แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 21 ซื้อมีดล้ำค่า
หลิวหลีรีบกลับไปที่หอปรุงยา “อาจารย์ อาจารย์ ข้าได้ยินมาว่าโลกภูตกำลังจะเปิดแล้ว ข้าไปที่นั่นได้หรือไม่” เสียงตะโกนของหลิวหลี ทำให้ทั้งสองคนที่กำลังดื่มชาเอื่อยเฉื่อยอดรู้สึกไม่ได้ว่า ‘อายุยังน้อยก็มีชีวิตชีวาเช่นนี้
“นังหนู เจ้าบรรลุช่วงพื้นฐานแล้ว ยังจะมาตะโกนโหวกเหวยโวยวายแบบนี้อีกเหรอ” เสวียนหั่วจิบชาศักดิ์สิทธิ์แล้วเห็นหลิวหลีที่กำลังรีบร้อน
“อาจารย์ ท่านได้ยินแล้วหรือยังว่าโลกภูตสวรรค์กำลังจะเปิดแล้ว เหมาะกับคนในช่วงพื้นฐานอย่างมาก” หลิวหลีรู้สึกตื่นเต้น นางมาที่นี่ก็นานแบบนี้แต่ยังไม่เคยได้ออกนอกสำนักเลยสักครั้ง
“อืม ข้ารู้มานานแล้วและจะให้เจ้าไป แต่เจ้าจะต้องเตรียมของด้วยตัวเอง ข้าจะไม่แนะนำอะไรทั้งนั้น” เสวียนหั่วตั้งโจทย์ยากๆให้หลิวหลีต้องขบคิดแก้ปัญหา
“เจ้าค่ะ อาจารย์ อาจารย์ลุง ข้าจะไปเตรียมของเดี๋ยวนี้” หลิวหลีพูดจบแล้วก็รีบออกไป
หลังจากไปแล้ว หลิวหลีก็ลองนับนิ้วดูต้องเตรียมเครื่องปรุงรสหลายอย่าง ต้องเตรียมเนื้อแห้งและพืชศักดิ์สิทธิ์ให้มากหน่อย ได้ยินมาว่าต้องใช้เวลาสามเดือน น้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ก็ควรเตรียมเอาไปให้มาก เดี๋ยวหากเจอทะเลทรายเข้าจะทำอย่างไร ยาประเภทต่างๆก็ควรต้องติดตัวไปด้วย ไม่เช่นนั้นก็เตรียมยาพิษไปด้วย อย่างไรก็ควรต้องป้องกันตนเอง ลองไปตลาดจงเหมินดูน่าจะดีกว่า
หลิวหลีส่งข่าวหาโจวอีและโจวมั่ว นัดเจอกันที่ตลาด นางออกก่อน ส่วนโจวอีกับโจวมั่วที่อยู่กับโจวซานพอได้รับข่าวจากหลิวหลีก็บอกลาพี่ชาย แต่ผลปรากฏว่า
“ท่านพี่ ถ้าสงสัยก็ถามมาเถอะ หลิวหลีไม่ติดใจหรอก จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลแบบนี้เหรอ” โจวอีพูดอย่างไม่พอใจ พี่สามช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดโดยแท้
“ปัก” โจวหลิวใช้พัดเคาะหัวน้องชายของเขาไปหนึ่งทีโดยไม่พูดไม่จา เขามองน้องเล็กที่แอบหัวเราะและน้องหกที่กุมศีรษะตนเอง หลังจากกลับมาจากท่องยุทธภพเขาก็ได้ยินมาว่าน้องหกกับน้องเล็กไปฝากตัวเป็นศิษย์ของเจ้าหอโอสถ โดยได้ความช่วยเหลือจากเพื่อนในชั้นเรียนเบื้องต้นของเขา คิดไม่ถึงว่าเพื่อนในชั้นเรียนเริ่มต้นของเขาจะเป็นศิษย์คนสุดท้ายของปรมาจารย์ด้วย เขาอยากรู้เรื่องของสุดยอดศิษย์คนนี้มาโดยตลอด เพราะศิษย์ชื่อหลิวหลีคนนี้ ทำให้น้องชายเขาได้กลายเป็นศิษย์ในสำนัก สกุลเขาจึงก้าวหน้าไปมาก น้องชายทั้งสองก็ขยันเอาการเอางาน มีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงฝึกฝนพลังลมปราณระดับกลาง เพียงแต่คลาดกันไปทุกครั้ง เขาคิดว่าภายหน้าคงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันใครจะไปคิดว่าจะมีสายสัมพันธ์กับน้องชายทั้งสองของเขา
