แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 204 ระเบิดตัวเอง
“พวกเจ้าหมายความว่าสงครามใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเยี่ยซิงหวงเพียงคนเดียว พวกเจ้าไม่มีส่วนกับการตายของสหายทั้งหลายของข้าในสนามรบหรือ?” มีคนไม่เชื่อหูตัวเอง ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
“เป็นเช่นนั้นจริงๆจอมมารผู้นี้สังหารพี่ชายและบิดา ดูดพลังมารของพวกเขา แล้วไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรพิชิตเพลิงหยินหยาง แถมยังบังคับให้พวกเรากินยาที่ทำให้กลายเป็นหุ่นเชิด ผู้อาวุโสมารทนการดูถูกเช่นนี้ไม่ไหวจึงได้ปลิดชีวิตตัวเอง โลกมารเองก็เกิดความเสียหายไม่ต่างจากทุกดินแดน” แม่ทัพมารพูดขึ้นอย่างเจ็บปวด เพราะความทะเยอทะยานของเยี่ยซิงหวงเพียงคนเดียว โลกมารถึงได้ตายไปกับเขาด้วย คงต้องใช้เวลาซ่อมแซมอีกหลายหมื่นปี กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“อมิตาพุทธ” มั่วหมิงกล่าว ผู้อาวุโสมารผู้เป็นคนสำคัญลำดับสองของโลกมารจากไปด้วยความรู้สึกที่ทรมานถึงเพียงนี้
“ฮ่าฮ่า บรรดาแม่ทัพมารทั้งหลายสติของพวกเจ้ากลับมาแล้วหรือตอนนี้ พญามารเหลือทายาทแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น พวกเจ้าจะหาใครได้อีก” เยี่ยซิงหวงไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่ตนเองถูกแฉ
“ใครบอกว่าพญามารเหลือทายาทแค่เจ้าคนเดียว” หลิวหลีจับมือหนานกงเวิ่นเทียน แล้วเหลือบมองเยี่ยซิงหวงที่สำหรับนางแล้วตอนนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรจากมด
“ไร้สาระ” เยี่ยซิงหวงรู้สึกตกใจกับสายตาของหลิวหลี ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ จู่ๆเขาก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ
“เยี่ยซิงหวง ทำไมเจ้าถึงได้โอหังขนาดนี้ เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่ามีคนในโลกมารหายตัวไปหรือ” หลิวหลีไม่หันไปมองเยี่ยซิงหวง แต่เมองผมขาวโพลนของหนานกงเวิ่นเทียนอย่างเจ็บปวดใจ หากกินงาดำเข้าไปจะสามารถบำรุงให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจเยี่ยซิงหวงมากขึ้น
“ยังมีข้าอยู่” ไม่รู้ว่าหลงจิ่งอู๋พาเยี่ยซิงเจ๋อมาตั้งแต่ตอนไหน
“เจ้าไม่ใช่ลูกของผู้อาวุโสมารหรอกหรือ” มีแม่ทัพมารจำเยี่ยซิงเจ๋อได้
“เป็นลูกเลี้ยงของผู้เฒ่ามาร พ่อของข้าคือพญามาร ข้ามีของชิ้นนี้เป็นหลักฐาน” เยี่ยซิงเจ๋อกล่าวพลางนำแหวนสีดำทมิฬออกมา
“ผู้บำเพ็ญเพียรทุกท่าน เผ่ามารของข้ายินดีร่วมมือกับทุกดินแดนแต่ต้องขอยืมแรงจากทุกท่านกำจัดเยี่ยซิงหวง สัตว์เดรัจฉานตัวนี้เสีย” แม่ทัพมารแน่ใจว่าของที่อยู่ในมือของเยี่ยซิงเจ๋อคงเป็นหลักฐาน ซึ่งมีแต่ท่านพญามารกับผู้สืบทอดของเขาเท่านั้นที่จะสามารถสวมใส่ได้
