แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 232 การประลองระหว่างตำหนัก (2)
“นังหนูคนนี้น่าสนใจ” จักรพรรดิไม่ได้พิโรธ แต่จู่ๆก็ทรงรู้สึกว่านังหนูคนนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายปรุงยา ไม่สิต้องบอกว่ามิใช่เซียนนักปรุงยาทั่วไป ผู้อาวุโสทั้งสิบท่านต่างปรายตามอง ที่นังหนูคนนี้กล้าพูดจาเช่นนี้กับจักรพรรดิ เพราะว่านางมีมีดินแดนอสูรเทพคอยหนุนหลังหรือ
“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นทายาทสกุลหลงในดินแดนอสูรเทพ”
“ข่าวนี้ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เจ้าตำหนักผู้นี้แข็งแกร่งจนสามารถทำพันธสัญญากับมังกรและกิเลนได้ในโลกเบื้องล่าง”
“นักปรุงยาเจียงเป็นเรื่องจริงหรือนี่?” จื่อจู๋ถามเจียงหรูชวนที่อยู่ข้างๆ
“ใช่แล้ว นังหนูเป็นคนสกุลหลงจริงๆ นางทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตบรรพกาลและราชากิเลน ตอนพลังบำเพ็ญเพียรช่วงแยกจิตก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องนางแล้ว ก่อนข้าจะบรรลุเป็นเซียน ที่โลกเบื้องล่างได้มีการจัดอันดับผู้โหดร้าย นังหนูก็ครองอันดับหนึ่ง” เจียงหรูชวนกล่าวพลางพยักหน้าขึ้น พอนึกถึงการจัดอันดับผู้โหดร้าย ตัวเขาเองก็อดหัวเราะไม่ได้ เป็นเพราะมีลูกเล่นมากมายในการรับมือกับศัตรู จึงถูกผู้บำเพ็ญมารในโลกมารตั้งฉายาให้ว่า คนใจมาร ซึ่งถือเป็นเรื่องที่นางปวดใจมาโดยตลอด
“เจ้าตำหนักของพวกเราโหดร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ” อวิ๋นเฟยปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่บนหน้าผาก เมื่อมองท่าทางไร้พิษไร้ภัยของเจ้าตำหนัก ใครจะไปคิดว่าจะมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ นี่คือหมาป่าในคราบลูกแกะชัดๆ
“ไม่หรอก ลูกศิษย์เป็นคนจิตใจเมตตา คนที่นางสังหารไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ต่างเป็นคนชั่วร้ายกันทั้งนั้น นางเคยคิดค้นอาวุธชื่อระเบิดอัสนีเพลิง ที่มีพลังทำลายล้างสูง แต่เมื่อสงครามจบลงนางก็ทำลายของพวกนั้นทิ้ง ทำให้ตาเฒ่าพวกนั้นปวดใจไปพักใหญ่ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรก็ทำไม่ได้” ส่วนระเบิดอัสนีเพลิง นังหนูรู้สึกว่าเป็นการฝืนธรรมชาติ นางจึงไม่ยอมใช้ง่ายๆ คนพวกนั้นไม่รู้ว่า องค์จักรพรรดิทรงได้ยินคำพูดทุกคำของพวกเขา ทรงทอดเนตรมองหลิวหลี เหมือนทรงมองนางผิดไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อให้นังหนูไม่บำเพ็ญร่วม ก็สามารถบรรลุเป็นขั้นเซียนสุวรรณนภาได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาเองก็อยากจะเห็น คนวาสนาดี คนนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้วังนภาเพลิง
การประลองบนเวทีก็เข้าสู่ช่วงดุเดือด ผลแพ้ชนะก็ปรากฏขึ้นแค่เพียงพริบตาเดียว
