แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 258 การโจมตีที่มีชื่อว่าจื่อฉี
เมื่อมองดูลูกหลานที่ถูกกดดันไปไม่น้อย หลงเฟยหยางก็ไม่ได้ร้องขอให้นังหนูสอนคนอื่นๆอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ท้องฟ้าแปรปรวน เกิดนิมิตประหลาด เสียงร้องคำรามของมังกรดังกึกก้อง แล้วตามด้วยเสียงร้องของหงส์ก็แว่วตามเข้ามา
เอ๋าเลี่ยกลืนกินดวงจิตอสูรของมังกรเวหาเข้าไปภายในคำเดียว แล้วค่อยๆย่อยสลาย เพราะหลิวหลีได้ใช้เพลิงเซียนแผดเผาก่อนแล้ว จึงเหลืออยู่แต่พลังบริสุทธิ์ ส่วนเอ๋าเลี่ยกลับร่างเดิม ร่างกายหดเหลือขนาดหนึ่งเมตร เริ่มบำเพ็ญฝึกฝน นี่เป็นการเติมเต็มส่วนสุดท้ายที่ขาดหายไป เอ๋าเลี่ยเริ่มพยายามบรรลุเข้าสู่ขั้นเซียนนภานพเก้า
เฟิ่งอิงเสวี่ยกลับมาอยู่ในร่างหงส์เหมันส์ ดูดซึมดวงจิตอสูรของราชาวารีราวแม่ไก่กกไข่ เพราะในที่สุดแล้วคูหลินมอบดวงจิตให้ด้วยความเต็มใจ ภายในจึงไร้ซึ่งสิ่งแปลกปลอม เมื่อขนาดของดวงจิตอสูรเล็กลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง เฟิ่งอิงเสวี่ยก็บรรลุขั้นเซียนสุวรรณนภาขั้นสุดยอด ดวงจิตอสูรที่เหลือจึงถูกเฟิ่งอิงเสวี่ยกลืนกินลงไปในคำเดียวและค่อยๆกลืนกินไปช้าๆ
เสียงคำรามของมังกรและหงส์ในตอนนี้ ทำให้บรรยากาศครึกครื้นมากทีเดียว
“ท่านพี่ ท่านว่าพี่เอ๋าเลี่ยกับพี่อิงเสวี่ยใครจะบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าได้ก่อนกัน” จื่อฉีผู้ยืนอยู่ข้างๆหลิวหลีกล่าวถามขึ้น
“ยังจะต้องถามอีกหรือ ต้องเป็นอาเลี่ยอยู่แล้วสิ ถึงแม้ว่าดวงจิตอสูรของมังกรเวหา จะสู้ดวงจิตอสูรของราชาวารีไม่ได้ แต่ว่าพี่อาเลี่ยของเจ้ามีความแข็งแกร่งมากกว่า รากฐานของเฟิ่งอิงเสวี่ยยังอ่อนแออยู่” หลิวหลีตอบโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ จื่อฉีได้ยินก็แลบลิ้น เขานึกว่าพี่สาวที่เป็นทาสสามี จะบอกว่าพี่อิงเสวี่ยเก่งกว่าเสียอีก
“จริงๆแล้วข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่งกับสิ่งที่สั่งสมมา อาเลี่ยมีมากกว่าเล็กน้อย แต่เขาขาดแค่โอกาสก็เท่านั้น
“แต่พอนึกถึงเนตรกิเลนของเจ้าที่ยังพัฒนาได้อีก ข้าก็รู้สึกว่าดวงใจมังกรของอาเลี่ย กับดวงใจหงษ์ของอิงเสวี่ยน่าจะสามารถพัฒนาต่อได้เหมือนกัน จื่อฉี ในฐานะที่เจ้าบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าก่อนพวกเขา ช่วยพวกเขาฝึกฝนหน่อยดีไหม” หลิวหลีลูบคาง คิดๆแล้วยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“ท่านพี่ ท่านเพิ่งจะปฏิเสธผู้นำสกุลหลงไป หากว่าไปช่วยพี่อาเลี่ยอีก จะถูกนินทาเอานา” จื่อฉีถึงแม้จะเข้าสู่ขั้นเซียนนภานพเก้าก่อน แต่เขาก็ยังกลัวพี่ชายกับพี่สาวอยู่ดี ตั้งแต่เขาเกิดมา ก็มีความทรงจำว่าทั้งสองคนนี้สุดยอดมาก ในใจของจื่อฉีจึงขาดความมั่นใจ รีบบอกให้หลิวหลีล้มเลิกความคิดนี้ หากว่านางทำเช่นนั้นจริงๆ คาดว่าคนในบ้านสกุลหลงคงจะรู้สึกไม่พอใจกันแน่