“พวกข้าสู้รบมาหลายปี เพื่อสนองความทะเยอทะยานของคนเพียงคนเดียว ช่างน่าขัน พวกข้ายินดีร่วมมือกับโลกมารกำจัดพญามารผู้นี้ ข้าขอสาบานว่ามันจะต้องโดนสายอัสนีบาตฟาด และปล่อยให้หนอนนับหมื่นตัวชอนไชไปทั่วร่างกายเป็นการลงทัณฑ์ เพื่อล้างแค้นให้กับวิญญาณวีรบุรุษทุกดวง”
“ฮ่าฮ่า เจ้าคิดว่าแค่พวกเจ้าเท่านั้น จะทำอะไรข้าหรือ” เยี่ยซิงหวงพูดอย่างไม่ยี่หระ หยาจื้อกับต้าเฟิ่งที่อยู่ตรงด้านซ้ายและขวาของเขา ส่วนเพลิงอัคคีสีขาวดำที่อยู่รอบข้างตัวสั่นอย่างผิดปกติ
“ไท่จี๋ เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเยี่ยซิงหวงเห็นว่าเพลิงหยินหยางเกิดกลัวขึ้นมาก็หัวเสีย
“พี่ใหญ่อยู่ฝ่ายตรงข้าม” เพลิงหยินหยางสับสน พี่ใหญ่อยู่กับฝ่ายข้าม เขาควรจะทำอย่างไรดี
“เหอะๆ ข้าว่าแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ เจ้ามาเป็นพลังให้กับข้าแทนก็แล้วกัน” ดูเหมือนว่าเยี่ยซิงหวงจะรู้มาตั้งแต่แรก ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร แต่อยู่ๆเพลิงหยินหยางก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกกักขังไว้ในร่างของเยี่ยซิงหวง ถูกบีบบังคับให้กลายเป็นพลังของเขา
“เจ้าทำอะไร?” เพลิงหยินหยางหวาดกลัวน้อยๆ
“ทำอะไรน่ะหรือ ข้าใช้มนตร์พันธนาการอัคคีกับเจ้าตั้งแต่แรก ยอมมาช่วยข้าทำโลกบำเพ็ญเพียรนี้แต่โดยดีเถอะนะ” หากเขาไม่ได้มันมาก็ทำลายทิ้งดีกว่า
“ถึงขนาดกล้าหลอกน้องรองของข้า วอนหาเรื่องจริงๆ” เพลิงนพเก้ามอดนภาปรากฏตัวขึ้นข้างกายหลิวหลี
“วางใจเถอะ ข้าจะจัดการเขาแทนเจ้าเอง และน้องรองของเจ้าก็จะได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน มีข้อได้เปรียบเป็นถึงเพลิงอัคคีแปลงกาย แต่กลับมองคนไม่ออก” หลิวหลีแสดงเจตนาว่านางจะช่วยสั่งสอนน้องรองที่ไร้ความรู้ความสามารถของอีกฝ่าย และจะจัดการกับเยี่ยซิงหวงไปพร้อมกัน
อยู่ๆหยาจื้อและต้าเฟิ่งก็พุ่งตัวเข้ามา
“ข้ารอนานแล้ว ในที่สุดจะได้จัดการพวกมันเสียที” เอ๋าเลี่ยกลายร่างเป็นมังกรพุ่งเข้าไป และเฟิ่งอิงเสวี่ยกลายร่างเป็นหงส์พุ่งตามเข้าไป
“เสี่ยวเทียน รอข้าที่นี่ ข้าจะไปจัดการกับไอ้สวะนี่ก่อน” หลิวหลีทิ้งหนานกงเวิ่นเทียนไว้ ณ สถานที่ปลอดภัย นางกำหมัดเตรียมไปคิดบัญชีกับบางคน กล้ารังแกเสี่ยวเทียนของนาง ทั้งยังทำให้นางต้องกลายเป็นมัมมี่ไปเกือบร้อยปี หากไม่ลงมือจนเขาต้องร้องไห้หาพ่อแม่ ก็คงจะไม่สาสมกับสิ่งที่นางต้องแบกรับ
“ไปด้วยกัน” หนานกงเวิ่นเทียนดึงหลิวหลีเพื่อบอกว่าเขาเองก็ต้องการช่วยนาง
“ก็ได้” เมื่อเห็นความดื้อดึงในแววตาของหนานกงเวิ่นเทียน นางจะปฏิเสธอีกฝ่ายได้อย่างไร
หลิวหลียื่นมือขวาออกมา และเพลิงอัคคีทั้ง 9 สีก็เปล่งประกาย
“นังหนูฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณสำเร็จแล้ว” หลงจิ่งหลินปากสั่น มีคนฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณได้สำเร็จจริงๆ แถมคนผู้นั้นคือหลานสาวของเขาเอง
