แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 230 กลับวังนภาเพลิง
“ได้เวลากลับไปแล้ว นี่ก็นานมาแล้ว การประลองระหว่างตำหนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้น” หนานกงเวิ่นเทียนลองคำนวณเวลาแล้วจึงเอ่ยขึ้น ในช่วงหลายร้อยปีนี้ เขากับหลิวหลีใช้เวลาหมดไปกับการแช่บ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์ ทั้งบำเพ็ญคู่และบำเพ็ญเพียรจนพลังบำเพ็ญเพียรคงที่อยู่ในขั้นเทพเซียนสุวรรณนภา เพียงแต่พอนึกถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งของหลิวหลี เขาต้องกลับไปหาเคล็ดวิชาเพื่อใช้ฝึกฝนร่างกาย
“อืม ถึงเวลาต้องกลับไปแล้ว มีตำหนักเซียนอยู่ พวกเราสามารถเจอกันได้ตลอดเวลา” สิ่งที่หลิวหลีพอใจที่สุดคือตำหนักเซียนแห่งนี้ ถึงตัวจะอยู่ไกลกัน แต่หากอยากจะพบกันใช้เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น
“ไปบอกลาผู้อาวุโสกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ควรต้องทำเช่นนั้น” หลิวหลีก็เห็นด้วยเช่นกัน
หลิวหลีพกยาเซียนศักดิสิทธิ์ที่ตัวเองปรุงไปด้วย โดยใช้พืชเซียนที่เติบโตอยู่ข้างๆบ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางเป็นส่วนประกอบ จึงมีประสิทธิภาพดีจนคนที่ได้รับจะต้องตกตะลึง พวกเขาต่างรู้ดีว่าหลิวหลีเป็นนักปรุงยา แต่นึกไม่ถึงว่านังหนูจะสามารถปรุงยาได้สุดยอดขนาดนี้
กลับไปก็รวดเร็วมากเช่นกัน วังนภาเพลิง จักรพรรดิสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามา
“องค์จักรพรรดิ หลิวหลีกลับมาแล้วเพคะ” หลิวหลีเปิดปากเอ่ย
“หลิวหลีนี่เอง พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้วหรือ” จักรพรรดิพอใจอย่างมากแต่ก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของนาง และขมวดคิ้วมุ่นเมื่อพบว่าจุดพรหมจรรย์ของนางหายไป แต่ว่ากลิ่นอายกลับบริสุทธิ์อย่างมาก นังหนูคงบำเพ็ญร่วมกับสามีของนาง เฮ้อ คนเก่งๆในวังนภาเพลิงของเขาทำไมถึงไร้ความสามารถไปเสียได้
“เพคะ” หลิวหลียอมรับอย่างเปิดเผย
“กลับไปเถอะ การประลองระหว่างตำหนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทำให้เต็มที่แล้วกัน” จักรพรรดิโบกมือบอกให้หลิวหลีออกไป น่าจะเป็นเพราะการบำเพ็ญร่วมจึงทำให้พลังบำเพ็ญเพียรบรรลุเข้าขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้วยังเป็นนักปรุงยา คิดว่าพลังบำเพ็ญเพียรน่าจะเพิ่มขึ้นแต่ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก
“เพคะ องค์จักรพรรดิ” หลิวหลีเดินออกมา นางอยากจะกลับไปเจอคนตำหนักเวิ่นเทียนของนางแล้วเหมือนกัน
