แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 217 หลิวหลีผู้นี้
หลังจากที่อวิ๋นเฟยไปขอรับพืชเซียน ข่าวเรื่องหลิวหลีออกฌานก็กระจายไปทั่วทั้งวังนภาเพลิง ทุกคนต่างคาดเดากันว่า เจ้าตำหนักหลิวหลีผู้นี้เป็นนักปรุงยา แถมยังเป็นเซียนนักปรุงยาที่มีคุณภาพและอัตราความสำเร็จในการปรุงยาก็ไม่ธรรมดา
“นายท่านที่จริงข้าน้อยกลับมาได้เร็วกว่านี้ แต่บังเอิญเจอคนมากมายระหว่างทาง” อวิ๋นเฟยพูดอ้อมๆ คนอื่นจงใจมาบังเอิญเจอ แต่จะให้บอกว่าดูออกได้อย่างไรกัน
“หืม? บังเอิญเจอ คงอยากจะสืบว่าข้าปรุงยาได้หรือไม่มากกว่า” หลิวหลีกล่าวเจือเสียงหัวเราะ
“นายท่านรู้ไว้ก็พอ” อวิ๋นเฟยเอ่ยพลางหัวเราะ
“เอาล่ะ ข้าจะไปปรุงยาแล้ว พวกเจ้าควรจะทำอะไรก็ไปทำเสีย หลังจากที่ปรุงยาครั้งนี้สำเร็จ พวกเรามาสนทนาธรรมด้วยกันดีไหม” หลิวหลีบอกความตั้งใจของตัวเอง
“ขอเพียงนายท่านมีคำสั่ง ข้าจะไปจัดเตรียมทันที” อวิ๋นเฟยรู้สึกว่า หากได้สนทนาธรรมกับเจ้าตำหนักท่านนี้ พวกเขาคงจะได้เรียนรู้อะไรไม่น้อย
หลิวหลีเข้าฌานอีกครั้ง และสถานที่คือตำหนักเวิ่นเทียน สำหรับเรื่องเข้าฌานไปทำอะไรทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจ แต่ไม่ได้รู้ว่าที่จริงแล้วหลิวหลีกำลังทำการทดลองอยู่
ใน 200 ปีมานี้ หลิวหลีแบ่งประสาทเซียนออกเป็นหลายร้อยดวง ได้เวลาทดสอบผลแล้ว นางใช้ประสาทเซียนร้อยดวงนั้นควบคุมเพลิงอัคคี ตัวนางเองไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด คราวนี้นางใช้เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ ในเมื่อเพลิงอัคคีบรรลุขั้นแล้วนางก็ควรต้องปรับตัวในคุ้นเคยกับมัน จะให้ลองใช้มั่วๆคงไม่ได้ อาจเพราะแยกประสาทเซียนออกมาเป็นจำนวนค่อนข้างมากและยังพบว่าตัวเองควบคุมพืชเซียนและความแรงของไฟได้ดีขึ้น เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ก็ให้ความร่วมมือมากขึ้นเช่นกัน
ณ ดินแดนอสูรเทพ อสูรเทพทั้งสามกำลังซ่อนตัว
“พี่เอ๋าเลี่ย เมื่อไหร่พวกเราจะโตสักที” จื่อฉีทำหน้าเศร้า เมื่ออยู่ในร่างเด็กมานาน จึงไม่ชอบที่คนอื่นปฏิบัติต่อเขาเหมือนเด็กทารก
“ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องใช้เวลาอีกหลายหมื่นปี” เอ๋าเลี่ยเดา
“เฮ้อ ข้าอยากจะโตแล้ว จะได้ไปหาท่านพี่” จื่อฉีตะโกน
“ใครจะไม่อยากกัน ดูสิ บรรพบุรุษของเราวันๆใช้ชีวิตอย่างไร ยาศักดิ์สิทธิ์รสชาติแย่ขนาดนั้นยังทำเหมือนเป็นของล้ำค่า” เอ๋าเลี่ยบ่น จริงๆเลย ยาศักดิ์สิทธิ์ที่นังหนูปรุงให้ตอนอยู่โลกเบื้องล่างทำให้พวกเขามีมาตรฐานที่สูงขึ้น ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพมากเพียงใด เขาก็ไม่อยากกิน
“ใช่แล้ว ทั้งๆที่หลังจากที่ห้าสกุลใหญ่บรรลุเป็นเซียนแล้ว จะต้องมาที่ดินแดนอสูรเทพ ทำไมท่านสาวกับพี่เขยถึงไม่มา” จื่อฉีงุนงง
“เฮ้อ ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ น่าจะไม่มีคนบอกกับพวกเขา” เอ๋าเลี่ยก็คิดถึงนังหนูแล้วเช่นกัน
