แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 246 ยังขาดเพลิงเซียน
“จะให้ข้ากับเสี่ยวเทียนกลับไปที่ดินแดนอสูรเทพ ท่านปรมาจารย์หมายความเช่นนี้หรือ” หลิวหลีสงสัย พวกบรรพชนจะทำอะไร ถึงได้รีบร้อนให้นางกลับไปขนาดนี้ ช่วงนี้นางก็ออกจะเป็นเด็กดี ไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้ายอะไร
“เป็นเช่นนั้นแหละ” หลงเหวินหยางพยักหน้า คิดไม่ถึงว่านังหนูนี้จะ…
“เสี่ยวเทียนเข้าฌานอยู่เจ้าค่ะ ข้ากลับไปคนเดียวได้หรือไม่” จำเป็นต้องให้พวกเขาสองสามีภรรยากลับไปด้วยกันหรือ
“เจ้ากลับมาก็พอแล้ว”
“ได้เจ้าค่ะ ช่วงนี้กำลังจะเตรียมตัวกลับพอดี แต่ข้าจะแวะไปวังนภาเพลิงก่อน ยังมีจิ้งจอกอีกตัวหนึ่งอยู่ที่นั่น” หลิวหลีพูดกว้างๆ
“เจ้ากลับมาได้เลย ข้าไปรับจิ้งจอกตัวนั้นแทนเจ้าแล้ว” หลงเฟยหยางกล่าว ตอนนี้เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นถูกอาเฟิงขังไว้แล้ว ทำอสูรเทพขายหน้าจริงๆ เป็นจิ้งจอกแต่ออกลู่นอกทางขนาดนั้น นับว่าอัจฉริยะอยู่เหมือนกัน
“หืม? ในเมื่อบรรพชนรับกลับไปแล้ว ข้าก็จะกลับเลยแล้วกัน ข้าไปทูลลาจักรพรรดินีก่อนนะเจ้าคะ” หลิวหลีพยักหน้า ในเมื่อเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นถูกพาตัวไปแล้ว นางตรงกลับไปได้พอดีเลย
“จักรพรรดินี ผู้อาวุโสในสกุลสั่งให้ข้ากลับไป ข้าจึงมาทูลลา ในช่วงนี้สร้างความลำบากให้ฝ่าบาทแล้ว” หลิวหลีกล่าว
“จะกลับแล้วหรือ ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณเจ้าเลย ที่เจ้าช่วยลูกสาวข้า” จักรพรรดินีขอบคุณด้วยความจริงใจ ใครจะรู้ ตอนนั้นนางนึกว่าเด็กคนนี้พูดไปอย่างนั้น แต่กลับมีความสามารถจริงๆ ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กของนางฟื้นแล้ว โดยได้ลูกสาวคนโตดูแล แต่เมื่อนึกถึงพิษที่ร้ายกาจนั้น จักรพรรดินีก็มีสีหน้าเคร่งเครียด พิษนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว หากไม่เพราะลูกสาวของนางยังบาดเจ็บและร่างกายอ่อนแอ นางก็คงนึกว่าเป็นแค่ความฝัน
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยเพคะ นี่คือยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่สุ่ยหลิงจำเป็นต้องใช้ ทุก 10 วันกิน 1 เม็ดก็พอ อย่าเพิ่งใช้พลังเซียน จนกว่านางจะรู้สึกว่ายานี้ออกรสหวานถึงค่อยบำเพ็ญเพียร” มือที่ทาบประทับลงบนหน้านางนั้น นางไม่มีทางลืม หลิวหลีหยิบขวดยาศักดิ์สิทธิ์ออกมาหนึ่งขวด
“ขอบใจมาก ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม” จักรพรรดินีโปรดเด็กสาวผู้นี้มากจริงๆ
“ฝ่าบาทอย่าเกรงใจ ต่อจากนี้นักปรุงหลิ่วน่าจะสามารถจัดการได้ ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ” หลิวหลีทำความเคารพเสร็จ ก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ภายในตำหนักสุ่ยหลิง สุ่ยโหรวกำลังกล่าวตำหนิสุ่ยหลิง
