แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 218 ตามหาหลิวหลีกับเวิ่นเทียน
“นักปรุงยาหรือ คิดว่าฝีมือการปรุงยาของหลิวหลีคงไม่ธรรมดาแน่” เมื่อนึกถึงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์เม็ดนั้นที่ผู้อาวุโสจูไปหลอกเอามา องค์จักรพรรดิเองก็ทรงพอรู้ในใจ
“ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง ซึ่งวิธีการปรุงยาแตกต่างจากโลกเบื้องล่างข้าจึงจำเป็นต้องค่อยๆศึกษาดู” หลิวหลีส่ายหัวแล้วพูดอย่างถ่อมตัว
“หลิวหลีช่างถ่อมตัว ตอนนั้นที่เซียนนักปรุงยาอีมู่แสดงการปรุงยา ที่เจ้าลุกออกไปกลางคันเป็นเพราะรู้อะไรใช่หรือไม่” จักรพรรดิทรงลองถามหยั่งเชิง
“เพคะ ข้าได้เรียนรู้จากเซียนนักปรุงยาอีมู่จริงๆ เขาช่วยคลี่คลายความสงสัยของข้าได้ดีทีเดียว” หลิวหลีบอกว่าตนเองได้เรียนรู้จากนักปรุงยาผู้ที่ปรุงยาได้คราวละมากๆผู้นั้น นางเป็นเด็กซื่อตรง เมื่อเรียนรู้จากอีกฝ่ายก็ยอมรับแต่โดยดี
“ในเมื่อได้ความรู้ เช่นนั้นทำไมไม่ดูจนจบ” องค์จักรพรรดิทรงถามต่อ เพราะเขามั่นใจว่าหลิวหลีไม่ได้โกหก
“เพราะช่วงหลังไม่ได้จำเป็น หากมีอาจารย์หลอมอาวุธ อาจารย์ทำยันต์ อาจารย์ค่ายกล ที่เก่งกาจหลายๆท่านแล้วมีผู้ที่รู้เรื่องการปรุงยาเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเป็นนักปรุงยาที่ปรุงยาออกมาคราวละมากๆได้แล้ว แต่หากผู้เชี่ยวชาญในทั้งสามสิ่งนี้นำสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญผสมผสานเข้าด้วยกัน นั่นแหละถึงจะเป็นเรื่องที่ยากเย็น” หลิวหลีอธิบาย
“เจ้าหมายความว่าฝีมือในการปรุงยาของเซียนนักปรุงยาอีมู่อยู่แค่ในระดับเริ่มต้นหรือเรียกว่ามีความรู้เรื่องการปรุงยาแค่เพียงประปรายเท่านั้นหรือ?” จักรพรรดิทรงรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัวเล่น
“เพคะ เซียนนักปรุงยาอีมู่โชคดีมาก เตาปรุงยาของเขาน่าจะมาจากผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่ง คนผู้นั้นมีความรู้รอบด้าน เพียงแต่หากว่าฝีมือการปรุงยาของเซียนนักปรุงยาอีมู่คงที่ไม่มีการพัฒนาแล้วนล่ะก็ แน่ใจได้เลยว่าเขารู้เรื่องการปรุงยาเพียงผิวเผินเท่านั้น” หลิวหลีกล่าวพร้อมพยักหน้า แล้วอธิบายโครงสร้างของเตาปรุงยา และยังไม่ลืมชื่นชมผู้เชี่ยวชาญท่านนั้น เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่รู้ทุกอย่างเพียงแต่ไม่เก่งอะไรสักอย่าง คงจะไม่มีเรื่องที่ชำนาญจริงๆ
“เป็นเพราะเตาปรุงยาจริงๆ” จักรพรรดิทรงเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
“หลิวหลี ช่างรอบรู้” จักรพรรดิทรงชื่นชม