“องค์จักรพรรดิ ไม่ทราบว่าพระองค์จะประทานรางวัลอะไรให้หลิวหลีหรือเพคะ” หลิวหลีมององค์จักรพรรดิ นางสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน นางบอกแล้วว่านางจะชนะ ก็ยังอยากจะท้าพนันกับนาง เฮ้อ ทั้งๆที่นางไม่อยากได้ แต่ในเมื่อจะยัดเยียดให้นางให้ได้ นางจะรับไว้แล้วกัน
“ฮ่าฮ่า นังหนู ช่างน่าสนใจจริงๆ” จักรพรรดิหัวเราะเสร็จ ก็โยนของให้หลิวหลี และเมื่อการประลองสิ้นสุดลง ก็เป็นไปตามที่หลิวหลีพูด ผู้ชนะในรอบนี้ก็คือ เหลยจ้าน หงซวี่ เหลยเซียว ไป๋อี้
“เจ้าตำหนักหลิวหลี เจ้าใช้พวกข้าวางเดิมพัน รางวัลที่ท่านได้ก็ควรจะแบ่งพวกข้าด้วยกระมัง” เหลยจ้านเห็นหลิวหลีได้ของบางอย่างจักรพรรดิจึงกระเซ้าผู้เป็นนาย
“เจ้าตำหนักหลิวหลี พวกข้าโดนทำร้ายจิตใจ พวกข้าก็ควรจะได้รับอะไรชดเชยหน่อยสิ” มู่หยางเดินพลางพูดกระเซ้า
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะชนะหรือแพ้ ข้าก็ต้องเสียทรัพย์อยู่ดี เอาเถอะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าทำให้ข้าได้ชมการแข่งขันที่ตื่นตา นี่ มีส่วนของทุกคน” หลิวหลีไม่อิดออดโยนขวดหยกแปดขวดให้พวกเขาทันที
“ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องขอบคุณเจ้าตำหนักหลิวหลีด้วย” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก หากข้าเป็นพวกเจ้าจะกินทันที นี่เป็นยาฟื้นฟูที่ข้าปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ หากเชื่อใจข้าจงกินเข้าไปได้แล้ว ประสิทธิภาพของมันจะทำให้ทุกคนต้องติดใจ” หลิวหลีขยิบตาอย่างซุกซน กลายเป็นว่านางทรงสเน่ห์จนกระทั่งหงซวี่กับหวั่นฉิงที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเหมือนกันยังตกหลุมสเน่ห์ จนกินยาของอีกฝ่ายอย่างไม่อิดออด ทั้งสองคนตื่นตระหนกน้อยๆ สรรพคุณของยานี้ไม่ได้มีส่วนเกินเลยใดแม้แต่น้อย เก่งจริงๆ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแท้ๆ แต่กลับทำให้คนตกหลุมรัก หงซวี่กับหวั่นฉิงหน้าแดงอย่างอดไม่ได้ ส่วนผู้บำเพ็ญชายหกคนที่เหลือต่างก็ตกใจกับสรรพคุณของยา และกินมันเข้าไปอย่างไม่อิดออด จึงได้พบว่าผู้บำเพ็ญหญิงทั้งสองคนตรงหน้าไม่ได้ชื่นชมเพราะรูปโฉมของผู้ปรุงยา แต่เป็นเพราะปะสิทธิภาพนั้นดีจริงๆ
“นึกไม่ถึงเลยว่าหลิวหลีจะปรุงยาได้เก่งขนาดนี้” มู่หยางก็เป็นเซียนนักปรุงยาเช่นกัน จึงรู้ดีที่สุด
“จะทำอย่างไรได้ ใครให้มีคนหาเรื่องไม่ยอมมอบยาให้ตำหนักเวิ่นเทียนของข้า หากข้าไร้ความสามารถ จะดูแลคนของข้าได้อย่างไร” หลิวหลีแบมือออกทั้ง 2 ข้างด้วยท่าทีใสซื่อ ทำให้อีมู่ที่ร่วงจากตำแหน่งของเขาไปไม่น้อย ก็ชักสีหน้า ใครจะไปนึกว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีจะเก่งกาจเช่นนี้ ฝีมือในการปรุงยาของนางแทบจะเป็นการเหยียบหน้าเขาให้จมดิน
