แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 210 ไม่ต้องคิดแล้ว
“ได้ยินมาไหม ตำหนักที่ 9 มีเจ้าตำหนักแล้ว ได้ยินมาว่าเป็นผู้บำเพ็ญหญิง”
“ใช่ ได้ยินมาว่าเป็นเจ้าตำหนักหญิงที่ค่อนข้างเย็นชา”
“ดินแดนนภาเพลิงบำเพ็ญเพียรธาตุอัคคีกับธาตุอัสนีเป็นหลัก นิสัยจะค่อนข้างเป็นคนใจร้อน แต่เจ้าตำหนักท่านนี้กลับตรงกันข้าม”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าตำหนักท่านนี้บรรลุเซียนในขณะที่ยังสวมชุดแต่งงาน ไม่รู้ว่าสามีของนางไปบรรลุเซียนอยู่ที่ไหน”
“เจ้าตำหนักท่านนี้คงจะเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาดอย่างแน่นอน ชื่อตำหนักของนางชื่อว่าตำหนักเวิ่นเทียน เจ้าตำหนักที่อยู่มานานยังไม่กล้าตั้งชื่อแบบนี้เลยด้วยซ้ำ”
“นี่ยังไม่ค่อยเท่าไร ได้ยินมาว่าเจ้าตำหนักท่านนี้พอบรรลุเป็นเซียน พลังบำเพ็ญเพียรก็อยู่ในขั้นเทพเซียนสุขาวดี ข้าบำเพ็ญเพียรมาหลายแสนปีก็ยังเป็นแค่เทพเซียนอธนการอยู่เลย คนผู้นี้ช่างมากความสามารถโดดเด่นจริงๆ”
“มีเจ้าตำหนักคนไหนบ้างที่ไม่เก่งบ้าง”
ณ ตำหนักเมฆาเคลื่อน เจ้าตำหนักหว่านฉิงรู้เรื่องนี้เข้าก็สนใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ วังนภาเพลิงมีเจ้าตำหนักหญิงเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน ทั้ง 9 ตำหนักของวังนภาเพลิงมีเจ้าตำหนักหญิงสองคน ตอนนี้พอหลิวหลีเข้ามา ก็จะมีสามคน นางต้องทำให้คนผู้นั้นรู้ว่าใครคือคนที่มีความสามารถมากกว่า หว่านฉิงค่อนข้างคาดหวังในตัวของเจ้าตำหนักคนใหม่มากทีเดียว
“เจ้าตำหนักหงซวี่ ตำหนักเก้ามีเจ้าตำหนักแล้ว นางตั้งชื่อตำหนักว่าตำหนักเวิ่นเทียน” ขุนนางของตำหนักหงเมิ่งรายงานต่อหงซวี่
“เวิ่นเทียน ช่างเป็นคำที่ไม่ธรรมดา อีกไม่นานคงจะได้เจอกับเจ้าตำหนักของตำหนักเวิ่นเทียนแห่งนี้” หงซวี่หมุนแหวนบนมือ
“หลิวหลี ต้องเป็นผู้บำเพ็ญหญิงอย่างแน่นอน ตำหนักเวิ่นเทียนหรือ อยากเจอนางจริงๆ” เหลยจ้าน เจ้าตำหนักเหลยถิงตั้งหน้าตั้งตารอ ได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นสาวงาม ไม่รู้ว่าเทียบกับหงซวี่แล้วจะเป็นอย่างไร
หลิวหลีมองดูตำหนักที่ว่างเปล่า ควรจะหาคนมาเพิ่มแล้ว ทันใดนั้นเองป้ายบัญชาการบนตัวของนางก็ส่องแสงสว่าง เกิดอะไรขึ้น
“เจ้าตำหนักหลิวหลี เชิญไปที่ตำหนักจักรพรรดิ ป้ายนี้จะนำทางท่านไป” มีเสียงลอยออกจากป้ายบัญชาการบนตัวนาง พอเสียงสิ้นสุดลง ก็มีกลุ่มแสงหนึ่งพุ่งออกมา นี่เป็นการนำทางสินะ นางจึงเดินตามกลุ่มแสงไป