“อืม พวกเราควรจะบอกกับบรรพชนดีไหม เพราะไม่ว่าเวิ่นเทียนกับหลิวหลีไปที่ไหนก็จะโดดเด่น ให้บรรพชนเราลองคุยกับพวกห้าสกุล ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะไม่อยากให้ลูกหลานที่เก่งกาจต้องออกไปอยู่ดินแดนอื่น” อยู่ๆเฟิ่งอิงเสวี่ยก็พูดขึ้น
“ก็จริง” เอ๋าเลี่ยและจื่อฉีก็คิดเหมือนกัน
เมื่อรู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้ เด็กทั้งสามคนก็ไม่ซ่อนตัวอีก แต่รีบพากันไปหาเหล่าบรรพชนที่ปกติแล้วเอ็นดูพวกเขาไม่น้อย
“อ้าว เจ้าเด็กสามคน ทำไมวันนี้อยู่ๆถึงมาหาตาแก่อย่างพวกข้าได้”
“ท่านทวด ข้ามีเรื่องอยากจะบอกท่าน” เอ๋าเลี่ยมีอายุมาก จึงยกหน้าที่ให้เขาพูด
“พูดมาเถอะ” เจ้าเด็กพวกนี้มีเรื่องจะพูดกับเขา จะปรึกษาหารืออะไรเช่นนั้นหรือ
“ท่านทวด พวกเรามีเรื่องที่ยังไม่ได้บอก จริงๆแล้วตอนพวกเราอยู่โลกเบื้องล่างมีคู่พันธสัญญาด้วย เพียงแต่ตอนบรรลุเป็นเซียนได้ยกเลิกพันธสัญญาไป” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“พวกเรามีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับคู่พันธสัญญา และทั้งสองคนอายุยังน้อย ตอนนี้พวกเขาอายุยังไม่ถึงพันปีด้วยซ้ำ” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดต่อ และจงใจเน้นคำว่ายังไม่ถึงพันปี
“อายุยังไม่ถึงพันปี ไม่เคยได้ยินเลยว่าในห้าสกุลมีคนที่เก่งจนบรรลุเป็นเซียนได้แม้อายุไม่ถึงพันปี” อสูรเทพทั้งหลายมองหน้ากันไปมา
“มีขอรับแต่พวกเขาน่าจะบรรลุเป็นเซียนไปอยู่ดินแดนอื่น ท่านพี่เป็นร่างวิญญาณอัคคี ส่วนพี่เขยเป็นร่างวิญญาณเหมันต์” จื่อฉีกล่าวต่อ
“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ”
“อีกคนหนึ่งคืออะไรกัน มีแค่พี่สาวกับพี่เขยเท่านั้นเอง” จื่อฉีรู้สับสนขึ้นมา
“ไม่ใช่สิ ก็พวกเจ้าสามคน อย่างไรก็น่าจะต้องมีคู่พันธสัญญาสามคนถูกไหมล่ะ” ท่านทวดอธิบาย เมื่ออยู่กับเด็กพวกนี้ทำให้เขารู้สึกอ่อนวัยลงไป
“ท่านทวด ข้ากับจื่อฉีเป็นคู่พันธสัญญาของนังหนู ส่วนอิงเสวี่ยเป็นคู่พันธสัญญาของเด็กหนุ่มคนนั้น”
“เจ้าว่าอะไรนะ คนที่ทำพันธสัญญากับพวกเจ้าสามารถทำพันธสัญญาได้สองครั้งเลยหรือ” ท่านทวดตื่นเต้นน้อยๆนี่คือผู้มีบุญ จะต้องลากมาอยู่ในดินแดนอสูรเทพให้ได้
“ใช่แล้ว”
“นางเป็นคนสกุลใด”
“สกุลหลง ท่านพี่เป็นคนสกุลหลง” จื่อฉียืนยัน
“ไม่ใช่สิ ในเมื่อสามารถทำพันธสัญญากับพวกเจ้าทั้งสองได้ ก็น่าจะมีสายเลือดบ้านสกุลจ้านถึงจะถูก” ท่านทวดส่ายหัว
“พ่อของนังหนูเป็นคนสกุลจ้าน ส่วนแม่เป็นคนสกุลหลง นังหนูแม่เจอก่อน แล้วจึงได้เจอพ่อ เพียงแต่นังหนูไม่ชอบคนฝั่งพ่อตนเอง จึงเข้าไปอยู่ในรายชื่อบ้านสกุลหลง นางจึงชื่อหลงหลิวหลี” จื่อฉีอธิบาย
“หลงหลิวหลี ชื่อไม่เลวเลย แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นชื่ออะไร?” ท่านทวดกล่าวถามต่อ
“เวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียน พวกเขาบรรลุเป็นเซียนขึ้นมาพร้อมกับพวกเรา” เฟิ่งอิงเสวี่ยกล่าว
“เมื่อครู่จื่อฉีบอกว่าเป็นพี่เขย พวกเขาแต่งงานกันแล้วหรือ?”
