แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 255 คู่ฝึกซ้อม
ร้านยาลายศักดิ์สิทธิ์กลับมาเปิดอีกครั้ง แต่คราวนี้คนรอบข้างก็พบว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ดูทุกข์ใจ ไม่อบอุ่นเหมือนที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเจออะไรเข้า สาเหตุที่พวกเขายิ่งคิดเช่นนั้นก็เป็นเพราะนายหญิงของร้านนี้ไม่ได้ทำอาหารอีกต่อไป กลิ่นหอมของอาหารที่มาเป็นประจำเวลาเดิมทุกวันไม่มีแล้ว
เวลาผ่านไปหลายปี ร้านยาลายศักดิ์สิทธิ์ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ ไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่นั้นไปไหน
หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเตรียมจะกลับไปยังดินแดนอสูรเทพ หลิวหลีที่ออกจากความทุกข์ได้ ก็ตัดสินใจจะกลับไปเข้าฌาน แล้วเอาของไปส่งให้เอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยด้วย แต่ว่าก็ยังหาของที่เหมาะสมกับจื่อฉีไม่ได้อยู่ดี
“นังหนู ทำไมกลับมาแล้ว” เอ๋าเลี่ยมองหลิวหลีอย่างประหลาดใจ นังหนูประกาศว่าจะเข้าฌานไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ออกมาเร่ร่อนอยู่ข้างนอก
“แน่นอนว่าเพราะจะกลับมาเยี่ยมพวกเจ้า ยังอยู่ในร่างเด็กเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ดูสูงขึ้นไม่น้อยเลยนี่” หลิวหลีมองดูเอ๋าเลี่ยที่มีอายุประมาณ 17-18 ปีแล้วพูดขึ้น ส่วนจื่อฉีที่อยู่ข้างๆก็อายุประมาณ 10 ขวบแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องอยู่ในร่างเด็กทารกอีกต่อไป เฟิ่งอิงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆดูน่ารักอ่อนช้อยราวกับดอกบัวหิมะ งดงามน่าชม รอให้คนเด็ดไปชมเชย แต่พอมองเอ๋าเลี่ย ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังบอกว่าฮูหยินของข้าสวยใช่ไหมล่ะ
“แน่นอนอยู่แล้ว” เอ๋าเลี่ยได้ใจ ที่ตัวเองตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝนอย่างสุดชีวิตแบบนั้น ก็เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากความเป็นเด็ก และมีโอกาสหาภรรยา แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโตน่าจะดีกว่า ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ท่าทีที่อิงเสวี่ยมีต่อเขาต่างกับอสูรเทพตัวอื่นๆ เพียงแต่ว่าท่าทีของอิงเสวี่ยที่มีต่อจื่อฉือก็ไม่เหมือนอสูรเทพตัวอื่นเช่นกัน จึงสับสนน้อยๆ
“เอาเถอะ เลิกอวดได้แล้ว เจ้ากับอิงเสวี่ยขาดอีกแค่เพียงนิดเดียวก็จะเป็นเซียนนภานพเก้าแล้วใช่หรือไม่” หลิวหลีเข้าเรื่องในทันที
“ใช่แล้ว” ไม่เหมือนกับเจ้าปีศาจ 2 ตัวนี้ที่เป็นเซียนนภานพเก้ามาหลายปีแล้ว แต่ก่อนเป็นเพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองมีพลังบำเพ็ญเพียรเพียงพอแล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไร ตอนนี้พอได้เริ่มต้นพร้อมกัน ก็รู้สึกเหมือนถูกโจมตีเข้าอย่างจัง
“ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้ากับอิงเสวี่ย ไม่ต้องตื่นเต้น แต่จื่อฉี ตอนนี้ยังไม่มีของที่เหมาะสมกับเจ้า” หลิวหลีกล่าว ของแบบนี้เป็นโชคชะตาและโอกาส