ณ ตำหนักจักรพรรดิ เจ้าตำหนักทั้งแปดและผู้อาวุโสทั้งสิบ นั่งประจำที่ และหลิวหลีที่เดินตามกลุ่มแสงมานั้น ก็ถึงด้านนอกตำหนักพอดี ทุกคนเห็นภาพหญิงสาวผมยาวสยายในชุดแต่งงานสีแดง ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้ม ทำให้ชุดแต่งงานบนร่างนางดูโดดเด่นงดงามกว่าที่เคย จนเซียนทั้งสองในตำหนักเทียบไม่ติด สายตาของทุกคนจดจ้องนาง
เจ้าตำหนักชายทั้งหกคนสนใจในตัวหลิวหลีอย่างมาก ส่วนเจ้าตำหนักหญิงทั้งสองนั้น หลิวหลีสังเกตเห็นว่าคนหนึ่งยิ้มแย้ม ส่วนอีกคนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
หลิวหลีงดงามกว่าทุกคนจริงๆ แต่เซียนในดินแดนนภาเพลิงน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญธาตุอัคคี แต่ทำไมใบหน้าถึงได้เย็นชากว่าพวกเทพเหมันต์เสียอีก
“จักรพรรดิเสด็จ”
“ถวายบังคม องค์จักรพรรดิ” ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพจักรพรรดิ หลิวหลีจึงทำความเคารพตาม ทำไมให้ความรู้สึกเหมือนชนชั้นขุนนางในสมัยระบบศักดินาเลยนะ จักรพรรดิ ขุนนาง เชื้อพระวงศ์
“ลุกขึ้นเถอะ” จักรพรรดิพูดเสียงเนิบ จากนั้นก็เหลือบมองหลิวหลีที่ยืนอยู่ตรงกลาง กลิ่นอายของสระบรรลุเซียนยังไม่จางหายไป คงเป็นผู้ถูกเลือกที่เพิ่งบรรลุเป็นเซียน ถึงแม้เขาจะไม่สนใจเรื่องทางโลก แต่ก็รู้ว่าชุดสีแดงเพลิงนี้คือชุดแต่งงาน
“เงยหน้าขึ้นมา”
หลิวหลีรู้สึกว่าถึงจะไม่ตรัสออกมาตรงๆ แต่ก็พอจะรู้ว่าทรงหมายถึงนาง นางจึงเงยหน้าขึ้นสบตาองค์จักรพรรดิ ทั้งสองสบตากันอยู่นาน จักรพรรดิก็ทรงพระสรวลเบาๆ หญิงนางนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
“น่าสนใจ น่าสนใจ หลิวหลี ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าตำหนักที่ 9 ของวังนภาเพลิง เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป?”
“บำเพ็ญเพียร และตามหาสามี” หลิวหลีพูดห้วนๆ ทำให้เจ้าตำหนักชายทั้ง 6 ที่อยากจะเข้าหานางตกตะลึง นี่หมายความว่า นางมีเจ้าของแล้วหรือ
“สามีหรือ? เจ้าแต่งงานแล้ว สามีของเจ้าอยู่ที่ใด?” จักรพรรดิรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก นังหนูคนนี้ถึงแม้จะสวมชุดแต่งงาน แต่จุดพรหมจรรย์ยังอยู่ ช่างน่าสนใจจริงๆ
“น่าจะอยู่ที่ดินแดนนภาธารา สามีของข้าเป็นแกนวิญญาณเหมันต์” หลิวหลีเองก็ไม่มั่นใจนัก
“ดินแดนนภาธาราหรือ หลิวหลี ชายหนุ่มในดินแดนนภาเพลิงของข้าก็ไม่เลว เจ้าลองพิจารณาพวกเขาดู” จักรพรรดินิ่งไปสักพัก ความหมายนอกเหนือจากคำพูดก็คือ ทรงต้องการให้หลิวหลีหาผู้ชายอีกสักคนในดินแดนนภาเพลิง หลิวหลีฟังจบก็ไม่ได้พูดอะไร คิดจะใช้พลังอำนาจมากดดันนาง รอจนนางบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จก่อนเถอะ ใครก็อย่าหวังว่าจะห้ามนางได้