“แต่งงานแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เข้าห้องหอ ท่านพี่ขาดความรู้ นางบังคับให้ผู้รู้ฟ้าดินกำหนดวันแต่งงานก่อนวันรับวิบากสวรรค์หนึ่งวัน นางจึงต้องสวมชุดแต่งงานไปรับวิบากสวรรค์” เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นตอนนั้น อสูรเทพทั้งสามก็อดหัวเราะไม่ได้
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจ ข้าคิดว่าพี่สาวของเจ้าน่าจะอยู่ที่ดินแดนนภาเพลิง ผู้ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟบรรลุเป็นเซียนแล้วจะไปอยู่ที่นั่น พี่เขยของเจ้าน่าจะอยู่ที่ดินแดนนภาธารา ผู้บำเพ็ญธาตุน้ำกับธาตุเหมันต์บรรลุเป็นเซียนจะไปอยู่ที่นั่น พวกข้าจะลองไปคุยกับคนของห้าสกุล ให้พวกเขาลองไปสอบถามดินแดนทั้ง 2 แห่งนั้นดู”
“ขอบคุณท่านทวด” ทั้งหมดดีใจเป็นอย่างมาก
“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณเลย ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสามก็มาแล้ว ลองมาฝึกซ้อมกับพวกเราดูหน่อยก็แล้วกัน” กว่าเด็กทั้งสามคนนี้จะมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“เอ่อ” นี่พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวหรือเนี่ย
ณ วังนภาเพลิง หลิวหลีที่ไม่รู้ว่าบ้านสกุลหลงของตนเองก็มีชื่อเสียงในโลกเซียนเช่นกัน นางวางแผนไว้ว่าหลังจากบำเพ็ญเพียรได้ระยะหนึ่งแล้ว จะออกไปตามหาญาติของท่านตา และหนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นเดียวกัน
หลิวหลีมองดูกองขวดหยกที่ตนเองทำขึ้นด้วยความพออกพอใจอย่างยิ่ง นางเริ่มจับความรู้สึกของการปรุงยาตอนที่อยู่โลกเบื้องล่างได้ ช่างน่ายินดีจริงๆ
“อวิ๋นเฟย จื่อจู๋ ชิงหลิ่ว” หลิวหลีเรียกหาคนของตนเอง
“นายท่าน”
“พวกเจ้าสามคนไปทำธุระให้ข้าที ในเมื่อทุกคนต่างเดาแล้วว่าข้าปรุงยาได้ เช่นนั้นก็บอกพวกเขาไป ว่าข้าปรุงยาได้จริงๆ แล้วพวกเจ้าทั้งสามคนไปมอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้อาวุโส 10 ท่านกับเจ้าตำหนัก 8 ท่านคนละขวด บอกพวกเขาด้วยว่าข้าเป็นคนปรุงเอง ถือเป็นของแทนคำขอบคุณจากข้า และทำด้วยมือตนเองเพื่อแสดงความจริงใจ แล้วข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยตัวเอง”หลิวหลีสั่งการ ขณะแบ่งขวดหยกตรงหน้าออกเป็นส่วนๆ
“ขอรับนายท่าน” ขุนนางทั้งสามตื่นเต้นเล็กน้อย ดีจริงๆได้เวลาที่ตำหนักเวิ่นเทียนของพวกเขาจะเอาคืนแล้ว
ภายในตำหนักองค์จักรพรรดิ พระองค์ก็ทรงรับรู้ได้เช่นกัน