“สุ่ยหลิง เจ้าวู่วามเกินไป นั่นใช่สถานที่ควรไปหรือ เจ้ารู้หรือไม่ พอเจ้ากลับมา เสด็จแม่กับข้า และสุ่ยหยาเป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน” สุ่ยโหรวตำหนิ
“พี่ใหญ่ น้องเป็นถึงขนาดนี้แล้ว พี่ก็อย่าว่านางเลย” สุ่ยหยามองดูสุ่ยหลิงที่เศร้าสร้อย ก็ปวดใจ ที่ตั้งใจจะดุด่าว่ากล่าวก็กลายเป็นคำพูดที่เป็นห่วงเป็นใย
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าผิดไปแล้ว” สุ่ยหลิงน้ำเสียงอิดโรย หากไม่ใช่เพราะยันต์ช่วยชีวิตของเสด็จแม่ ตอนนี้ดวงวิญญาณของนางคงแตกดับไปแล้ว
“หยาเอ๋อร์ เจ้ายังจะห้ามข้าอีกหรือ เจ้ารู้ไหมว่าเด็กนี่ทำอะไรลงไปอีก เจ้าตำหนักหลิวหลีถือเป็นผู้มีพระคุณต่อเจ้า แต่พอเจ้าได้สติขึ้นมาก็ตบหน้านางไปหนึ่งฉาด ตอนนั้นพี่ก็กลัวว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีจะโมโห แล้วไม่สนใจเจ้าอีก ผลปรากฏว่านางก็ยังปรุงยาให้กับเจ้า เจ้านี่มัน” สุ่ยโหรวไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ผู้มีพระคุณ แต่กลับตบหน้าอีกฝ่ายเข้าไปฉาดใหญ่
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้ ใครให้นางวางมือไม่ถูกที่” สุ่ยหลิงนึกถึงสัมผัสในยามตนเองได้สติ ใบหน้าออกแดงระเรื่อ ชายหนุ่มผู้นั้นช่างหล่อเหลาจริงๆ
“นั่นก็เพื่อช่วยเจ้า แต่เจ้าจะหน้าแดงทำไม นึกถึงชายหนุ่มคนนั้นอยู่หรือ เลิกคิดเสียเถอะ นางเป็นผู้หญิง” สุ่ยโหรวเห็นท่าทางสุ่ยหลิง เส้นเลือดก็ปูดขึ้นบนหน้าผาก ถึงนางจะรู้สึกขอบคุณหลิวหลีที่ช่วยชีวิต แต่หลอกลวงเด็กสาวเช่นนี้จะดีหรือ นางมองสุ่ยหลิงที่ราวตกในห้วงฝัน สุ่ยโหรวก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
“ข้ารู้แล้ว พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกมึนหัว ขอนอนต่อสักครู่ได้หรือไม่” สุ่ยหลิงกล่าว แต่ก่อนทำไมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ใหญ่ดุได้เก่งขนาดนี้
“จริงหรือ รีบพักผ่อนเถอะ” สุ่ยโหรวเริ่มทำอะไรไม่ถูก รีบเลิกว่ากล่าวตักเตือน
“มึนหัว หรือว่าไม่อยากฟังข้ากันแน่ พี่เจ้าพูดถูก เจ้ารู้ตัวบ้างหรือยัง” เสียงของจักรพรรดินีลอยเข้ามา
“เสด็จแม่”
“เอาเถอะ ไม่มีคนนอกเสียหน่อย อีกอย่างสุ่ยหลิงนอนเถอะ ยังไม่ได้หายดี ก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” อย่างไรเสียจักรพรรดินีก็ทรงรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวอยู่ดี
“เสด็จแม่ ท่านเสด็จมาได้อย่างไร” สุ่ยโหรวประหลาดใจ เสด็จแม่กำลังตามรอยคนร้ายพวกนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ
