แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 248 นายท่านสุดยอด
“พวกเราไปกล่าวลาพวกปู่ทวด แล้วก็กลับกันเถอะ” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองละทิ้งหน้าที่มามากเกินไป
“ก็ดีเหมือนกัน แต่ข้าว่าจะกลับไปที่วังนภาเพลิงกับเจ้าก่อน” หนานกงเวิ่นเทียนโยนระเบิดออกมา ภรรยาของเขามากความสามารถมากขนาดนี้ เขาต้องกลับไปขจัดเสี้ยนหนาม จะปล่อยให้มีคนมารุมตอมนางเยอะไม่ได้ จนกระทั่งหนานกงเวิ่นเทียนไปที่นั่น เขาก็พบว่าเรื่องไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด
“ท่านปู่ทวด ปู่ทวดเอ๋าเฟิง” หลิวหลีเดินเข้าไปในบ้านสกุลหลงก็เห็นทั้ง 2 คนนั่งดื่มชาอย่างสบายๆ
“เซียนนะ..นภานพเก้า” แก้วชาในมือของหลงเฟยหยางถึงกับร่วงลงพื้น โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว
“ถึงขั้นเซียนนภานพเก้าจริงๆหรือนี่” เด็กสองคนนี้อายุถึงหมื่นปีหรือยัง นี่พวกเขาคิดจะบรรลุขั้นสูงสุดตอนอายุหมื่นปีหรืออย่างไร
“ใช่เจ้าค่ะ” หลิวหลียอมรับอย่างเปิดเผย ตราประทับสีหยกบนหน้าผากสะดุดตาเป็นอย่างมาก
“พวกเราบำเพ็ญเพียรไปก็เหมือนเปล่าประโยชน์” เอ๋าเฟิงอดบ่นไม่ได้ ถ้าอยู่กับเด็กปีศาจ 2 คนนี้แล้วไม่เคยคิดริษยาคงจะเป็นเรื่องโกหก
“ปู่ทวด พวกท่านไม่จำเป็นต้องน้อยเนื้อต่ำใจหรอกนะ เพราะอย่างไรเสียพวกท่านต้องบรรลุขั้นสูงสุดก่อนข้าแน่นอน” หลิวหลีปลอบใจ คงไม่รู้ล่ะสิว่าในอนาคตทั้งสองคนนี้จะหน้าตาดีขนาดไหน ให้ความรู้สึกเหมือนโดนปีศาจแกล้ง
“เอาเถอะ ปู่ทวดก็อายุตั้งเท่านี้แล้ว ยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก จริงสิ ในช่วงหลายปีมานี้ที่พวกเจ้าเข้าฌาน คนรู้จักของพวกเจ้าหลายคนบรรลุเป็นเซียนแล้วนะ หลิวหลี น้องสาวของเจ้าก็บรรลุเป็นเซียนแล้ว” เพียงแต่นางไม่ได้โดดเด่นเท่าเจ้า ไม่สิ เป็นเพราะหลิวหลีโดดเด่นเกินไป ทำให้โม่หลีดูธรรมดาไปเลย
“จริงหรือ โม่หลีก็บรรลุเป็นเซียนแล้ว พ่อกับแม่ของข้าล่ะ ท่านตาบรรลุเป็นเซียนแล้วหรือยังเจ้าคะ” หลิวหลีเริ่มอยากจะเจอครอบครัวตนเอง
“อือ ท่านตาของเจ้าก็บรรลุเป็นเซียนแล้ว พ่อแม่ของเจ้า พวกเขากลับไปเกิดและเริ่มบำเพ็ญใหม่ เพราะอาการบาดเจ็บของแม่เจ้าค่อนข้างหนัก พ่อเจ้าไม่อยากทิ้งแม่เจ้าไว้ จึงตามไปนางไป” หลงเฟยหยางนึกถึงคำพูดของเหลนตัวเองแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ แต่บำเพ็ญเพียรได้เท่าพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไร การจะได้กลับมาพบกันเป็นเรื่องเร็วหรือช้าเท่านั้น
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิวหลีไม่ได้ผูกพันกับพ่อแม่มากนัก แค่พวกเขาให้กำเนิดนาง ตอนนี้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง ถือว่าหมดเรื่องวุ่นวายใจนางไปอีกหนึ่งเรื่อง
“เด็กพวกนี้ตอนนั้นก็คงให้ความช่วยเหลือเหมือนกัน มีแสงแห่งบารมีอยู่บนตัวกันทุกคนเลย” เอ๋าเฟิงรู้สึกดีใจที่ลูกหลานของตัวเองจำนวนไม่น้อยบรรลุเป็นเซียน ก็คิดเหมือนกับหลงเฟยหยาง เพราะว่ามีเด็ก 3 คนก่อนหน้ามาเป็นตัวเปรียบเทียบ ทำให้คนอื่นดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก นอกจากเด็ก 3 คนนั้นที่ใช้เลือดบริสุทธิ์ของอสูรเทพบรรพกาลที่ถือว่าพอใช้ได้ นอกเหนือจากนั้นก็ค่อนข้างจะอ่อนด้อยไป