“นังหนูคนนั้นนี่เอง ไม่รู้ว่ามาทำอะไร ช่วงนี้เรื่องของนังหนูคนนี้ ก็เป็นประเด็นไม่น้อยเลย” จักรพรรดิพึมพำกับตัวเอง
“ทูลฝ่าบาท เจ้าตำหนักหลิวหลีขอเข้าพบ” บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน
“ให้นางเข้ามา”
องค์จักรพรรดิทรงเห็นหลิวหลีที่แต่งตัวเหมือนตอนแรกที่เจอ ก็อดหัวเราะไม่ได้
“องค์จักรพรรดิ หลิวหลีไม่เหมาะสมตรงไหนหรือเพคะ?” หลิวหลีมององค์จักรพรรดิที่หัวเราะอย่างเบิกบานใจด้วยความสงสัย นางทำอะไรผิดไป หรือเพราะนางเกิดมาหน้าตาน่าขัน พอเห็นนางถึงได้เป็นเช่นนี้
“ไม่มีอะไร เพียงแต่ตอนแรกที่ข้าเจอเจ้า เจ้าก็แต่งตัวเช่นนี้ เป็นอิสตรีไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว เหมือนกับผู้บำเพ็ญหญิงในดินแดนนภาพสุธาไม่มีผิด แต่เจ้าถือว่ามีใบหน้างดงามกว่าผู้หญิงในดินแดนนภาพสุธามากนัก” จักรพรรดิพูดขึ้นพลางหัวเราะ
“คนที่ข้ารักไม่ได้อยู่ที่นี่ จะแต่งตัวให้ใครดู ฝ่าบาทอย่าทรงสงสัยการแต่งตัวของข้าเลย ข้าขอพูดตรงๆเลยว่า นั่นเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ข้าเป็นคนที่แต่งตัวไม่เป็น” หลิวหลีพูดออกมาตรงๆ นางไม่ถนัดเรื่องการแต่งตัวเลยจริงๆ
“เจ้าช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ” เขารู้สึกชื่นชมที่นิสัยตรงไปตรงมาของนังหนูคนนี้
“ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิที่ทรงชมเชย” หลิวหลีมองว่าคือคำชม
“หลิวหลีมาหาข้าที่นี่มีเรื่องอะไร? ถ้าเจ้าไม่มีอะไรก็คงจะไม่มาที่ตำหนักของข้าหรอกจริงไหม”องค์จักรพรรดิหันมาคุยกับหลิวหลีอย่างเป็นกันเอง
“เพคะ ตอนแรกที่หลิวหลีมาที่นี่ ได้รับความรักและความเอ็นดูจากพระองค์ ให้เข้าอยู่ตำหนักเวิ่นเทียนและทรงประทานของขวัญมาให้จำนวนไม่น้อย แต่ข้าไม่เคยถวายของคืนเลย ช่างเสียมารยาทเหลือเกิน นี่คือยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าปรุงด้วยตัวเอง ถือเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆ หวังว่าจะทรงรับมันไว้” หลิวหลีถือขวดหยกขนาดเล็กในมือแล้วพูดขึ้นอย่างเคารพ
“หลิวหลี เจ้ารู้เรื่องการปรุงยาด้วยหรือ?” ถึงแม้จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พอได้เปิดปากถามก็ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
“รู้เพคะ ตอนที่อยู่โลกเบื้องล่างข้าเป็นนักปรุงยา” เมื่อหลิวหลีกล่าวจบ องค์จักรพรรดิก็จัดหลิวหลีเป็นผู้หญิงประเภทที่อ่อนแอต้องการคนปกป้อง จะมีนักปรุงยาสักกี่คนกันที่แข็งแกร่ง แต่ไม่รู้เลยว่า อีกไม่นานตนเองจะหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