ณ ตำหนักเวิ่นเทียน ทุกอย่างยังคงปกติ ปัญหาเรื่องยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ระหว่างตำหนักเวิ่นเทียนกับเซียนนักปรุงยาอีมู่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะข่าวเรื่องตำหนักเวิ่นเทียนมีนักปรุงยาประจำตำหนักเผยแพร่ออกไป แถมคุณภาพของยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็ดีกว่ายาของเซียนนักปรุงยาอีมู่ ทุกคนต่างเล่าเรื่องนี้กันไปทั่ว แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่าเดิมคือ เซียนนักปรุงยาของตำหนักเวิ่นเทียนเป็นเพียงแค่เซียนธรรมดาเท่านั้น แต่ก็มีคนขุดเรื่องราวเก่าๆในโลกเบื้องล่างที่เขาเป็นอาจารย์ของเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน เรื่องนี้ก็เลยจบไป ไม่เช่นนั้นไม่ว่าตำหนักไหนก็ไม่มีใครยอมรับเซียนธรรมดา
วันนี้อวิ๋นเฟยจึงรู้สึกดีเป็นพิเศษ
“อวิ๋นเฟย ดูเหมือนว่าวันนี้เจ้าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” ชิงหลิ่วจัดการธุระของตัวเองเสร็จ ก็พบว่าใบหน้าเซียนอวิ๋นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม น่าประหลาด เซียนอวิ๋นของพวกเขาตั้งแต่ที่เจ้าตำหนักหลิวหลีกลับมา ก็เริ่มทำตัวเหมือนนางเข้าไปทุกวัน ใบหน้าเรียบเฉยตลอดเวลา
“รู้สึกเหมือนวันนี้จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น” อวิ๋นเฟยหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“อ่อ เป็นเรื่องดี นายท่านกลับมาแล้วใช่หรือไม่” ชิงหลิ่วแซว
“จริงหรือ พวกเราใจสื่อถึงกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงขนาดรู้สึกได้ว่าข้ากลับมาแล้ว” เสียงของหลิวหลีลอยมาจากด้านข้าง คนทั้งสองยินดี แต่ก็เห็นตราประทับสีทองเข้มบนหน้าผากหลิวหลี
“นายท่าน พลังบำเพ็ญเพียรของท่านอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้ว” อวิ๋นเฟยตกใจน้อยๆ
“ใช่” หลิวหลียอมรับอย่างเปิดเผย
“นายท่าน ท่านบำเพ็ญเพียรอย่างไรหรือ” อวิ๋นเฟยกับชิงหลิ่วไม่รู้สึกประหลาดใจอีกแล้ว เหลือเพียงแต่ความรู้สึกตกใจ เพิ่งจะพันปีเท่านั้นก็กลายเป็นเทพเซียนสุวรรณนภาแล้ว
“บำเพ็ญร่วมสิ” หลิวหลียอมรับอย่างตรงไปตรงมา
เพียงแต่วิธีนี้ทำให้ทั้งสองคนหน้าแดง ทำไมถึงเป็นวิธีแบบนี้ คงไม่ได้แกล้งหลอกพวกเขาเล่นกระมัง
“พวกเจ้าไม่เชื่อหรือ ข้าพูดเรื่องจริง” หลิวหลีเห็นว่าทั้งสองคนไม่เชื่อ จึงพูดขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ นางเพิ่งจะจากมาไม่นานแต่ก็คิดถึงสามีของนางแล้วทำอย่างไรดี
ณ วังนภาธารา หนานกงเวิ่นเทียนเข้าเฝ้าจักรพรรดินีซึ่งก็ทรงพบว่าจุดพรหมจรรย์ของหนานกงเวิ่นเทียนหายไปเช่นกัน และพลังบำเพ็ญเพียรก็เพิ่มขึ้นไปอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภา ย้อนนึกถึงคนสกุลหนานกงที่เคยมาหา บอกว่าฮูหยินของเขาสกุลหลง คาดว่าคนบ้านสกุลหลงก็คงหานางจนเจอ และทั้งคู่คงได้เข้าหอกัน เมื่อนึกถึงลูกสาวทั้งสามคนที่มัวเมาในความรัก เฮ้อ ความรักของพวกนางคงต้องสลายไป
ณ วังนภาเพลิง บรรยากาศเต็มไปด้วยความยินดี นายท่านของพวกเขากลับมาแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภา ทุกคนต่างฮือฮา รู้สึกว่าในอนาคตมีหวัง อันดับในการประลองระหว่างตำหนักจะต้องอยู่อันดับต้นๆแน่