“เอายาเซียนศักดิ์สิทธิ์มาให้ หลิวหลี นังหนูคนนั้นมีธุระกลับดินแดนอสูรเทพไปแล้ว ก่อนไป ได้มอบยาศักดิ์สิทธิ์ฟื้นฟูร่างกายของเจ้าให้ข้า บอกให้กินยาศักดิ์สิทธิ์จนมีรสหวาน ก็จะหายดี” จักรพรรดินีทรงมอบยาศักดิ์สิทธิ์ที่หลิวหลีปรุงให้บุตรสาว
สุ่ยหลิงกินเข้าไปหนึ่งเม็ด ใบหน้าบูดเบี้ยว ขมจริงๆ ทำไมยานี่ถึงได้ขมขนาดนี้
“ขมจังเลย” สุ่ยหลิงรู้สึกเหมือนตัวเองจะหมดสติเพราะความขมของยาเซียนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้
“ขมขนาดนั้นเชียวหรือ หรือเพราะหลิวหลีคิดแค้น จงใจแกล้งน้องหรือไม่นะ” สุ่ยหยาเห็นสุ่ยหลิงทำหน้าเช่นนั้น ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงติเตียน
“สุ่ยหยา อย่าพูดมั่วๆ เจ้าตำหนักหลิวหลีจะทำร้ายน้องได้อย่างไร” ถึงสุ่ยโหรวจะพูดเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกลังเลเช่นกัน
“ข้าพูดมั่วตรงไหน ข้าลองชิมดูก่อน ว่าจะขมสักขนาดไหน” สุ่ยหยารีบร้อนเทยาออกมาหนึ่งเม็ด นางหลับตาปี๋แล้วกินมันเข้าไป พลันตื่นตกใจ
“สุ่ยหลิง เจ้าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ยานี้มีรสหวานชัดๆ” สุ่ยหยาลิ้มรสในปาก อร่อยจริงๆ
“พี่รอง ข้าไม่ได้หลอกพี่ มันขมมากจริงๆ” สุ่ยหลิงทำหน้าบูดเบี้ยว
“แต่ข้ากินแล้วได้รสหวานนี่” สุ่ยหยางุนงง ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
สุ่ยโหรวกับจักรพรรดินีประหลาดใจมาก ทำไมรสชาติจึงแตกต่างกันคนละขั้ว แล้วทั้งสองก็ลองชิมกันคนละเม็ด
“หวาน” ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน
“ทำไมจึงเป็นเช่นนี้” สี่คนแม่ลูกไม่เข้าใจ
“หรือจะเป็นอย่างที่หลิวหลีพูด ให้เจ้ากินจนรู้สึกว่ายามีรสชาติหวาน เพราะพวกเรากินแล้วได้รสหวาน เพราะในตัวของพวกเราไม่มีอาการบาดเจ็บ” สุ่ยโหรวกล่าว
“คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ สุ่ยหลิง ไม่ดื้อ กินเข้าไป กินจนกว่าจะหวาน ก็จะหายดี” สุ่ยโหรวกล่าว
“รู้แล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่” สุ่ยหลิงทำหน้าบึ้ง ใครจะรู้ว่านางจะหายดีตอนไหน
เมื่อนักปรุงยาหลิ่วได้ยินประสิทธิภาพของยานี้ก็ถึงกับตกตะลึง มียาเซียนศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ด้วยหรือ เขาถึงกับแบกหน้าไปขอมายามาหนึ่งเม็ดเพื่อศึกษา ผลออกมาว่าไม่พบอะไร ก็แอบรู้สึกประหลาดใจ
แน่นอนว่าหลิวหลีไม่รู้เรื่องนี้ นางเพียงรู้สึกสงสัยว่าบรรพบุรุษของตนเรียกตนกลับมาทำไม ผลกลายเป็นว่ามีกลุ่มคนมองนาง ไม่พูดไม่จา เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ท่านปู่ทวด ปู่ทวดเอ๋าเฟิง ปู่ทวดเฟิ่งซาน หากพวกท่านยังมองข้าอีก ข้าจะกลับวังนภาเพลิงแล้วนะ” หลิวหลีทำท่าจะเดินออกไป นี่คือเกมที่คิดค้นกันใหม่หรือ ตาจ้องตา นางไม่อยากจะสนใจ?