“อือ พวกเขาก็มาช่วยด้วย บวกกับที่สุดท้ายแล้วผู้กอบกู้โลกคือห้าสกุล ศิษย์ในสกุลจึงได้อานิสงฆ์ไม่น้อย” หลิวหลีพยักหน้า
“เป็นแบบนี้นี่เอง” หลงเฟยหยางเข้าใจขึ้นมาทันที แต่ว่าเหลนของเขาก็พูดแล้ว นี่เป็นความดีความชอบของนังหนูคนนี้ทั้งนั้น ตอนที่นังหนูได้มิติของทั้งห้าสกุลที่สืบทอดต่อกันมา สุดท้ายนางก็แยกพวกมันออกเป็นห้าส่วนดังเดิม เพื่อให้จุดกำเนิดดินแดนมรณะทั้ง 5 ที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องกลับมามีชีวิตและเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ นางมีบุญบารมีเหลือล้น
“ปู่ทวด ข้ากับเวิ่นเทียนขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” หลิวหลีคิดว่าปู่ของตัวเองบรรลุเป็นเซียนแล้ว ถ้าเช่นนั้นพ่อกับแม่ของสามีตนเองก็น่าจะบรรลุเป็นเซียนแล้วเช่นกัน พวกเขาควรจะไปบ้านสกุลหนานกงเสียหน่อย
หนานกงเวิ่นเทียนที่ตอนนี้ใจเชื่อมกับหลิวหลี ย่อมต้องรู้ถึงความคิดของหลิวหลี ระบายยิ้มอย่างอบอุ่น ดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
ณ บ้านสกุลหนานกง ทั้งสองคนทำให้คนบ้านสกุลหนานกงตกใจ จากนั้นทั้งสองก็พบกับบิดามารดาที่เป็นเพียงเซียนธรรมดา พวกเขาภาคภูมิใจที่ลูกชายและลูกสะใภ้ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ส่วนเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างไรนั้น พวกเขาไม่ได้สนใจ หลิวหลีได้มอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นให้กับบิดามารดาของเวิ่นเทียนแล้วจึงจากไป จากนั้นก็ไปพบเหล่าสหาย และน้องสาวอีกสองคน และเมื่อรู้ว่าเสี่ยวเสี่ยวถูกคนสกุลหลินรังควานไม่หยุด หลิวหลีจึงบุกไปสกุลหลินและเล่าเรื่องราวที่คนสกุลหลินที่ทำไว้ในโลกเบื้องล่างจนหมด และนางยังย้ำเป็นพิเศษว่าเพราะคนสกุลหลินไร้คุณธรรมก่อน เสี่ยวเสี่ยวจะตัดสินใจอย่างไร ก็ให้นางเป็นคนเลือกเอง และเมื่อเห็นตราประทับเซียนนภานพเก้าบนหน้าผากของนาง คนสกุลหลินจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน จะทำอย่างไรได้ ไม่ว่านังหนูจะพูดอะไร สกุลหลงกับสกุลหนานกงก็ต้องสนับสนุนอย่างแน่นอน หากมีผู้ถูกเลือกเช่นนี้ใครจะไม่ประคบประหงมเล่า
จนทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็กลับไปที่วังนภาเพลิง มองสีหน้าสับสนของจักรพรรดินภาเพลิงอย่างพึงพอใจ
“พวกเจ้า พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้าแล้วหรือ?” จักรพรรดิตกพระทัยอยู่นาน กว่าจะพูดออก เด็กสองคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน ยังไม่ถึงหมื่นปีด้วยซ้ำ พวกเขาก็เป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ตอนที่เขาอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้าอายุกี่หมื่นปีกันนะ
“เพคะ ฝ่าบาท ก็พอได้อะไรกลับมาเล็กน้อย” หลิวหลีพูดจากำกวม หนานกงเวิ่นเทียนยิ่งไม่มีทางยิ่งไม่บอกว่ามาจากการบำเพ็ญร่วม
“เอาเถอะ อยู่ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว ของรางวัลเล็กน้อยแค่นี้จะสามารถทำให้พวกเจ้าบรรลุขั้นเป็นเซียนนภานพเก้าได้หรือ” จักรพรรดิทรงอาบน้ำร้อนมาก่อน จะไม่รู้ได้อย่างไรนังหนูคนนี้จะถ่อมตัวไปทำไมกัน