“เจ้าตำหนักหลิวหลี พรสวรรค์ของเจ้าช่างน่าตกใจ เจ้าควรจะขอบคุณเขาสิ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ประสบความสำเร็จเช่นนี้” หวั่นฉิงหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“พูดเช่นนี้ก็ถูก แต่เขาจะรับคำขอบคุณของข้าไหวหรือ” หลิวหลีส่งสายตาดูถูกอย่างเปิดเผย ทำให้สีหน้าของอีมู่เปลี่ยนจากแดงเป็นซีด แล้วก็ซีดเป็นแดง
ทุกคนต่างรู้ดี ว่ายาเซียนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดานั้น อาจารย์ในขั้นเซียนธรรมดาของนางก็สามารถปรุงได้ ส่วนนางเองนั้นสามารถปรุงยาระดับสูงได้ ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรที่สูงที่สุดในตำหนักเวิ่นเทียนคือขั้นเทพเซียนสุวรรณนภา ส่วนยาศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับสูงกว่านี้ แค่รอพลังบำเพ็ญเพียรของนางสูงกว่านี้ก็จะสามารถปรุงได้ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้าเซียนนักปรุงยานิสัยไม่ดีบางคน
ถึงผู้อาวุโสจูจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจเห็นด้วยอย่างมาก ช่างเป็นการฉีกหน้าได้ประจวบเหมาะจริงๆ ไม่รู้ว่าอีมู่จะอยู่ในวังนภาเพลิงต่อไปไหวหรือไม่ ในเมื่อเตาปรุงยาของเขาถูกแฉแล้ว เป็นอย่างที่เจ้าตำหนักหลิวหลีพูดไว้ เป็นการผลิตยาในปริมาณมากแต่คุณภาพต่ำ จึงไม่ได้มีคุณค่าอะไร ผู้อาวุโสจูรู้สึกว่าตนเองมีที่พึ่งแล้ว รอการประลองจบก่อนเถอะ เขาจะใช้โอกาสนี้เพื่อมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับนาง ไม่ว่าเจ้าตำหนักท่านนี้จะได้อันดับใดก็ตาม
จักรพรรดิเองก็ทรงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างที่โดดเด่นของยาศักดิ์สิทธิ์ที่นางปรุงขึ้นเช่นกัน ขนาดมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
“เอาล่ะ เจ้าตำหนักทั้งสี่ที่แพ้การประลองจับสลากเพื่อจัดอันดับในการแข่งขัน เจ้าตำหนักหลิวหลี ท่านไปอยู่ในตำแหน่งอันดับห้า” ผู้อาวุโสจูกล่าว
หลิวหลีเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่การตัดสินครั้งสุดท้าย แต่ไม่เปลี่ยนลำดับได้เลย จะฉีกหน้ากันเร็วเกินไปหรือเปล่า อย่างไรเสียนางก็ได้อันดับที่ 5 ด้วยการจับสลากว่าง หลิวหลีคิดได้แล้วจึงนั่งลง
ผลการจับสลากรอบใหม่ มู่หยางสู้กับปู๋พั่ว หวั่นฉิงสู้กับมู่เหยียน อันดับที่ 6-9 กำลังจะเกิดขึ้น
“หลิวหลีเจ้าคิดว่าอันดับจะออกมาอย่างไร?” หงซวี่ถามหลิวหลีที่อยู่ข้างๆนาง
“อันดับ?” ที่นี่ไม่ใช่เกม Honor of Kings ไม่สามารถร่วมมือกันได้ อยู่ๆความคิดของหลิวหลีก็ออกนอกลู่นอกทางไปไกล
“ใช่ หลิวหลีคิดว่าทั้ง 4 คน จะอยู่อันดับใดบ้าง?” หงซวี่พูดอย่างใจเย็น นางไม่อยากจะโมโหใส่คุณชายตัวปลอมท่านนี้ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ทำไมหลิวหลีจึงมีความสง่างามเช่นนี้ น่าอิจฉาจริงๆ
“อืม ให้ข้าเดาน่ะหรือ หงซวี่จะพนันกับข้างหรือ” หลิวหลีกล่าวขณะมองหงซวี่ นางเป็นบุตรสาวของจักรพรรดิ ทำไมถึงได้ชอบวางเดิมพันเหมือนบิดาของตนเองเช่นนี้นะ ดวงในการพนันก็แย่เหลือล้น หากว่าหงซวี่เป็นผู้สืบทอดวังนภาเพลิงในอนาคต คงไม่ต้องพูด ทรัพย์สมบัติของวังนภาเพลิงน่าจะหมดแน่