“คนธรรรมดาพวกนั้นในสกุลหลงเสมอเทียบกับอาเลี่ยได้หรือ แต่จื่อฉี ที่เจ้าพูดมาก็ดูมีเหตุผล แล้วจะทำอย่างไรกับดวงใจมังกร” มีของดีอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ จะน่าเสียดายเกินไปแล้ว
“อือ ให้พวกบรรพชนเป็นคนลงมือ ก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน” จื่อฉีมองดูบรรพบุรุษอย่างเอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานที่อยู่ไม่ไกล พูดเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างให้พวกเขาฟัง พวกเขาคงต้องยินดีช่วยแน่
ผลปรากฏว่าเหมือนที่จื่อฉีคาดไว้ไม่มีผิด พอได้ยินจื่อฉีบอกว่าของที่บรรพบุรุษให้มายังไม่ได้ถูกนำมาใช้ทั้งหมด เขาจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกหลิวหลีทรมานมา 200 ปี ทำให้ได้รู้ว่าเนตรกิเลนไม่ถูกใช้จนเต็มความสามารถของมัน บรรพชนทั้งสองก็เชื่อสนิทใจ รออีกสองคนออกฌานก็เตรียมจะลงมือ
หลงหลิวหลีดูจื่อฉีคุยโวไปเรื่อยกับบรรพชนอสูรเทพทั้งสองท่านก็สงสัยว่าเขาพูดอะไร สีหน้าซับซ้อน กิเลนน้อยของนางโตแล้ว รู้จักหลอกใช้บรรพชนแล้ว นางควรจะหัวเราะหรือว่าจะหัวเราะดี จื่อฉี ทำได้ดี มีตัวเลือกที่ดีขนาดนี้ ทำไมต้องลงมือเองกัน
จนนิมิตบนฟ้าสิ้นสุดลง เอ๋าเลี่ยประคองพลังบำเพ็ญเพียรให้คงที่แล้วชิงออกมาจากฌาน พลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนนภานพเก้าย่อมแตกต่างจากเซียนสุวรรณนภา สัญลักษณ์สีหยกบนหน้าผาก ทำให้เอ๋าเลี่ยยิ่งรู้สึกได้ใจ
“จื่อฉี เจ้าเข้าสู่ขั้นเซียนนภานพเก้าเมื่อใด” ได้ใจไม่ถึงหนึ่งนาที ก็ถูกตบหน้าเข้าอย่างแรง เดิมเอ๋าเลี่ยวางแผนว่าพอออกมาจะมาปลอบใจจื่อฉี เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ฝึกบำเพ็ญมาด้วยกัน พลังบำเพ็ญเพียรก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เพราะครั้งนี้หลิวหลีให้ดวงจิตอสูรแค่เขากับอิงเสวี่ยเท่านั้น เรื่องแรกที่เขาอยากจะทำก็คือให้กำลังใจจื่อฉี แต่สัญลักษณ์สีหยกบนหน้าผากของเด็กนั่นทำให้เขารู้สึกตาร้อน ถึงแม้จะไม่ได้ถูกตบจริงๆ แต่ก็รู้สึกหน้าชาทีเดียว
“เร็วกว่าพี่อาเลี่ยนิดหน่อย” จื่อฉีทำมือเปรียบเทียบ แค่นิดเดียวจริงๆ เห็นเอ๋าเลี่ยที่ทำหน้าเหมือนถูกโจมตี จื่อฉีก็แอบรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ในที่สุดเขาก็สามารถนำหน้าพี่ชายกับพี่สาวได้ หากเขาอยู่ในร่างอสูร ก็คงจะได้เห็นจื่อฉีกระดิกหางไปมาอย่างมีความสุข
“อาเลี่ย ออกฌานแล้วหรือ ข้ารู้สึกคันไม้คันมืออยู่พอดี พวกเรามาลองซ้อมกันดูหน่อย” เอ๋าเฟิงเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น