“ไม่เลย ข้าแค่ปรุงยาได้เท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าของบางอย่างข้ามองแค่ปราดเดียวก็มองออกแล้ว” หลิวหลีก็พูดไม่ถูกเช่นกัน ทั้งๆที่นางดูเพียงแค่คร่าวๆเท่านั้น ก็สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบของมันได้
คงจะเป็นพรสวรรค์กระมัง ถึงองค์จักรพรรดิทรงไม่พูดออกมา แต่ในใจก็คิดเช่นนี้
“หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว หลิวหลีขอตัวก่อน” หลิวหลีไม่ชื่นชอบที่ต้องอยู่เฉยๆนัก นางจึงเอ่ยปากเพื่อเตือนสติอีกฝ่าย
“ไปเถอะ”
นอกจากนี้พวกอวิ๋นเฟยก็เป็นตัวแทนหลิวหลีไปมอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับเจ้าตำหนักทุกท่านและผู้อาวุโสทั้ง 10 คน ปฏิกิริยาของทุกคนต่างตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ณ ดินแดนอสูรเทพ ผู้นำของทั้งห้าสกุลก็กำลังตีกับอสูรเทพ
“ตาแก่หลง ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญ มีลูกหลานสกุลหลงของเจ้าบรรลุเป็นเซียน และยังมีความสามารถโดดเด่นอีกด้วย แล้วเจ้าจะตีข้าทำไม” บรรพชนเผ่ามังกรกล่าว
“ตีเจ้าหรือ ที่ข้าตี นี่เบาไปด้วยซ้ำ ลูกหลานเก่งกาจขนาดนี้ บรรลุเป็นเซียนมาตั้ง 500 ปี แต่เจ้าเพิ่งจะมาบอกข้า เอ๋าเฟิงเจ้านี่”
“หลงเฟยหยาง เจ้าควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ข้ามาบอกเจ้า” เอ๋าเฟิงหลบไปเถียงไป
“พอเลย เพราะพวกเจ้าเข้มงวดกับเด็กสามคนขนาดนั้น พวกเขาจะคิดถึงคู่พันธสัญญาของตัวเองก็เป็นเรื่องปกติ” หลงเฟยหยางหยุดมือแล้วพูดขึ้น
“ได้ยินเด็ก 3 คนนั้นบอกมาว่า ลูกหลานของเจ้ามีความสามารถโดดเด่นเป็นอย่างมาก ตอนอยู่โลกเบื้องล่างก็เป็นถึงผู้ถูกเลือกอัจฉริยะ อายุไม่ถึง 500 ปีก็บรรลุเป็นเซียน แถมเจ้าน่ะก็ถือว่าฉกฉวยผลประโยชน์มาจากคนอื่น” เมื่อคนทั้งสองทะเลาะกันเสร็จพวกเขาก็นั่งดื่มชาพูดคุยกัน
“ฉกฉวยประโยชน์ ข้าไปฉกฉวยผลประโยชน์จากใครมาหรือ” หลงเฟยหยางกล่าว
“ฉกฉวยผลประโยชน์จากใครน่ะหรือ ก็จากตาแก่จ้าน พ่อของนังหนูคนนั้นเป็นคนสกุลจ้าน แต่ถูกทายาทของเจ้าฉกฉวยผลประโยชน์ไป” เอ๋าเฟิงกล่าว
“ในนั้นมีเรื่องราวอะไรเกิดชึ้นหรือ?” หลังจากหลงเฟยหยางฟังแล้วจึงพูดขึ้น
“มีสิ ค่อนข้างจะน่าสนใจทีเดียวล่ะ เป็นอย่างไรล่ะ เฟยหยางเจ้าไปลูกหลานของเจ้าเถอะ ตอนนั้นฮัวฉีเองก็อยู่ด้วย อีกอย่างลูกหลานของเจ้าคนนี้ ตอนอยู่โลกเบื้องล่างสามารถทำพันธสัญญากับอสูรเทพได้ถึง 2 ตัว แถมทำพันธสัญญากับกิเลนเสียด้วย ถึงแม้นังหนูจะแซ่หลง แต่ฮัวฉีจะบอกคนในสกุลจ้านหรือไม่นั้น ข้าเองก็ไม่รู้ได้ อีกอย่างถ้าหากนังหนูเกิดรู้สึกดีกับสกุลจ้านในโลกเซียนล่ะก็ ไม่รู้แน่ว่านางจะยอมเข้ารายชื่อบ้านสกุลก็เป็นได้” เอ๋าเฟิงพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“ข้าจะไปหานางเดี๋ยวนี้” หลงเฟยหยางรู้สึกว่าต้องรีบไปหานางทันที เอ๋าเฟิงพูดถูก เรื่องนี้ก็เป็นไปได้อย่างมากทีเดียว