ดูสิ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนเสนอก่อนแต่กลับโทษคนนี้ คงไม่มีใครกล้าพูดเต็มปากเต็มคำเช่นนี้หากไม่ใช่คนแบบหลิวหลี
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าบอกการคาดเดาของเจ้าออกมา แล้วของสิ่งนี้ก็จะเป็นของเจ้า” หงซวี่หยิบของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วพูดขึ้น คนที่รู้ว่าคืออะไรก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก หงซวี่ถึงขนาดเอาของที่จักรพรรดิก็ไม่ได้ครอบครองมาเดิมพันหรือนี่ จักรพรรดิถึงกับประหลาดใจน้อยๆแล้วเริ่มมีสีพระพักตร์ไม่ดีนัก ลูกสาวของเขาคงจะไม่ได้ชอบคุณชายปลอมคนนี้ใช่ไหม ให้นางแต่งหญิงเสียยังดีกว่า ทำไมแต่งเป็นบุรุษแล้วถึงได้หายนะแบบนี้
“ของสิ่งนี้คืออะไร?” หลิวหลีกดเสียงกรีดร้องของเพลิงหยินหยางในร่างกายให้สงบลง ของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อนางแน่ๆ
“ต่อไปหากหลิวหลีมีเพลิงเซียน สามารถใช้ของสิ่งนี้เพื่อให้เพลิงเซียนบรรลุขั้นได้ ชื่อของมันคือหินจรัสแสง ในโลกบำเพ็ญมีอยู่ไม่กี่ก้อนเท่านั้น” หงซวี่กล่าว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วกัน” หลิวหลียิ้มอย่างสดใส คลี่พัดโบกไปมา แกล้งทำเป็นวางท่า ทำให้ผู้บำเพ็ญหญิงทุกคนหน้าแดงอีกครั้งได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงหงซวี่กับหวั่นฉิงเช่นกัน จนผู้บำเพ็ญชายที่เหลือก็เริ่มพิจารณาว่าควรไปหาพัดมาใช้บ้างดีไหม ซึ่งจากนั้นไม่นานในดินแดนนภาเพลิงก็เกิดกระแสนิยมใช้พัด และยังแพร่ไปยังดินแดนอื่นๆด้วย
“หลิวหลียังไม่บอกลำดับเลย หงซวี่คาดคั้นต้องการคำตอบ
“มู่หยาง ปู๋พั่ว หวั่นฉิง มู่เหยียน” หลิวหลีตอบอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าปู๋พั่วที่มักจะรั้งท้าย ครั้งนี้จะอยู่ในอันดับที่ 7
“ข้าเดาว่า มู่หยาง หวั่นฉิง ปู๋พั่ว มู่เหยียน” หงซวี่บอกการเดาของตนเอง
หลังจาเดาอันดับแล้ว บนเวทีก็เริ่มประลองทันที หลายคนที่รู้ผลการคาดเดาของหลิวหลี ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอ หากว่าหลิวหลีทายถูกอีกครั้งล่ะก็ คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ต้องมีสาเหตุแน่นอน เมื่อมองสัญลักษณ์สีทองบนหน้าผากของนางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมือนเรื่องบังเอิญ นังหนูที่อายุน้อยกว่าพวกเขาหลายหมื่นปีคนนี้พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นไม่น่าเพราะการบำเพ็ญคู่ตามที่นางบอก คนล่างเวทีทั้ง 4 คนพยายามกลบสงสัยในใจ ขาดแค่หลักฐานเท่านั้น
และแน่นอนว่าหลิวหลีไม่ได้แยแสความรู้สึกในใจของคนพวกนี้ การประลองบนเวทีทำให้นางได้อะไรกลับมาไม่น้อย การประลองในโลกเซียนต่างกับโลกบำเพ็ญมากจริงๆ อีกทั้งยังใช้เวลายาวนานกว่าด้วย
………………………….