“ของอะไรหรือ” เอ๋าเลี่ยสงสัย เฟิ่งอิงเสวี่ยรู้สึกสนใจเช่นกัน แต่จื่อฉีไม่ได้มีความรู้สึกอิจฉาเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้ามีของที่เหมาะสมกับเขา ท่านพี่จะต้องมอบให้เขาแน่
“ของชิ้นนี้” หลิวหลีนำลูกทรงกลมสีแดงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังออกมา ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนหยิบลูกทรงกลมสีฟ้าออกมา
“นี่คือดวงจิตอสูร” เอ๋าเลี่ยรู้ว่าคืออะไรทันที
“อืม ไปได้มาจากถ้ำของผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ถูกบังคับให้กลายเป็นมาร นี่คือดวงจิตอสูรของมังกรเวหา ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วนนั่นคือดวงจิตอสูรของราชาวารี ผู้อาวุโสท่านนั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงจงใจจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของข้า พลังมารถูกผู้อาวุโสท่านนั้นกำจัดออกไปแล้ว อิงเสวี่ยสามารถใช้ได้เลย” หลิวหลีอธิบายที่มาของสิ่งของพวกนี้คร่าวๆ
เอ๋าเลี่ยรับดวงจิตอสูรของมังกรเวหามา เฟิ่งอิงเสวี่ยรับดวงจิตอสูรของราชาวารีมา ราชาวารี เป็นถึงอสูรเทพศักดิ์สิทธิ์
“นังหนู เจ้าหนู คำพูดขอบคุณข้าไม่พูดแล้ว ข้าจะไปเข้าฌานเดี๋ยวนี้” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าพูดขอบคุณ น่าจะดูเสแสร้งเกินไป มิสู้เพิ่มความสามารถเพื่อจะได้เป็นแรงกำลังสำคัญให้นังหนูน่าจะเป็นเรื่องที่จับต้องได้มากกว่า
“ข้าก็จะไปเข้าฌานแล้วเหมือนกัน” เฟิ่งอิงเสวี่ยก็เช่นกัน
“น้องพี่ ข้าก็จะไปเข้าฌานแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนจะหลอมรวมปราณก่อนกำเนิดมาร
“ได้”
“ท่านพี่แล้วพวกเราสองคนทำอะไรกันดี” จื่อฉีกระพริบตามองไปที่หลิวหลีด้วยความใสซื่อ
“ทำอะไร มังกรเวหาตัวนั้นถึงแม้ดวงจิตอสูรของมันจะให้อาเลี่ยไป แต่ยังมีเนื้ออยู่ พวกเราทำเนื้ออบแห้งกันดีไหม” หลิวหลีเสนอ นางยังมีมังกรเวหาที่ยังไม่ได้จัดการ
สามารถทำออกมาได้หลายรสชาติ พริกเกลือ หม่าล่า กระเทียม ผงยี่หร่า ปิ้งย่าง ตุ๋นพะโล้ รสดั้งเดิม อืม อืม อืม ลงมือเลยดีกว่า น้ำลายจะไหลออกมาแล้ว
“ได้” จื่อฉีกลืนน้ำลาย พี่สาวเข้าใจเขาที่สุดจริงๆด้วย
รอจนหลิวหลีวางซากมังกรเวหาออกมา จื่อฉีถึงกับตกตะลึง มีขนาดใหญ่กว่าร่างเดิมของเขาเสียอีก ดมๆดูแล้ว ดูเหมือนข้างในจะมีพลังเซียนซ่อนอยู่ไม่น้อย สมแล้วที่เป็นวัตถุดิบที่ท่านพี่ให้ความสนใจ ต้องมีคุณภาพดีแน่นอน
เพียงไม่นาน มังกรเวหาก็กลายเป็นอาหารรสเลิศ จื่อฉีกินอย่างมีความสุข พร้อมกับเรอออกมาด้วยความอิ่ม หากเป็นเช่นนี้ไปตลอดคงมีความสุขน่าดู หลิวหลีแบ่งเนื้ออบแห้งที่เหลือเป็น 4 ส่วน
“ท่านพี่ ทำไมถุงของข้าเล็กขนาดนี้” จื่อฉีมองหลิวหลีด้วยสายตากล่าวโทษ นางทำให้เขาน้ำลายสอ แต่กลับแบ่งให้เขาเพียงแค่นี้เท่านั้น
“เจ้ากินไปตั้งเยอะขนาดนั้น เยอะกว่าพวกเราทุกคนอีก เจ้าจะต้องรู้ไว้ ข้ากับพี่เขยของเจ้า 2 คนเอาไปแค่ชุดเดียวด้วยซ้ำ” หลิวหลีมองดูจื่อฉีที่เดินยังไม่ไหว หากว่าอ้วนจนเดินไม่ได้จะทำอย่างไร