“องค์จักรพรรดิ เวิ่นเทียนฝากตัวด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“เจ้าคือเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธารา เพราะเจ้าไม่วางใจในชายาตนเองหรือ ถึงได้จงใจมาเป็นไม้กันหมาโดยเฉพาะ?” จักรพรรดิทรงอารมณ์ดีและหยอกล้อ
“กระหม่อม” ถึงแม้หนานกงเวิ่นเทียนจะหูแดง แต่ก็พูดอย่างมั่นใจ
“ข้าคิดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาเพลิงมีไม่มาก เจ้าตำหนักเวิ่นเทียนไม่ต้องเป็นห่วง” จักรพรรดิกระเซ้า
“ผู้บำเพ็ญหญิง?” พูดผิดไปหรือเปล่า
“ใช่สิ เจ้าตำหนักหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิงเป็นชายงามอันดับหนึ่งของวังนภาเพลิง”
เขาฟังผิดไปหรือเปล่า ฮูหยินที่แสนงดงามของเขากลับกลายเป็นชายงามอันดับหนึ่ง ภาพเหตุการณ์นี้ไม่ใคร่ถูกต้องเท่าไหร่นัก น่าจะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งไม่ใช่หรือ หลิวหลีอยู่ข้างๆแสร้งทำราวไม้ประดับ หากบอกสามีของนางว่ามีหญิงสาวมากกว่าผู้ชาย ไม่รู้ว่าสามีของนางจะคิดอย่างไร
“องค์จักรพรรดิ ข้ากับสามีของข้าขอตัวก่อนนะเพคะ” หากพูดต่อนางคิดว่าคงต้องออกนอกเรื่องไปไกลแน่
ณ ตำหนักเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนมองดูชื่อตำหนักพลางทอดถอนใจ ไม่นานนักทั้งวังนภาเพลิงก็รู้ว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีพาชายหนุ่มรูปงามที่ใบหน้าเย็นชาราวน้ำแข็งกลับมาด้วย และประคบประหงมเขาต่างๆนานา ทำให้ผู้บำเพ็ญหญิงตกอยู่ในความความอลหม่านทันที เจ้าตำหนักหลิวหลีของพวกเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร
“ขุนนางอวิ๋น ขุ่นนางจื่อจู๋ ท่านผู้นี้คือสามีของข้า เจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธารา” หลิวหลีแนะนำ
“เวิ่นเทียน” อยู่ๆก็เหมือนมีมดเดินรอบตัว เกิดอะไรขึ้น ชื่อตำหนักของเวิ่นเทียนคงจะไม่ได้ชื่อตำหนักหลิวหลีใช่ไหม แต่ว่านายท่านของพวกเขาสายตาแหลมคม จึงเลือกชายหนุ่มที่มีพลังบำเพ็ญเพียรใกล้เคียงกัน และดูมีสง่าราศีมาเป็นสามี พวกเขาไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องที่สามีในจินตนาการของนายท่านอีกต่อไปแล้ว
“เวิ่นเทียนคารวะท่านปรมาจารย์เสวียนหั่ว” หนานกงเวิ่นเทียนทำความเคารพเจียงหรูชวน อย่างไรเสียก็เขาเป็นอาจารย์ของนังหนู
“เจ้าหนูหนานกง เรียกข้าว่าอาจารย์เหมือนกับนังหนูก็พอ อยู่ที่นี่ไม่มีปรมาจารย์เสวียนหั่วแล้ว มีเพียงแต่นักปรุงยาของตำหนักเวิ่นเทียน เจียงหรูชวน” เจียงหรูชวนพึงพอใจกับการเลือกสามีของนังหนู มากทีเดียว ดูสิ มีมารยาทเหมือนกับนังหนูไม่มีผิด
“ขอรับ อาจารย์” หนานกงเวิ่นเทียนทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย การกระทำเช่นนี้สร้างความประทับใจให้กับทหารในตำหนักเวิ่นเทียนได้ไม่น้อย