“ช้าก่อน นังหนูคนนั้นชื่ออะไร” เกือบลืมถามเรื่องสำคัญขนาดนี้อย่างชื่อของอีกฝ่าย
“หลงหลิวหลี” เอ๋าเฟิงกล่าว หลงเฟยหยางพูดจบก็เตรียมตัวเพื่อไปหาจักรพรรดินภาเพลิง ลูกหลานของเขาโดดเด่นเก่งกาจเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเจ้าตำหนักใดตำหนักหนึ่งก็เป็นได้
“หึหึ ตาแก่ ข้ายังพูดไม่จบ สกุลจ้านน่ะไม่น่าจะมีหวังอะไรแต่ที่น่าจะมีความสุขกับเรื่องนี้ที่สุดเห็นจะเป็นสกุลหนานกง” เอ๋าเฟิงพูดอย่างเจ้าเล่ห์
ณ บ้านสกุลหนานกง บรรยากาศสงบสุขมาก
“เฟิ่งซาน เจ้าบอกว่าลูกหลานของสกุลหนานกงเรา เก่งกาจอย่างยิ่งจนบรรลุเป็นเซียนแล้วหรือ แต่เพราะอายุน้อยจนเกินไปจึงไม่รู้ว่ามีสกุลหนานกงอยู่ที่โลกเซียนเช่นกันหรือ?” หนานกงเฉินพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
“ใช่ ได้ยินมาว่าตอนนี้อายุยังไม่ถึงพันปี และยังเป็นร่างวิญญาณเหมันต์ที่หาได้ยาก คาดว่าเด็กคนนี้น่าจะอยู่ที่ดินแดนนภาธารา” เฟิ่งซานกล่าว
“สกุลหนานกงเรา มีอัจฉริยะที่โดดเด่นขนาดนี้เชียวหรือ เฟิ่งซาน ขอบคุณเจ้ามากเลย”หนานกงเฉินตื่นเต้นอย่างมาก อัจฉริยะที่อายุยังไม่ถึงพันปี
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เจ้าก็รู้นี่ว่าเฟิ่งอิงเสวี่ยหนึ่งในเด็กสามคนนที่บรรลุเซียนมาดินแดนอสูรเทพ เดิมเคยเป็นคู่พันธสัญญาของลูกหลานที่เก่งกาจคนนั้นของเจ้า” เฟิ่งซานกล่าวต่อ
“ถ้าเช่นนั้น รู้หรือไม่ว่าลูกหลานคนนั้นของข้ามีชื่อว่าอะไร”
“หนานกงเวิ่นเทียน”
“หนานกงเวิ่นเทียน เวิ่นเทียน ชื่อไม่เลวเลยจริงๆ” หนานกงเฉินยังไม่ทันเจอตัว ก็รู้สึกพออกพอใจในตัวคนรุ่นหลังผู้นี้อย่างมาก
“ข้าขอบอกข่าวดีอีกอย่างกับเจ้า ข้าเดาว่าเอ๋าเฟิงจอมเจ้าเล่ห์คนนั้นต้องไม่บอกหลงเฟยหยางแน่ ”
“หืม? มีข่าวดีด้วยหรือเนี่ย เรื่องอะไรกัน” หนานกงเฉินถามอย่างสงสัย
“ลูกหลานของเจ้าคนนั้นมีคู่ครองที่มีความสามารถโดดเด่นไม่แพ้กัน บรรลุเป็นเซียนพร้อมกัน นางเป็นคนสกุลหลง และสกุลหลงก็กำลังตามหานางอยู่เช่นกัน” เฟิ่งซานกล่าว
“มีสะใภ้แล้วแถมยังเป็นคนสกุลหลง ดีจริงๆ” หนานกงเฉินดีใจอย่างยิ่ง ทว่าก่อนนี้ยิ่งเขาดีใจขนาดไหน อนาคตก็ยิ่งต้องเสียใจเท่านั้น
“ใช้ได้เลย เด็กคนนั้นเป็นทายาทสกุลจ้านและสกุลหลง และยังมีเรื่องผิดใจกันเล็กน้อย ไว้จะเล่าให้เจ้าฟังภายหลัง แต่ตอนนี้หาเด็กทั้ง 2 คนนั้นให้เจอก่อน” เฟิ่งซานกล่าว
