ออกเสียด้วยซ้ำ หลิวหลีใบหหน้าเรียบเฉย และรีบใช้พันธสัญญาเร่งพวกเอ๋าเลี่ย เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีที่กำลังสนุกสนาน ก็รีบจัดการผู้บำเพ็ญมารแล้วตามมาทันที
“ทำไมถึงจะไม่อยู่ที่นี่ ข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอพวกเจ้าโดยเฉพาะ โดยเฉพาะเจ้า แม่โฉมงามของข้า นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเราเคยมีวาสนาต่อกันมาชาติหนึ่ง น่าเสียดาย น่าเสียดายนักที่ไม่สามารถสานต่อวาสนาในชาติที่แล้วได้ แม่โฉมงาม ช่างใจร้ายนัก ตกหลุมรักคนอื่น โดยไม่นึกถึงคนรักเก่าอย่างข้าเลยแม้แต่น้อย” เยี่ยซิงหวงมองหนานกงเวิ่นเทียน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หนานกงเวิ่นเทียนหน้าซีดเผือด เขารู้เรื่องราวในชาติที่แล้วได้อย่างไร หรือเขาก็มีหินย้อนเวลาเช่นเดียวกัน
“เจ้าพูดพร่ำทำเพลงอะไรนักหนา ตามองที่ไหน ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ เยี่ยซิงหวง ชาติที่แล้วเสี่ยวเทียนเป็นของข้า ชาตินี้เสี่ยวเทียนก็ยังต้องเป็นของข้า หลังจากนี้ก็จะเป็นของข้าทุกชาติ เจ้าเป็นใครมาจากไหน ไม่รู้หรืออย่างไรว่าข้าเกลียดคนที่คอยจะมาเขย่าขาเตียงของข้ามากที่สุด” หลิวหลีพูดพลางเท้าเอว
…………………………