“เอ่อ ” ท่านพี่ ทั้งตัวของท่านยังไม่ถึงครึ่งกระเพาะข้าด้วยซ้ำ จะเปรียบเทียบเช่นนี้ได้ที่ไหน แต่จื่อฉีก็เงียบไปอย่างรู้งาน ไม่เช่นนั้นอีกสักครู่แม้แต่เนื้ออบแห้งเพียงเล็กน้อยนี้ก็จะหายไปด้วย
“จื่อฉี เจ้ากินเยอะเกินไปแล้ว พวกเรามาย่อยกันหน่อยเถอะ” หลิวหลีคันไม้คันมือ นางตั้งใจจะออกกำลังกายเป็นเพื่อนจื่อฉี หวังว่าจื่อฉีจะไม่รู้สึกซาบซึ้งมากเกินไป
“เอ่อ” จื่อฉีรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ท่านพี่ไม่ได้จะมาเป็นคู่ฝึกซ้อมให้เขาใช่ไหม
“ตู้ม” จื่อฉีร่วงจากฟ้าลงสู่พื้นดิน กลายสภาพเป็นศพ มิน่าตอนนี้นางถึงยังไม่มีลูก แม้แต่ตนเองน่ารักขนาดนี้ยังกล้าลงมือ เขายังเป็นเด็กอยู่เลย ทั้งๆที่ตัวเองมีเนตรกิเลน แต่ทำไมถึงมองการโจมตีของนางไม่ออก
“จื่อฉี เจ้าดู เจ้ากินจนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว ข้าเพิ่งใช้พลังไปแค่ 5 ส่วนเจ้าก็เป็นถึงขนาดนี้ พลังบำเพ็ญเพียรข้าก็ปรับให้อยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาเท่านั้นเอง” หลิวหลีส่ายหัว ตั้งแต่บรรลุเป็นเซียนมา จื่อฉีก็อ่อนแอลงไม่น้อย ทำไมจึงได้อ่อนแอเช่นนี้
“ท่านพี่ ข้าสุดยอดมากแล้ว” แน่นอนว่าจะต้องไม่เปรียบเทียบกับนางสิ เมื่อเทียบกับอัจฉริยะทั่วไป เขาถือว่าสุดยอดมากทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับพี่สาวของเขา เขากลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถขึ้นมาเลย
“ดูไม่ออกเลย เอาเถอะ พักผ่อนพอแล้ว พวกเรามาต่อกัน” หลิวหลีถีบจื่อฉีที่นอนแผ่ราวเป็นศพ
เมื่อเอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานรู้ว่าหลิวหลีเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับจื่อฉี ก็ดีใจเป็นอย่างมาก คิดว่าหลังจากผ่านการฝึกฝนของหลิวหลีแล้ว จื่อฉีจะต้องพัฒนาขึ้นมากแน่ แววตาที่น่าสงสารของจื่อฉีเลยไม่ได้ทำให้บรรพชนทั้ง 2 รู้สึกสงสารขึ้นมาแม้แต่น้อย พวกเขายกให้เป็นความรับผิดชอบของหลิวหลี ให้นางจัดการได้อย่างเต็มที่ ขอแค่ไม่พิการก็พอ จื่อฉีพาลรู้สึกไม่ค่อยดี
ถูกหลิวหลีซ้อมเช่นนี้มา 300 ปี จึงพอจะมีการพัฒนาอยู่บ้าง จื่อฉีเริ่มถึกทนมากขึ้น สามารถหลบได้กระบวนท่าของหลิวหลีได้ 5 ท่า ดูสิว่ามีความก้าวหน้ามากแค่ไหน
ในวันนี้ ทั้งสองก็ได้เริ่มเกมวิ่งไล่จับกันอีกครั้ง จื่อฉีออกนอกเส้นทางไปอย่างไม่รู้ตัว เดินเข้าไปในสถานที่ที่เขาไม่เคยเดินเข้าไปมาก่อน หลิวหลีที่วิ่งตามข้างหลังก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยเพลิงเซียนออกมาเป็นพันดวง จื่อฉีหลบแทบไม่ทัน จึงโดนโจมตีเข้าจนไม่รู้ว่าตกไปอยู่ที่ไหน
“เจ็บจัง ที่นี่ที่ไหน” จื่อฉีมองถ้ำที่อยู่ตรงหน้า เอาเถอะ เข้าไปหลบก่อนแล้วกัน
หลิวหลีตามลงมาสัมผัสกลิ่นอายของจื่อฉีก็พบว่าเข้าไปในถ้ำนางจึงก็รีบตามเข้าไปในทันที
จื่อฉีที่ไม่รู้ว่าเดินไปเป็นระยะเวลานานเท่าไร ก็พบว่าข้างหน้ามีคน น่าแปลกจริงๆ เขาอยู่ที่ดินแดนอสูรเทพตั้งนาน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะมีคนด้วย