หลิวหลีตั้งใจจะเดินเล่นเองไปก่อน โดยไม่รอโจวอีกับโจวมั่ว เพราะถึงอย่างไรเสียก็ต้องเจอ หลิวหลีเองก็ตั้งใจว่าจะเดินเล่นเองสักพัก มองซ้ายมองขวาไปรอบๆ ซื้อของติดไม้ติดมือไปก็ไม่น้อย ถึงแม้จะเหมือนคนใช้เงินมือเติบในสายตาผู้อื่น แต่หลิวหลีก็ไม่ได้สนใจ
ผ่านไปสักพักจึงเจอโจวอีและโจวมั่ว นางจึงรวมตัวกับทั้งสองคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
“หลิวหลี เจ้ามาที่นี่ก่อน เพราะเจ้าต้องการมาเก็บของดีหรืออย่างไร” โจวอีเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“เปล่า ข้าแค่เจอของที่ถูกใจก็ซื้อนิดหน่อย ของดีจะหาเจอง่ายขนาดไหนกันเชียว” หลิวหลีพูดพลางส่ายศีรษะ
โจวหลิวมองคนตรงหน้า ใบหน้ายังไม่โตเต็มที่ แต่จากโครงหน้าก็สามารถมองเห็นความโดดเด่นของหน้าตาในอนาคต บรรลุช่วงพื้นฐานด้วยอายุเพียงแค่ 10 กว่าขวบ อีกฝ่ายก็สามารถบำเพ็ญเพียรได้ถึงขนาดนี้ เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาดูต่ำต้อยไปเลย คุณสมบัติของเขาดีที่สุดในเหล่าเจ็ดพี่น้องสกุลโจว เนื่องด้วยเป็นธาตุสุวรรณ 8 ส่วน ธาตุปฐพี 2 ส่วน ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงพื้นฐานระยะเริ่มต้นขั้นสุดยอด สาวน้อยผู้นี้ช่างโดดเด่นจริงๆ
“ใช่แล้ว หลิวหลี นี่คือโจวหลิว พี่สามของข้า พี่ชายพี่สาวคนอื่นๆเจ้าก็เคยเจอมาหมดแล้ว นี่เป็นคนสุดท้ายแล้ว” โจวมั่วแนะนำ เอ่อ ออกมากับเพื่อนแล้วยังต้องมีผู้ปกครองตามมาอีก นอกจากพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ก็คงไม่มีใครอีก
“พี่สามแห่งสกุลโจว ข้าหลี่หลิวหลี” หลิวหลีผงกศีรษะอย่างสุภาพ แน่นอนว่านางไม่ได้บอกว่าพี่สามสกุลโจวเป็นคนเจ้าเล่ห์นัก มาสังเกตนาง
“สวัสดี ข้าโจวหลิวจากหอกระบี่” โจวหลิวผงกศีรษะ
“หลิวหลีนอกจากยาศักดิ์สิทธิ์แล้วเจ้าต้องเตรียมอะไรบ้าง” โจวอีถาม อาจารย์ของสหายเก่งกาจยอดเยี่ยม คงจะเตรียมของให้หลิวหลีเรียบร้อยแล้วกระมัง
“อาจารย์บอกให้ข้าไปซื้อเอง จัดการโอสถเรียบร้อยแล้ว ข้าอยากดูอย่างอื่นว่ามีอะไรจะต้องเตรียมไปอีกไหม” หลิวหลีบอกจุดประสงค์ตน
“ก็จริง เราไปหอสมบัติก่อนแล้วกัน” โจวมั่วเสนอ หอสมบัติมีขายอาวุธควรจะซื้อไปเผื่อเสียหน่อย