“ทุกท่าน ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ ต้องลำบากพวกท่านแล้ว ยกของพวกนี้ให้พวกเจ้า ดูลำดับให้ดีๆก่อนจะกินล่ะ” หลิวหลีมอบขวดหยก 3 ชิ้นให้กับขุนนาง
“ขอบคุณนายท่าน” ถึงพวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของหลิวหลีนัก แต่ก็รับขวดยามา และเมื่อเปิดฝาขวดยาก็พบว่าด้านในมีกลิ่นหอมลอยออกมา
“ของสิ่งนี้ทำมาจากพืชเซียนที่ข้ากลับบ้านแล้วบังเอิญไปเจอ พลังบำเพ็ญเพียรต่ำเกินไปจะไม่สามารถทนรับประสิทธิภาพของยาเซียนศักดิ์สิทธิ์นี้ได้” หลิวหลีพูดอธิบาย
พวกเขาเข้าใจขึ้นมาทันที ของรางวัลนี้ไม่ใช่ว่าใครจะทนฤทธิ์มันไหว
“นอกจากนี้ ทหารสวรรค์ทุกคนก็ลำบากเช่นกัน นี่ของพวกเจ้า อีกอย่าง ข้ามีเรื่องจะประกาศ”หลิวหลีแจกจ่ายยา และเมื่อเจียงหรูชวนเปิดดูเพื่อดูแตกต่างระหว่างยาเซียนของเขาและของศิษย์ เพื่อจะได้พัฒนาตนเอง
“ทุกปีข้าจะได้รับเพลิงเซียน 10 ดวง ข้าคิดว่าอาจารย์ข้าใช้เพลิงเซียนเพียงดวงเดียวต่อปีก็เพียงพอ ไม่เพียงแต่ปรุงยาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นค่ายกล ยันต์ ลายศักดิ์สิทธิ์ เขตต้องห้าม หรือความถนัดอื่นๆ ต่างก็สามารถมาใช้ได้ แต่เนื่องจากคนเยอะแต่ทรัพยากรน้อย จะต้องใช้ดวงมาเป็นตัวตัดสิน ทุก 10 ปี อวิ๋นเฟยจะจับสลากหนึ่งครั้ง ดูว่าใครดวงดีจะได้เพลิงเซียนไปครอง หากอวิ๋นเฟยไม่ว่าง ก็ให้ชิงหลิ่วเป็นคนจัดการ” หลิวหลีพูดความคิดของตัวเองออกมา เมื่อมีบ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางแล้ว สำหรับนางแล้วจะมีหรือไม่มีเพลิงเซียนพวกนี้ก็ได้
“ขอบคุณนายท่าน” ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเรื่องที่เจียงหรูชวนได้เพลิงเซียนหนึ่งดวง เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นอาจารย์ของนายท่าน การที่ศิษย์กตัญญูต่ออาจารย์ก็เป็นเรื่องที่สมควร
ในตำหนักเวิ่นเทียนมีทหารสวรรค์คนหนึ่ง เขานัดแนะกับศิษย์ของเขาว่าจะเข้าร่วมตำหนักเวิ่นเทียนด้วยกัน แต่ผู้เป็นศิษย์ไม่ยินยอม จนได้ยินเรื่องจากปากอีมู่ ศิษย์ของเขากลัวว่าอาจารย์จะมาขอยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงตัดสินใจไม่พบอาจารย์อีกต่อไป จนสุดท้ายพอได้ยินว่าตำหนักเวิ่นเทียนไม่ขาดแคลนยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ ลูกศิษย์คนนั้นก็แบกหน้ามาพูดเรื่องความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์ในครั้งเก่าก่อน และขอให้อาจารย์มอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้จากตำหนักเวิ่นเทียนให้เขา แต่ก็ถูกอีกฝ่ายไล่ไป ทหารสวรรค์จำนวนไม่น้อยมีศิษย์มีอาจารย์ แต่กลับไม่มีใครที่จะมีความสัมพันธ์เหมือนนายท่านและอาจารย์ของนาง