“นังหนู นั่งลง” หลงเฟยหยางกล่าว
“ปู่ทวด พวกท่านเรียกข้ากลับมา เพื่ออะไรกันแน่?” มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเลยจะได้ไหม มองนางแบบนี้ทำให้นางรู้สึกกดดันเหลือเกิน
“นังหนู ตอนอยู่โลกเบื้องล่างเจ้าเคยเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษหรือ” เอ๋าเฟิงถาม
“ใช่แล้ว อาเลี่ยบอกพวกท่านหรือ” แวบแรกหลิวหลีคิดทันทีว่าอาเลี่ยเป็นคนบอกแน่นอน แต่นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร
“นังหนู เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่พูด” หลงเฟยหยางพูดอย่างร้อนรน
“นี่คือเรื่องใหญ่หรือนี่” หลิวหลีกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา
“ทำไมจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าเคยเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษมาก่อน ไม่ว่าพูดอย่างไรข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นเจ้าตำหนักอะไรนั่นเด็ดขาด” หลงเฟยหยางบ่น ผู้ถูกเลือกของดินแดนอสูรเทพ ไปเป็นเจ้าตำหนักกระจอกๆนั่น เสียดายความสามารถ
“ท่านปู่ทวด ท่านพูดอะไรน่ะ ข้าไปที่วังนภาเพลิงก่อน ก่อนที่จะรู้ว่ามีพวกท่านอยู่ด้วยซ้ำ” หลิวหลีไม่ได้เห็นด้วยมากนัก
“นังหนู ปู่ทวดไม่ได้หมายความเช่นนั้น จะบ้านสกุลหลงของข้า หรือห้าสกุลใหญ่ ในหลายปีมานี้มีเพียงแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ได้เข้าไปในสุสานบรรพบุรุษ ได้พบกับเหล่าบรรพชน นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เกียรติแก่สกุลเราเท่านั้น เจ้าอาจจะไม่รู้ หากผ่านไปอีกหนึ่งแสนปีแล้วไม่มีใครได้เข้าไปในสุสานบรรพบุรุษ เผ่าอสูรเทพก็จะตกต่ำลง” หลงเฟยหยางกล่าว
“เพียงแต่ว่า ข้านึกไม่ถึงว่านังหนู เจ้าจะมอบของมีค่าขนาดนั้นให้คนอื่นอย่างง่ายดาย” เอ๋าเฟิงพูดต่อ
“คนพวกนั้นเป็นสหายที่สนิทที่สุดของข้า” หลิวหลีไม่เห็นด้วย ให้นางไป นางก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี
“นังหนู ข้าขอเป็นตัวแทนอสูรเทพขอบคุณเจ้า” เอ๋าเฟิงพูดจากใจจริง
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ แล้ววพวกอาเลี่ยล่ะ”
“พวกเขา 3 คนน่ะหรือ แต่ก่อนไม่รู้ว่าเด็ก 3 คนนั้นซึมซับของล้ำค่าจากเหล่าบรรพชน ทำให้แตกต่างจากคนทั่วไป ตอนนี้รู้แล้ว จะต้องเพิ่มแรงให้มากกว่าเดิม” เอ๋าเฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่กลับทำให้หลิวหลีร้อนๆหนาวๆ นางขอไว้อาลัยให้พวกอาเลี่ยสักครู่ ใครใช้ให้พวกเขาว่างจนเล่าเรื่องพวกนี้ให้บรรพชนฟัง
“ดังนั้นที่เรียกข้ากลับมา ก็เพื่อชื่นชมความดีของข้าหรือ ปู่ทวดทั้งสาม” ถึงนางจะวางแผนไว้ว่าจะกลับมาอยู่แล้ว
“ย่อมไม่ใช่ เมื่อชื่นชมเสร็จแล้ว ข้ายังมีของขวัญชิ้นใหญ่มอบให้กับเจ้า” หลงเฟยหยางพูดอย่างลึบลับ
“ ของดีหรือ ข้าขอบอกตรงนี้เลย ปู่ทวด ข้าขาดแค่เพลิงเซียน เพลิงเซียนจำนวนมากด้วย” หลิวหลีย้ำ
“ไม่มีเพลิงเซียน แต่ว่าสามารถให้อย่างอื่นเจ้าได้” หลงเฟยหยางนึกไม่ถึงว่านังหนูจะขาดแค่เพลิงเซียน ของพวกนี้ขึ้นอยู่กับชะตาและโอกาส เขาทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
“ของอะไรเจ้าคะ” หลิวหลีสงสัยน้อยๆ ปู่ทวดให้ความสำคัญมากขนาดนี้ จะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน
“ตามข้ามา”
เมื่อหลิวหลีเดินไปเรื่อยๆ ก็พบว่าทางเดินคุ้นตา เพียงแต่ว่าปู่ทวดจะไปอ้อมที่ไหนกัน
“นังหนู ที่นี่แหละ ที่นี่คือสถานที่ที่ทรงคุณค่าแห่งหนึ่งในดินแดนอสูรเทพ” หลงเฟยหยางแนะนำอย่างภาคภูมิใจ
“สถานที่แพงๆมีหลายที่หรือเจ้าคะ” หลิวหลีมีสีหน้าประหลาด แต่ก็ไม่ได้แก้ประโยคที่ผิดไวยากรณ์นี้
……………..