เพลิงอัคคีทั้ง 9 สีส่องประกาย ดูงดงามมากทีเดียว ทันใดนั้นเองเพลิงอัคคีทั้ง 9 รวมตัวด้วยกันก่อนจะพุ่งเข้าหาเยี่ยซิงหวงราวแส้หลากสี เยี่ยซิงหวงสร้างปราการสีดำสนิทขึ้นมาขวาง แต่ข้างหลังก็มีพลังเซียนเหมันต์ปรากฏขึ้น
“หึ นึกว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นหรือ” เยี่ยซิงหวงพูดจบก็ปล่อยเพลิงอัคคีออกมาสองดวง ซึ่งนั่นย่อมเป็นเพลิงหยินหยานที่ถูกควบคุม แต่หลิวหลีรับไว้ได้อย่างง่ายดายส่วนหนางกงเวิ่นเทียนเองก็ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนเช่นกัน
“ข้าเล่นกับเจ้าต่อไม่ได้แล้ว ปีศาจชั่วร้ายแบบพวกเจ้า สวรรค์จะจัดการพวกเจ้าเอง” หลิวหลียื่นมือซ้ายออกมา ปรากฏมีดขนาดใหญ่ที่หลิวหลีให้เทียนเลี่ยนจื่อช่วยหลอมให้
นางไม่ใช้อาวุธบ่อยนักแต่ครั้งนี้อยากจะใช้อาวุธขึ้นมา
“มีดเล่มนี้ของข้ายังไม่เคยได้ลิ้มรสเลือดสักครั้ง วันนี้ข้าขอเลือดเจ้ามาประเดิมมีดข้าแล้วกัน” หลิวหลีกำมีดเอาไว้ อย่างตื่นเต้น ที่แท้การถือมีดในมือมันทำให้รู้สึกว่าตนเองเก่งแบบนี้นี่เอง
จากนั้นจึงเห็นหลิวหลีถือมีดพุ่งตัวเข้าไป เยี่ยซิงหวงตั้งรับ แต่จู่ๆมีดเล่มใหญ่ก็หายไปกลายเป็นมีดสั้น หลิวหลีพลิกมือแทงเยี่ยซิงหวง ในขณะเดียวกัน หนานกงเวิ่นเทียนก็โยนยันต์เหมันต์ใส่เขา เยี่ยซิงหวงหลบไปช้าเพียงชั่วครู่ ยันต์เหมันต์จึงติดตรงบริเวณชายเสื้อ มีดสั้นในมือของหลิวหลีกลายเป็นปืนยาวพุ่งเข้าไป จากนั้นทุกครั้งที่เยี่ยซิงหวงปะทะกับหลิวหลี อาวุธในมือก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อทั้งสองหยุดปะทะกัน อาวุธในมือหลิวหลีก็เปลี่ยนเป็นมีดเล่มใหญ่
“นี่คืออาวุธอะไรของเจ้า” เยี่ยซิงหวงหมดสภาพ ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยของอาวุธ เพราะอาวุธของหลิวหลีทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกอีกทั้งหนานกงเวิ่นเทียนก็ร่วมตะลุมบอนด้วยเป็นครั้งๆ ทำให้เยี่ยซิงหวงรู้สึกถึงความเสี่ยง
“เจ้าเป็นคนแรกที่ได้ทดลองพลังอำนาจของอาวุธชิ้นนี้ มีดเล่มนี้มีชื่อว่ามีดยักษ์” หลิวหลีประกาศกร้าวอย่างภาคภูมิใจ
หลิวหลีพูดจบก็พุ่งปะทะอีกฝ่าย ส่วนฟากเอ๋าเลี่ยต่อสู้กับหยาจื้ออย่างบ้าคลั่ง หากไม่ใช่เพราะนังหนู มีหรือที่เทพแห่งสงครามอย่างเขาจะมาเล่นกับพวกชั้นต่ำที่มีสายเลือดมังกรแค่เพียงเสี้ยวเดียวเช่นนี้หรือ หยาจื้อถูกเอ๋าเลี่ยโจมตีจนต้องร้องโหยหวน ต้าเฟิ่งก็เช่นกัน ถูกอิงเสวี่ยจัดการจนไม่เหลือชิ้นดี กรงเล็บทั้งสองข้างแข็งเป็นกรงเล็บน้ำแข็ง ส่งเสียงโหยหวน
หลิวหลีใช้มีดยักษ์หายตัว เปลี่ยนเพลิงอัคคีทั้งเก้าเป็นลูกไฟแล้วโยนใส่เยี่ยซิงหวง เยี่ยซิงหวงสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างในร่างกาย กระแทกร่างทั้งสองคน แล้วหายตัวเป็นสายลมสีดำ หยาจื้อกับต้าเฟิ่งถูกเอ๋าเลี่ยกับเฟิ่งอิงเสวี่ยจัดการจนหมดสภาพกองอยู่บนพื้น กลายร่างกลับเป็นมนุษย์
“นังหนู เจ้าปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร?” น้ำเสียงเอ๋าเลี่ยร้อนรน