“นังหนู เจ้ามีแกนวิญญาณที่โดดเด่น โดดเด่นมากกว่าทุกคนที่นี่ ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝนให้ดี ในอนาคตเจ้าจะประสบความสำเร็จแน่นอน”
ผู้ที่อยู่ด้านล่างทุกคนต่างพากันตกใจ คุณสมบัติที่โดดเด่นสูงสุด ทุกคนนิ่งไป หงซวี่รู้สึกไม่ยอม
“ขอบพระทัยจักรพรรดิที่ทรงเมตตา” คุณสมบัติของนางเป็นอย่างไร นางรู้ดีที่สุด ดังนั้นนางยังค่อนข้างจะได้เปรียบทีเดียว
“เอาล่ะ ได้เจอหน้าเจอตากันแล้ว แยกย้ายเถอะ” จักรพรรดิโบกมือน้อยๆ
“ช้าก่อน ตำหนักเวิ่นเทียนทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง ผู้อาวุโสหลิน ท่านช่วยเหลือตำหนักเวิ่นเทียนไปก่อน รอจนตำหนักเวิ่นเทียนมีขุนนางครบทั้งสามตำแหน่งแล้ว ท่านค่อยวางมือ” จักรพรรดิพูดเสริม
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“น้อมรับคำสั่ง” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งลุกขึ้นกล่าว
เมื่อจักรพรรดิเสด็จออกไปแล้ว หลิวหลีพูดกับผู้อาวุโสหลินอย่างนอบน้อมว่า “รบกวนท่านผู้อาวุโสด้วย”
“เจ้าตำหนักหลิวหลีไม่ต้องเกรงใจ ไม่ทราบว่าท่านอยากจะทำอะไรต่อไป?” ผู้อาวุโสหลินเองก็เกรงใจอีกฝ่ายไม่น้อย นางคือผู้ถูกเลือกที่แม้แต่จักรพรรดิก็ยังตรัสชม อนาคตย่อมไปได้ไกล
“ผู้อาวุโสหลิน ที่นี่มีห้องตัดเย็บหรือไม่ ข้ายังสวมชุดแต่งงานอยู่ ข้าคิดว่าถึงต้องเวลาเปลี่ยนแล้ว” หลิวหลีจับชุดแต่งงานของตัวเองไปมา เฮ้อ ดูแล้วก็ช่างปวดใจจริงๆ
“มี มีห้องตัดเย็บ สามารถตัดชุดให้ท่านได้” ผู้อาวุโสหลินรู้สึกเช่นเดียวกันว่า หลิวหลีควรจะเปลี่ยนชุดได้แล้ว
ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียนก็ถูกจักรพรรดินีแห่งวังนภาธาราเรียกเข้าพบ เจ้าตำหนักทั้งหมดเห็นชายหนุ่มผมสีขาวสง่างาม ก็พากันแอบชื่นชมในใจ
“เวิ่นเทียน เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป” จักรพรรดินีถาม
“บำเพ็ญเพียรและตามหาฮูหยิน” หนานกงเวิ่นเทียนสรุปสั้นๆ
“หาฮูหยิน เจ้าแต่งงานแล้วหรือ?” จักรพรรดินีตกใจเล็กน้อย จุดพรมหมจรรย์ของชายหนุ่มผู้นี้ยังคงอยู่ แต่มีฮูหยินจากที่ไหนกัน
“อืม”
“ฮูหยินของเจ้าอยู่ที่โลกเบื้องล่างใช่หรือไม่” จักรพรรดินีถาม หากอยู่โลกเบื้องล่างล่ะก็แค่หาช่วงเวลาที่อีกฝ่ายจะบรรลุเป็นเซียน พอถึงเวลาจะได้ตระเตรียมส่งคนไปต้อนรับให้เรียบร้อย
“มิได้ พวกเราบรรลุเซียนพร้อมกัน ตอนนี้นางน่าจะอยู่ที่ดินแดนนภาเพลิง” หนานกงเวิ่นเทียนส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