“การประลองระหว่างตำหนักจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า ข้ามั่นใจว่าจะได้อันดับที่ดีแน่ ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง” หลิวหลีพูดอย่างตรงไปตรงมา วันนี้นางไปพบองค์จักรพรรดิ รู้สึกว่าองค์จักรพรรดิไม่แยแสอย่างชัดเจน อาจคงเป็นเพราะทรงเห็นนางเป็นเซียนนักปรุงยาที่อ่อนแอเอาชนะได้ง่าย แถมที่พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นเพราะอาศัยการบำเพ็ญร่วม ไม่ได้มีพลังทำลายล้างอะไร ไม่จำเป็นต้องป้องกัน
“พวกข้าเชื่อในตัวนายท่านอยู่แล้ว” ทุกคนประสานเสียง นายท่านมีพละกำลังเท่าไหร่ คาดว่าจักรพรรดิคงจะไม่ทรงทราบ ซึ่งในจุดนี้พวกเขาภูมิใจอย่างยิ่ง
“นายท่าน พวกข้าสงสัยอยากได้ยินคำตอบของท่าน” อยู่ๆจื่อจู๋ก็พูดขึ้น
“ถามมา” หลิวหลีพยักหน้าเพื่อบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร
“อยู่ๆหลายร้อยปีก่อนหน้านี้ก็มีเพลิงเซียนปรากฏขึ้นในโลกเซียนอีกครั้ง เป็นเพลิงอัคคีของนายท่านบรรลุขั้นอีกแล้วใช่หรือไม่” จื่อจู๋ถาม ถึงแม้เจียงหรูชวนจะยืนยันกับพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยากได้ยินจากปากนางอยู่ดี
“ก็แค่เพลิงอัคคีของข้าบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนเท่านั้นเอง นี่คือเพลิงเซียนดาราทมิฬ” หลิวหลีพยักหน้า จากนั้นเปลวเพลิงสีดำก็ปรากฏบนมือขวา ทุกคนรู้สึกอย่างรุนแรงว่าเพลิงเซียนชนิดนี้อันตรายมากกว่าเพลิงเซียนก่อนๆ ของนายท่านมากนัก
“นี่คือเพลิงเซียนดาราทมิฬหรือนี่ ช่างอันตรายจริงๆ”
“ใช่แล้ว พวกเราอยู่ห่างจากมันมากขนาดนี้ ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนของมันเลย”
หลิวหลีเก็บเพลิงดาราทมิฬ จึงเห็นดวงตาเป็นประกายของพวกขุนนางเซียนและทหารสวรรค์ที่มองนาง
“ทำไมมองข้าเช่นนี้ ข้ามีอะไรแปลกไปหรือ” เมื่อหลิวหลีมองเห็นดวงตาเป็นประกายของพวกคนในอาณัติราวได้ยินข่าวโคมลอยบางอย่าง
“นายท่าน ไม่ทราบว่าคู่ครองของนายท่านคือ” อวิ๋นเฟยรวบรวมความกล้าแล้วถามขึ้น พวกเขารู้สึกตกใจกับผลการบำเพ็ญคู่ของนางอย่างยิ่ง
“จริงๆพวกเจ้าก็รู้จักเขา ชื่อตำหนักของข้าใช้ชื่อเขาเขาเป็นเจ้าตำหนักหลิวหลีในวังนภาธารา”หลิวหลียอมรับอย่างเปิดเผย สามีของนางเก่งกาจไม่มีอะไรที่ต้องละอาย
พวกเขารู้สึกเหมือนโดนประกาศความรัก นายท่านของพวกเขาใช้ชื่อคู่ชีวิตของนางตั้งชื่อตำหนัก แล้วอีกฝ่ายก็ยังทำเช่นเดียวกัน ทำให้คนริษยาไม่น้อย
“นายท่าน ท่านคงจะไม่ไปอยู่ที่ดินแดนนภาธาราใช่หรือไม่” นางคงจะไม่หนีตามคู่ครองไปวังนภาธาราใช่หรือไม่
“ไม่ไป ข้าเป็นผู้บำเพ็ญธาตุอัคคี ไปวังนภาธาราเพื่อฆ่าตัวตายหรืออย่างไร” หลิวหลีอดกลอกตาใส่คนที่เอ่ยถามไม่ได้ แม้แต่เด็กในโลกเซียนก็ยังเข้าใจเรื่องนี้
“แหะๆ ข้าน้อยลืมไป” ทหารสวรรค์ที่พูดจับผมแก้เขิน
“เอาล่ะ แยกย้ายเถอะ” หลิวหลีกล่าว นางเองก็หวังอยากเห็นระดับฝีมือของนางในการประลองระหว่างตำหนักว่าอยู่ในระดับไหนกันแน่