“ขอรับ” เอ๋าเลี่ยที่อยากจะระบายอารมณ์ด้วยการต่อสู้ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เขาคิดจะได้เชิดหน้าชูคอ แต่กลับเหมือนถูกตบหน้า ต้องการหาที่ระบายสักหน่อย
ทั้งสองคนสู้กันอยู่กลางอากาศ แล้วเอ๋าเฟิงค้นพบด้วยความประหลาดใจ ลูกหลานของเขามีความสามารถไม่เบา ยิ่งสู้กันก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง สุดท้ายทั้งสองกลายร่างเป็นมังกร เอ๋าเลี่ยเป็นมังกรยักษ์สีแดงโลหิต เอ๋าเฟิงเป็นสีทอง ดูงดงามไม่น้อย
จื่อฉีมองดูพี่สาวของเขามองสายตาหลงใหลอย่างงุนงง
“มังกร เป็นมังกรจริงๆ เท่จัง สวยมากจริงๆ น่าเกรงขามเหลือเกิน” หลิวหลีดูพลางพึมพำ ทำให้เฟิ่งซานที่อยู่ข้างๆเกิดความคิดขึ้นว่า ที่นังหนูเลือกอยู่ในรายชื่อสกุลหลงคงไม่ใช่เพราะว่าสามารถทำพันธสัญญากับมังกรได้หรอกกระมัง จากนั้นก็ส่ายหัวจะเป็นไปได้อย่างไร แต่กลับไม่รู้ว่าการคาดเดานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเพราะว่าทำพันธสัญญากับมังกรได้จริงๆนางจึงเลือกเช่นนี้ ต่อให้เป็นเพราะเหตุผลไร้สาระ นางก็ปฏิบัติต่อบ้านสกุลหลงดีกว่าอยู่ดี
มังกรยักษ์ 2 ตัวสู้กันอย่างต่อเนื่อง เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามังกรยักษ์สีทองแข็งแกร่งกว่า แต่ว่าพลังการต่อสู้ของมังกรยักษ์สีแดงโลหิตก็ทำให้ประหลาดใจได้ไม่น้อย ถือได้ว่าสุดยอดทั้งคู่ แต่คนที่สัมผัสได้ดีที่สุดก็คือเอ๋าเฟิง เขาไม่เคยฝึกซ้อมกับลูกหลานอย่างจริงจังมาก่อน ใครจะไปนึกว่า พลังการต่อสู้ของมังกรตัวน้อยจะไม่ธรรมดาเช่นนี้ ราวเป็นเทพแห่งสงคราม
เอ๋าเลี่ยก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของเขากับบรรพชน ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าดวงใจมังกรดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น หรือดวงใจมังกรจะยังถูกดูดซึมไปไม่หมด เขาเกิดตกใจกับความคิดที่เกิดขึ้น และเพื่อพิสูจน์ความคิดของตนจึงโจมตีรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
“ดูแล้ว พวกเขายังคงต้องสู้กันอีกสักพัก” เฟิ่งซานกล่าว
“บรรพชน หลิวหลี จื่อฉี ทำไมท่านเอ๋าเฟิงกับอาเลี่ยถึงได้สู้กัน” เฟิ่งอิงเสวี่ยที่เพิ่งออกฌานมาก็สังเกตเห็นมังกรยักษ์ต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ เกิดอะไรขึ้นหรือ
“ยินดีด้วย อิงเสวี่ย เจ้าเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว” หลิวหลีมองสัญลักษณ์สีหยก ทำไมรู้สึกว่าเมื่ออยู่กับอิงเสวี่ยที่มีพลังเหมันต์แล้วจึงดูโดดเด่นงดงามขึ้น ดูเข้ากันได้ดีทีเดียว