“ข้าน้อยจื่อฉี ขออภัยที่มารบกวนท่านผู้อาวุโส” ถึงแม้จื่อฉีจะดูเป็นเด็กซุกซน แต่ก็เป็นเด็กที่มีมารยาท
“เป็นกิเลนหรือนี่ หลายแสนปีมาแล้วที่ไม่มีคนหรืออสูรเทพตัวใดเข้ามาหาข้าที่นี่เลย” คนผู้นั้นพูดขึ้นอย่างช้าๆ โดยที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น
“ผู้อาวุโส ท่านคือ…” จะต้องเป็นยอดฝีมือแม่ ยิ่งดูธรรมดาก็แสดงว่ายิ่งแปลว่าซุกซ่อนพลังไว้ได้อย่างลึกล้ำ นี่เป็นสิ่งที่ท่านพี่สอนเขามา เขาจะต้องระวังเอาไว้ให้มากๆ และที่สำคัญเนตรกิเลนของเขา ไม่สามารถใช้กับผู้อาวุโสท่านนี้ได้
“ เนตรกิเลน เจ้าหนู ได้รับโอกาสดีจริงๆ”
“โชคดีเท่านั้นหรอกขอรับ” จื่อฉีฟังจากน้ำเสียง ก็สัมผัสได้ถึงความชื่นชม การได้เนตรกิเลนมาครอบครอง ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมหรือ
“มีเจ้าหนูมาอีกคนแล้ว น่าจะมาหาเจ้าใช่ไหม ไม่เลว ถือว่าเป็นคนเก่งทีเดียว”
“คงจะเป็นพี่สาวของข้า” ท่านพี่ตามมาแล้ว แต่ท่านพี่ของเขามากความสามารถขนาดนั้น แต่กลับได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็นแค่คนเก่ง
“พี่สาว? เด็กคนนั้นเป็นมนุษย์ จะเป็นพี่สาวของเจ้าได้อย่างไร แต่บ้านสกุลจ้านมีลูกหลานที่มีความสามารถเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลว”
“สกุลจ้าน? ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านพี่ข้าแซ่หลง รายชื่อนางอยู่ในบ้านสกุลหลง” จื่อฉีแก้ไข อย่าไปพูดต่อหน้าพี่สาวของเขาโดยเด็ดขาดว่านางควรแซ่จ้าน ไม่เช่นนั้นคงได้เจอดีแน่ ท่านพี่นางชอบแซ่หลงเป็นที่สุด
“บ้านสกุลหลง จะเป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆที่มีสายเลือดสกุลจ้านบริสุทธิ์ขนาดนั้น เอ่อ ไม่สิ สายเลือดสกุลหลงก็บริสุทธิ์มากเช่นเดียวกัน นังหนูคนนี้ น่าแปลกจริงๆ” ผู้อาวุโสท่านนั้นลืมตาขึ้น ดวงตาแดงเป็นสีเลือด ดูแล้วน่าตกใจไม่น้อย
เกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสท่านนี้ คิดไม่ถึงว่าดวงตาแดงเป็นสีเลือด ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“เจ้าหนู ตกใจใช่ไหม ข้าก็รู้สึกว่ามันน่าตกใจเช่นกัน” อาวุโสท่านนั้นหลับตาลง แล้วพูดกับจื่อฉี
“รู้สึกตกใจจริงๆขอรับ แต่ว่าไม่ได้กลัวหรอกนะ” จื่อฉีส่ายหัวแล้วพูดขึ้น ท่านพี่ของเขาเคยพูดไว้ แตกต่างจากพวกเขาไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเลว ส่วนคนที่เหมือนกับพวกเขาแล้วจิตใจอำมหิตก็มีอยู่ไม่น้อย
“เจ้าหนู เจ้าได้รับการสั่งสอนมาดีมาก”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“เจ้าถึงขนาดกล้าสบตาพูดคุยกับข้า” ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นลืมตาขึ้นมาตอนไหน แต่จื่อฉีก็สบตาอยู่อย่างนั้น
“ท่านพี่บอกว่ายามคุยกับคนอื่นต้องสบตาฝ่ายตรงข้าม จึงจะถือว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย ถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน” เขาเป็นกิเลนที่ดีมีมารยาท
“ดี ดี ดี” พูดคำว่าดีต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง ลูกหลานของเขาคนนี้เป็นคนที่ดีมากเหลือเกิน
……………………………