“นายท่าน พลังบำเพ็ญเพียรของท่านอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว” จื่อจู๋ที่นิ่งเงียบมาตลอด อยู่ๆก็โพล่งออกมา ทำให้ทหารทุกคนตกตะลึง พวกเขาละสายตาจากสามีของนายท่าน กลับมาจ้องที่ใบหน้านาง ตราประทับสีหยกทำให้ทุกคนรู้สึกสายตาของตัวเองไม่ดีนัก และเมื่อมองใบหน้าของเวิ่นเทียน ก็เห็นตราประทับสีหยกแบบเดียวกัน ทำให้ทุกคนหัวใจเต้นรัว ทำไมจึงมีความสามารถที่โดดเด่นเช่นนี้ด้วยกันทั้งคู่นะ
“ใช่แล้ว” หลิวหลีตอบอย่างตรงไปตรงมา
“นายท่าน ท่านมีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ เจ้าตำหนัก 9 ท่านที่เหลือจะรู้สึกกดดันได้” อวิ๋นเฟยนึกถึงคนอื่นที่เพียรพยายาม เจ้าตำหนักเหลยจ้านเพิ่งจะพัฒนาขึ้นมาจากขั้นเซียนสุวรรณนภาได้ก้าวหนึ่ง แต่นายท่านของพวกเขากลายเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว นายท่านของพวกเขาเป็นบุคคลที่เกิดมาเพื่อให้คนนับถือ
“ 9 ท่าน?” หากว่านางจำไม่ผิด นางเป็นเจ้าตำหนักคนที่ 9 สมาชิกเต็มเร็วขนาดนี้เลยหรือ
“ขอรับ เมื่อพันปีที่แล้ว เทพเสวียนเซียนหรูหรงอายุไม่ถึงหมื่นปีก็บรรลุขั้นเป็นเซียนสุขาวดี กลายเป็นเจ้าตำหนักหรูหรง พวกข้าได้ส่งของขวัญในนามของท่านไปให้นางแล้ว” อวิ๋นเฟยตอบ
“หรูหรง? ผู้บำเพ็ญหญิง?” หลิวหลีฟังจากชื่อก็คิดว่าน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญหญิง
“ใช่ขอรับ เป็นเจ้าตำหนักหญิง ได้ยินมาว่าเจ้าตำหนักหรูหรงมีท่านเป็นเป้าหมาย มีแรงผลักดันนางจึงบรรลุขั้นได้เร็ว” อวิ๋นเฟยอธิบาย
“เป้าหมายของนางสูงเกินไปยากจะเป็นจริง อาจทำให้เกิดใจมารได้” หลิวหลีส่ายหัว นางไม่เห็นด้วยกับเจ้าตำหนักหรูหรงท่านนี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของหลิวหลีแล้ว ก็เหลือบมองตราประทับสีหยกบนหน้าผากของนาง ก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นเรื่องจริง นายท่านของพวกเขาเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว แต่นางเพิ่งจะเป็นเซียนสุขาวดี จะวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายคงจะเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง แต่นายท่านของพวกเขาสุดยอดมากจริงๆ พวกเขาภาคภูมิใจกันอย่างยิ่ง
“ไม่รู้ว่าองค์จักรพรรดิจะประกาศให้นายท่านเป็นองค์รัชทายาทเมื่อไหร่” อวิ๋นเฟยถามอย่างตื่นเต้นน้อยๆ
“องค์รัชทายาท?” หลิวหลีสงสัย เหมือนเป็นชื่อเรียกตำแหน่งผู้สืบทอด
“ใช่ขอรับ ในบรรดาเจ้าตำหนัก เมื่อมีคนบรรลุขั้นเป็นเซียนนภานพเก้า ก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท หากพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าตำหนักคนอื่นๆไม่ถึงขั้นเซียนนภานพเก้าได้ภายในหนึ่งพันปี นายท่านก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดของวังนภาเพลิง” อวิ๋นเฟยอธิบาย
“ข้าไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่” ถ้าเป็นเช่นนั้น สามีของนางก็คงเป็นเช่นเดียวกัน คงจะเหนื่อยมาก และไม่เป็นอิสระเหมือนอย่างตอนนี้
“นายท่าน นี่คือชื่อเสียงเกียรติยศ” อวิ๋นเฟยร้อนใจน้อยๆ
“ชื่อเสียงเกียรติยศอะไร หากข้าอายุไม่ถึงหมื่นปีก็บรรลุขั้นสูงสุดแล้วจะยังมีคนอื่นอีกหรือ” และเมื่อหลิวหลีพูดเช่นนี้ ก็ทำให้ทุกคนที่อยากเตือนสตินางถึงกับอึ้งไป แต่เมื่อพิจารณาจากพลังบำเพ็ญเพียรของนาง ที่นางพูดมาก็มีเหตุผลอยู่หรอก
………………….