ด้านล่างเกิดเสียงจอแจ อยู่ที่ดินแดนนภาเพลิงหรือ
“เวิ่นเทียน เจ้าเป็นถึงเจ้าตำหนักในวังนภาธารา เป็นผู้ถูกเลือก หญิงสาวในวังนภาธาราของข้าดีกว่าหญิงสาวของดินแดนนภาเพลิงที่แข็งกระด้างหลายเท่าตัวนัก” จักรพรรดินีตรัสช้าๆ
หนานกงเวิ่นเทียนไม่พูดอะไร นี่กำลังจะบอกให้เขาเลิกคิดถึงหลิวหลีใช่ไหม นอกจากหลิวหลีแล้วก็ไม่มีใครอยู่ในสายตาเขาอีก และคงไม่มีใครดีกับเขาได้เหมือนหลิวหลี
“ผู้อาวุโสอวี้ ตอนนี้ตำหนักหลิวหลียังไม่มีใคร เจ้าช่วยเวิ่นเทียนสร้างตำหนักหลิวหลีก่อนแล้วกัน แยกย้ายได้” จักรพรรดินีกล่าว คนได้หายไปแล้ว
“น้อมส่งจักรพรรดินี”
“รบกวนด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนมองผู้อาวุโสอวี้ ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน อัตราส่วนระหว่างหญิงชายของดินแดนนภาธาราช่างไม่สมดุลจริงๆ มีผู้อาวุโสชายเพียงสามคนเท่านั้น แม้แต่เจ้าตำหนัก ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญหญิง
“เจ้าตำหนักเวิ่นเทียนไม่ต้องเกรงใจ” ผู้อาวุโสอวี้ค่อนข้างเอ็นดูเจ้าตำหนักชายเพียงคนเดียวคนนี้ทีเดียว
ณ วังนภาเพลิง หงซวี่กับมู่หยางเดินเข้าไปในตำหนักที่ประทับของจักรพรรดิ
“หงซวี่ (มู่หยาง) ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ทั้งสองทำความเคารพจักรพรรดิ
“เอาเถอะ พวกเจ้าจะถามเรื่องของหลิวหลีหรือ” จักรพรรดิมองลูกชายลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“ใช่เพคะ เสด็จพ่อชื่นชมหลิวหลีมากเลย ลูกไม่ยอม” หงซวี่พูดขึ้นมาก่อน
“มู่หยางล่ะ เจ้าก็ไม่ยอมเช่นกันงั้นหรือ” จักรพรรดิหันมองลูกชาย
“ไม่ใช่พะยะค่ะ แค่อยากรู้ว่าเสด็จพ่อทรงคิดอย่างไรกับหลิวหลี ลูกชอบนาง” คำพูดของมู่หยางทำให้จักรพรรดิระเบิดเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจ
“ลูกชายของข้าตาดีนัก หลิวหลีอายุยังไม่ถึง 500 ปีนั่นแปลว่านังหนูคนนี้อายุไม่ถึงพันปีเลยด้วยซ้ำ อายุของนางเป็นแค่เศษอายุขัยของพวกเจ้าเยาว์วัยนัก และที่สำคัญที่สุดคือหลิวหลีเป็นร่างเพลิงอัคคีผสม พลังอัคคีภายในร่างกายมีความบริสุทธิ์สูง แม้แต่พ่อเองก็ยังเทียบไม่ได้ เพียงแต่ว่าปราณก่อนกำเนิดเซียนของนางค่อนข้างจะพิเศษ พ่อต้องตรวจดูให้แน่ใจก่อน”
เมื่อฟังคำของพระบิดา หงซวี่ก็สรุปได้ว่า อีกฝ่ายเยาว์วัยกว่า คุณสมบัติก็เหนือกว่านาง ส่วนพลังบำเพ็ญเพียรก็ใกล้จะชนะนาง แม้แต่เรื่องหน้าตาที่หงซวี่ซึ่งเป็นคนหลงตัวเอง ก็ยังอดยอมรับไม่ได้ว่าอีกฝ่ายงดงามกว่านาง อยู่ๆก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที ซึ่งมู่หยางเองเมื่อได้ฟังแล้วก็เริ่มไม่มั่นใจในตัวเองเช่นกัน