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในหอสมบัติก็ถูกดึงดูดสายตาจากอาวุธหลากชนิด หลิวหลีลูบคางพิจารณาว่าตัวเองจะเลือกอาวุธอะไร แน่นอนว่าต้องตัดดาบออกเป็นอย่างแรก อาวุธที่เกินความสูงของตัวเองก็ต้องตัดออก ของลวดลายมากมายอย่างเช่นพวกพัดก็ตัดออก แส้ก็ไม่ต้อง สายตาของหลิวหลีเคลื่อนไหวไปมา จนไปเห็นมีดอันใหญ่ที่แขวนไว้อยู่ ตาก็เป็นประกายขึ้นมา อันนี้ใช่เลย
“สหาย ชิ้นนี้ไม่ขาย” เสี่ยวเอ้อร์ตะโกนบอกหลิวหลีที่กำลังจะยื่นมือออกไป
“ไม่ขาย?” หลิวหลีมองมีดเล่มใหญ่ที่เกือบจะได้สัมผัส ไม่ได้เอาไปเที่ยวด้วยแล้ว เพียงครู่เดียวก็ละห้อยน่าสงสารราวสุนัขโดนทิ้ง
“สหาย มีดเล่มนี้หนัก 580 กิโลกรัม เจ้ายกไม่ไหว อีกทั้งมีดเล่มนี้เของฝากขาย เจ้าของมีดมีเงื่อนไขอยู่สองข้อ” เสี่ยวเอ้อร์อธิบาย
“เงื่อนไขอะไร” ดวงตาหลิวหลีกลับมาเป็นประกาย ตอนนี้นางรู้สึกว่ามีดเล่มนี้เหมาะกับนางมาก
“สหาย ผู้ที่พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับต่ำจะยกมีดเล่มนี้ไม่ขึ้น ส่วนอยู่ในระดับสูงก็ไม่ชอบใจ เจ้าลองดูอันอื่นเถอะ” เสี่ยวเอ้อร์เตือนอย่างจริงใจ เอ่อ อายุยังน้อย เนื้อตัวบอบบาง หากได้รับบาดเจ็บไปคงไม่ดี เขาจำได้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นถึงคุณชายสกุลโจว
หลิวหลีเม้มปาก หยิบมีดขึ้นด้วยมือเดียว สามพี่น้องสกุลโจวตกตะลึง โจวหลิวยิ่งรู้สึกตกใจ แรงของเขาที่มีตอนนี้ยกไหวแค่ 200 กิโลกรัม นังหนูคนนี้แรงเยอะจริงๆ
“เอาล่ะ เจ้าพูดมาว่าเงื่อนไขสองอย่างที่ว่าคืออะไร” หลิวหลีพูดพลางหมุนมีดในมือ
เสี่ยวเอ้อร์หุบปากที่อ้าค้าง ตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ ผู้เยาว์กลับกลายเป็นคนเจ้าพลังเสียอย่างนั้น
“ข้อที่หนึ่ง คนขายขอยาเนื้อเหมันต์คุณภาพสูงหนึ่งเม็ด”
ยาเนื้อเหมันต์ เป็นยาที่อยู่ระหว่างคุณภาพระดับหนึ่งและสอง เพราะมีส่วนผสมหายาก ถึงแม้จะเป็นยาคุณภาพระดับต่ำ แต่ก็หายาก
หลิวหลี โยนขวดหยกขนาดเล็กออกจากแหวนเก็บของ
“ยาเนื้อเหมันต์คุณภาพชั้นเลิศ เงื่อนไขที่สองล่ะ?” ตั้งแต่หลิวหลีหลอมรวมเพลิงบุปผาเหมันต์ ก็สามารถปรุงยาในคุณภาพตรงกลางของทั้งสองระดับได้ บวกกับสถานะของตนเอง ทำให้อัตราในการปรุงยาสำเร็จค่อนข้างสูง น้อยครั้งนักที่หลิวหลีจะปรุงยาคุณภาพต่ำออกมา
เสี่ยวเอ้อร์รับยาจากหลิวหลี คุณภาพชั้นเลิศ เขามอบยาให้เสี่ยวเอ้อร์อีกคนเพื่อทำการพิสูจน์
“พวกเราต้องทำการยืนยันก่อน กรุณารอสักครู่” เสี่ยวเอ้อร์กล่าวขอโทษ
“ไม่เป็นไร” หลิวหลีโบกมืออย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