“จริงด้วย ลูกหลานของข้ามีความสามารถขนาดนั้น คาดว่าคงมีตำแหน่งที่วังนภาเพลิงแน่ ข้าจะลองไปถามจักรพรรดินีแห่งนภาธาราดู” หนานกงเฉินค่อนข้างมั่นใจ เพราะฟังจากที่เฟิ่งซานพูด ก็พอจะรู้แล้วว่าลูกหลานคนนี้มีความสามารถมากแค่ไหน ไม่แน่อาจจะเป็นเจ้าตำหนักใดเจ้าตำหนักหนึ่งก็เป็นได้
ณ สกุลจ้าน ฮัวฉีกับจ้านเซิ่งมีสีหน้าบึ้งตึง
“ฮัวฉี เจ้าเล่ามาหน่อย ลูกหลานของข้าในโลกเบื้องล่างทำเรื่องโง่เง่าอะไรอีก ทำไมเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นขนาดนั้นถึงไม่อยู่ในรายชื่อสกุลจ้าน” จ้านเซิ่งปวดใจน้อยๆ เด็กคนนี้เก่งกาจ เก่งจนเขาต้องหัวเสียที่ไม่ได้เด็กผู้นี้ร่วมสกุล ผลคือทายาทของเขาที่โลกเบื้องล่างไปยั่วโทสะนางจนอยากจะตัดขาดกันขนาดนี้
“โลกเซียนแตกต่างจากโลกเบื้องล่าง อาเซิ่งเจ้าลองหาวิธีดู ไม่แน่นังหนูคนนั้นอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” ฮัวฉีกล่าว
“คงทำได้เพียงเท่านี้ ข้าไปเข้าเฝ้าจักรพรรดินภาเพลิงก่อนแล้วกัน ไม่แน่ว่าอาจทรงจะรู้อะไรมา” จ้านเซิ่งกล่าว
ณ วังนภาเพลิง จักรพรรดิกำลังหมุนขวดหยกในมือไปมา อยู่ๆเครื่องรับข้อความก็มีแสงส่องสว่าง หืม หัวหน้าบ้านสกุลหลงมีอะไรจึงติดต่อมาหาเขา
“จักรพรรดินภาเพลิง”
“ผู้นำสกุลหลง เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“ฝ่าบาท ใน 500 ปีมานี้มีผู้บำเพ็ญจากโลกเบื้องล่างบรรลุเป็นเซียนขึ้นมาหรือไม่” หลงเฟยหยางพูดเข้าประเด็นในทันที
“มีหลายคนเลยทีเดียว” จักรพรรดินภาเพลิงตรัส หรือจะมีลูกหลานสกุลหลงบรรลุเป็นเซียนมายังดินแดนของเขาหรือ?
“ที่นั่นมีผู้บำเพ็ญหญิงนามหลงหลิวหลีหรือไม่”
“หลิวหลี” มือจักรพรรดิชะงักนิ่ง ทำไมชื่อนี้ถึงได้เหมือนชื่อของเจ้าของตำหนักเวิ่นเทียนที่เพิ่งจะออกไปเมื่อครู่ คงไม่บังเอิญขนาดนั้นใช่ไหม
“กระหม่อม ได้ยินมาว่าอายุยังไม่ถึงพันปี”
“ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าแล้วกัน”
“รบกวนองค์จักรพรรดิด้วย”
จากนั้นจ้านเซิ่งก็ถามคำถามเดียวกัน ทำให้จักรพรรดิทรงประหลาดใจอย่างมาก สกุลจ้านเองก็อยากร่วมวงด้วยหรือนี่ และแทบจะในเวลาเดียวกัน จักรพรรดินีนภาธาราก็ทรงได้รับการติดต่อจากฝั่งสกุลหนานกง เพื่อมาตามหาคนที่ชื่อหนานกงเวิ่นเทียน
“เฮ้อ นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เก่งกาจขนาดนั้นจะเป็นคนของทั้งห้าสกุลแห่งดินแดนอสูรเทพ น่าเสียดายจริงๆ แต่นังหนูคนนี้ไม่ซื่อตรงเลยจริงๆ บอกข้าว่านางชื่อหลงหลิวหลีก็จบแล้ว” องค์จักรพรรดิก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“นึกไม่ถึงเลยว่าเวิ่นเทียนจะเป็นคนของสกุลหนานกง กว่าวังนภาธาราของข้ากว่าจะมีเจ้าตำหนักชายได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย” จักรพรรดินีก็ตรัสอย่างเศร้าสร้อย