“รีบร้อนไปทำไม เยี่ยซิงเจ๋อ ไปกันเถอะ พาพวกเราไปที่วังมาร” หลิวหลีมั่นใจว่าเยี่ยซิงหวงไม่รอดแล้ว หนีไปไหนไม่ได้แน่
“ได้” เยี่ยซิงเจ๋อเข้าใจ ว่านางกำลังให้โอกาสตนเอง
ณ วังมาร เยี่ยซิงหวงกระอักเลือดสีดำออกมา
“หลงหลิวหลี ถึงแม้ข้าต้องตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าต้องสูญเสีย” เยี่ยซิงหวงรู้ว่าตนเองหนีไม่พ้นแน่ ในร่างกายถูกเพลิงอัคคีทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี ชีวิตของเขากำลังจะจบลงแล้ว
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะมาได้เร็วขนาดนี้” เยี่ยซิงหวงมองคนกลุ่มหนึ่ง
“ปากเก่งนี่ เจ้าทำเรื่องชั่วมามาก แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้สั่งเสียแล้วกัน” หลิวหลีกล่าว
“สั่งเสียหรือ พวกเจ้าเสแสร้งกันทั้งนั้น ท่านแม่ของข้าเป็นนักพรต ถูกพญามารทำร้าย ทางสำนักคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย ส่วนข้าที่นางให้กำเนิดออกมานั้นต้องใช้ชีวิตไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ถูกพาตัวมาที่โลกมาร แต่เพราะมีสายเลือดนักพรต ถึงแม้ตาแก่พวกนั้นจะบอกว่าข้าเป็นองค์ชาย แต่แล้วอย่างไร พวกเขาต่างเรียกข้าว่าคนชั้นต่ำ ข้าเกลียดชังพวกนักพรตที่ปากหวานก้นเปรี้ยว ข้าแค้นเคืองโลกมารที่ทรมานข้ามาเกือบทั้งชีวิต ดังนั้นพวกเจ้าก็ไปตายเสียไป ฮ่าฮ่า” เยี่ยซิงหวงพูดจบก็ระเบิดตนเอง หลิวหลีสร้างกำแพงเพลิงอัคคี คลุมทุกคนเอาไว้ด้านใน
“เหอะๆ ระเบิดตัวเองหรือ ข้าตื้นตันใจไปด้วยเลย” หลิวหลีเบะปากแล้วเสียดสีขึ้น
“นังหนู เจ้าบอกว่าเจ้ารู้สึกตื้นตันใจหรือ?”
“ใช่แล้ว โตขึ้นมาในโลกที่บิดเบี้ยวขนาดนั้น เขาจะโตมาแบบไม่บิดเบี้ยวก็แปลกแล้ว อย่าพูดเลยว่าเขาสมควรโดนแล้ว พวกเจ้าเองก็แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นช่วงสงบศึก แต่นักพรตดูถูกมาร มารเองก็ดูถูกนักพรต อะไรคือธรรมะ อะไรคืออธรรม ไม่ได้ตัดสินจากสายที่บำเพ็ญเพียร แต่ตัดสินจากจิตใจของคนดีกว่า” หลิวหลีพูดตัดบทคนตั้งท่าจะแย้ง แล้วชี้บริเวณทรวงอกของตนเอง
“เฮ้อ ทำไมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย” หลิวหลีเดินออกไป ไปถึงจุดที่เยี่ยซิงหวงระเบิดตัวเอง แล้วจึงพบเปลวเพลิงที่มีแสงไฟเลือนลาง
“นังหนู เก็บเข้ามาในร่างกายเจ้าเถอะ หมอนี่น่าสงสารเหมือนกัน” เพลิงนพเก้ามอดนภากล่าว ขณะมองดูเพลิงหยินหยางที่อ่อนแอจนเกือบไม่ไหว
“ข้าไม่มีที่จะเลี้ยงเขา” หลิวหลีมองดูเปลวเพลิงขนาดเล็กที่น่าสงสาร
“ตอนนี้เจ้าเป็นร่างวิญญาณเพลิงอัคคีผสม สำหรับเขาแล้วเป็นร่างกายที่หล่อเลี้ยงที่ดีที่สุด”
“ก็ได้ เห็นแก่หน้าเจ้า” หลิวหลีเก็บเพลิงหยินหยางเข้าไปในร่างกาย
“ไปเถอะเรื่องน่าจะจบแล้วล่ะ” หลิวหลีกำลังจะเดินออกไป สีสันของพระราชวังมารแห่งนี้ดูอึมครึม แต่ไม่รู้ทำไมตาขวาของนางจึงเต้นตุบๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ขวาร้าย ซ้ายดี หรือว่าเรื่องนี้จะยังไม่สิ้นสุด