โจวหลิวกลับกำลังคิดว่า เหมือนตัวเองเคยเห็นยาขวดนี้ที่ไหนสักที่จากน้องชายของตัวเอง น้องชายของเขาทั้งสองคนตอนนี้สามารถปรุงยาคุณภาพกลางได้แล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่ถามน้องชาย พวกเขาสองคนก็จะไม่พูดอะไร เขามักรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนตรงหน้าเขา
“เป็นยาเนื้อเหมันต์คุณภาพชั้นเลิศ” หลังจากได้รับการยืนยันจากเสี่ยวเอ้อร์อีกคนแปลว่าผ่านเงื่อนไขข้อแรกแน่แล้ว
“แล้วเงื่อนไขข้อที่สองล่ะ?” หลิวหลีถาม
“เงื่อนไขข้อที่สองของเจ้าของคนนี้คือ ขอเกษียรวารีหมื่นปีจากสำนักเมฆาคล้อยหนึ่งหยด” เสี่ยวเอ้อร์กล่าว เกษียรวารีหมื่นปีมีเพียงแต่หอโอสถเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง เป็นของที่หายากยิ่ง มีหลายคนที่ต้องยอมแพ้ไปอย่างน่าเสียดายเมื่อถึงเงื่อนไขที่สอง
“เอาไป มีดเล่มนี้เป็นของข้าแล้วใช่หรือไม่” หลิวหลีโยนขวดหยกขนาดเล็กให้ แล้วเล่นมีดไม่วางมือ
“ใช่” เสี่ยวเอ้อร์มีอาการล่องลอย มีดเล่มที่คิดว่าจะขายไม่ออก เพราะมีเงื่อนไขแสนยาก ในที่สุดก็ขายออกได้แล้ว คนผู้นี้น่าจะสูงศักดิ์ไม่น้อย ต่อไปจะต้องระวัง จะทำให้โกรธเคืองไม่ได้
สุดท้ายหลิวหลีก็โยนขวดหยกขนาดเล็กให้เสี่ยวเอ้อร์อีกหนึ่งขวด บอกว่าให้แขกผู้นั้น ทั้งยาเนื้อเหมันต์และเกษียรวารีหมื่นปีแสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้โดนพิษอัคคีอย่างรุนแรง พลังบำเพ็ญเพียรก็ต่ำอย่างมาก ของที่หลิวหลีมอบให้เสี่ยวเอ้อร์ก็คือยาคุ้มกมลคุณภาพชั้นเลิศ ซึ่งเจ้าของมีดน่าจะได้ใช้
พอฉีรุ่ยรู้เข้าก็อดดีใจไม่ได้ เขาเกือบจะยอมแพ้แล้ว แต่ดันกลับมีคนมาซื้อ ดีจังเลย หว่านเอ๋อร์มีทางรอดแล้ว ตอนที่เขาได้รับขวดหยกสามอันแบบเดียวกันแต่ข้างในมีของที่ต่างกัน เขาก็ตื้นตันใจเล็กน้อย
“หลิวหลี เจ้ามีน้ำใจมากจริงๆ” โจวอีป้องปาก
“เช่นนั้นหรือ” หลิวหลีงุนงง มีดเล่มนั้นถูกหลิวหลีเก็บเข้าไปไว้ในจุดตันเถียน เพื่อนำกลับไปฝึกบำเพ็ญ
“ใช่ สำหรับคนอย่างเรา ยาคุณภาพสูงนั้นเลอค่านัก แต่เจ้ากลับให้ยาคุณภาพชั้นเลิศไปถึง 2 เม็ดไม่ต้องพูดเรื่องเกษียรวารีหมื่นปี” โจวอีรู้สึกปวดใจเล็กน้อย ช่างเป็นคนฟุ่มเฟือยเสียจริง ตอนอยู่ในหอสมบัติเขาไม่กล้าพูด แต่ตอนนี้ออกมาแล้วจึงพูดกับอีกฝ่าย
“มีดเล่มนี้ควรค่ากับของเหล่านั้น หรืออาจจะมีมูลค่าสูงค่ากว่าเสียด้วยซ้ำไป มีดเล่มนี้มีหินพับกับเหล็กสุวรรณวิหคหมื่นปี”
โจวอีกับโจวมั่วอ้าปากค้าง พอพูดเช่นนี้ก็คุ้มค่าจริงๆ คนผู้นี้สายตาแหลมคมมากจริงๆ
……………………………………………