ณ วังนภาธารา ตำหนักที่ประทับของจักรพรรดินี ผู้บำเพ็ญหญิงท่าทางอ้อนแอ้นสามคนเดินเข้าไปภายใน สามคนนี้ก็คือเจ้าตำหนักสามคนนั่นเอง
“สุ่ยโหรว (สุ่ยหยา สุ่ยหลิง) ถวายบังคมเสด็จแม่” เจ้าตำหนักสามท่านนี้คือบุตรสาวของจักรพรรดินี
“พูดเถอะ พวกเจ้าสามคนมาหาแม่มีเรื่องอันใด”
“เสด็จแม่ พวกเราสามคนพี่น้องอยากแต่งงานกับเวิ่นเทียน” สุ่ยโหยวถึงแม้จะหน้าแดง แต่ก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา
“พวกเจ้าสามคน ฮ่าฮ่า ข้าขาดทุนเสียแล้ว แค่เวิ่นเทียนคนเดียวกลับคว้าหัวใจลูกสาวข้าได้สามคน” จักรพรรดินีทรงพระสรวลแต่ไม่ได้มีท่าทีขัดเคืองแต่อย่างใด
“เสด็จแม่ อย่าหัวเราะสิเพคะ” สุ่ยหลิงกระทืบเท้าเบาๆ ส่วนพี่สาวสองคนหน้าแดงไปตั้งนานแล้ว
“ลูกข้าสายตาแหลมคม เพียงแต่เขาอาจไม่ถูกใจพวกเจ้าสามคน” จักรพรรดินีหัวเราะเสร็จก็พูดต่อ
“จะเป็นไปได้อย่างไร หญิงสาวในวังนภาธาราไม่ใช่พวกผู้หญิงที่แข็งกระด้างอย่างพวกดินแดนนภาเพลิงจะเทียบเคียงได้ ในอนาคตอันใกล้นี้ เวิ่นเทียนจะต้องตกอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาธาราแน่นอน” สุ่ยโหยวกล่าว
“ลูกข้ามุ่งมั่นแบบนี้ก็ดี แม่หวังว่าพวกเจ้าจะทำสำเร็จ” จักรพรรดินีไม่ได้บอกบุตรสาวว่า คุณสมบัติของเวิ่นเทียนโดดเด่น ลูกสาวของนางแต่ละคนไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสม เพียงแต่เพราะฮูหยินของเขาอยู่ที่ดินแดนนภาเพลิง นางจึงสงสัยน้อยๆ ว่าผู้หญิงแบบไหนกันที่ดีกว่าผู้หญิงในดินแดนนภาธาราของนางที่ผู้บำเพ็ญชายทุกคนต่างก็ถวิลหา
“เสด็จแม่เห็นด้วยแล้วหรือเพคะ?”
“ถึงแม้แม่จะเห็นด้วย แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้า เวิ่นเทียนอายุยังไม่ถึง 500 ปี มีคุณสมบัติที่โดดเด่น อีกทั้งยังเป็นร่างวิญญาณเหมันต์ พลังบำเพ็ญเพียรจะพัฒนาไปได้เร็วกว่าพวกเจ้ามาก จะจับเขาในกำมือได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้าแล้ว”
หญิงสาวทั้งสามคนเงียบไป เวิ่นเทียนไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่โดดเด่น คุณสมบัติของเขาก็ยิ่งทำให้พวกนางเอื้อมไม่ถึง
“อะไรกัน รู้สึกกดดันแล้วหรือ ฮ่าฮ่า ลูกสาวของข้ายังไม่ทันได้ลงมือ จะรู้สึกกดดันจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้สิ”
“เสด็จแม่ พวกเราจะไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนเพคะ” สุ่ยโหรวกล่าว หากว่าเป็นอย่างที่เสด็จแม่กล่าวไว้ อีกไม่นานพลังบำเพ็ญเพียรของเขาก็คงจะแซงพวกนาง เห็นทีพวกนางคงจะต้องพยายามแล้วจริงๆ