“จื่อฉี เชื่อเจ้าเลย เจ้าก็เป็นเซียนนภานพเก้าแล้วหรือ” อิงเสวี่ยที่เดิมก็ยังอยากจะให้กำลังใจจื่อฉีเช่นกัน แต่ผลกลายเป็นว่าสัญลักษณ์สีหยกบนหน้าผากของเขา ทำให้นางถึงกับงง นางตั้งใจว่าเดี๋ยวพอออกมาจะพูดปลอบจื่อฉี ใครจะไปนึกว่าเจ้าหนูนี่จะเข้าสู่ขั้นเซียนนพเก้านภาก่อนพวกเขาเสียอีก รู้สึกเหมือนถูกโจมตี
“นังหนูอิงเสวี่ย ในเมื่อออกฌานแล้ว มาเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ข้าหน่อยเป็นอย่างไร” เฟิ่งซานนึกถึงคำพูดของจื่อฉี จึงออกปากชวน
“เจ้าค่ะ” นางต้องการที่จะต่อสู้เพื่อระบายอารมณ์อยู่พอดี นางเป็นคนเย็นชา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ ตอนนี้นางแค่รู้สึกเจ็บที่ใบหน้า เจ็บมาก
ดังนั้นฝั่งนั้นมังกรยักษ์ 2 ตัวกำลังต่อสู้กันอยู่ ส่วนฝั่งนี้หงส์ก็ได้เริ่มสงครามขึ้น
ผู้ชม 2 คนที่อยู่ด้านล่างกินเนื้ออบแห้งไปพูดคุยกันไปก็มากพอจะทำให้คนที่เดินผ่านไปมาคันปาก
“ท่านพี่ นึกไม่ถึงเลยว่าพี่อิงเสวี่ยที่ดูเหมือนสูงส่งไม่ข้องแวะกับโลก พอต่อสู้ขึ้นมาก็โหดเหี้ยมมากทีเดียว” จื่อฉีมองดูหงส์เหมันต์แล้ววิจารณ์
“นั่นสิ หงส์สู้กันก็ดูน่ามอง แต่ส่วนตัวข้าชอบดูการต่อสู้ของมังกรยักษ์มากกว่า” หลิวหลีเหลือบมองการต่อสู้ของหงส์ แล้วก็กลับไปดูการต่อสู้ของมังกรยักษ์ต่อ การแสดงออกลำเอียงอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้
“พี่สาว มีแต่พี่เท่านั้นที่พูดอะไรแบบนี้แล้วจะไม่ถูกซ้อม” จื่อฉีใช้หางตามองหลิวหลีที่กำลังสนใจการต่อสู้ของมังกรยักษ์
“ชมเกินไปแล้ว”
เขาพูดชมพี่สาวหรือ พี่สาวหน้าหนาขึ้นไม่น้อย แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจมาตลอดเลยว่า ทั้งๆที่ร่างเดิมของกิเลนก็น่าเกรงขาม งดงามเช่นกัน ทำไมพี่สาวถึงได้เอนเอียงไปทางมังกรมากเป็นพิเศษ ไม่เข้าใจ เลยจริงๆ ถึงท่านพี่จะปฏิบัติต่อเขากับพี่อาเลี่ยเหมือนกัน แต่ว่าเขากล้าเอาเนื้ออบแห้งเป็นเดิมพัน หากเขากับพี่อาเลี่ยคืนร่างเดิมพร้อมกัน สายตาของพี่สาวจะต้องอยู่ที่พี่อาเลี่ยแน่นอน
การฝึกซ้อมกลางอากาศมาถึงช่วงสุดท้าย มังกรยักษ์กับหงส์ลอยลงสู่พื้นดิน กลายร่างเป็นคน เอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยไม่พูดจา แต่กลับไปเข้าฌานทันที เอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานดีใจเป็นอย่างมาก ลูกหลาน 2 คนนี้ไม่เลว ถึงขนาดบังคับให้พวกเขาใช้ความสามารถที่แท้จริงบางส่วนออกมาได้
“คงจะถูกจื่อฉีกระตุ้นมากเกินไป” เอ๋าเฟิงนึกถึงเอ๋าเลี่ยที่ยิ่งสู้ก็ดุเดือดมากขึ้นไปทุกที สมแล้วที่เป็นมังกรเทพแห่งสงคราม ส่วนเฟิ่งซานเองก็รู้สึกพอใจในตัวเฟิ่งอิงเสวี่ยมากเช่นเดียวกัน นังหนูคนนี้ดูเย็นชา แต่เวลาต่อสู้ขึ้นมาก็ไม่ธรรมดา
“ใช่ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะกลัวว่าการบรรลุขั้นของตัวเองจะเป็นการทำร้ายจื่อฉี แต่กลับไม่รู้ว่าเจ้าเด็กคนนั้นนำหน้าพวกเขาไปแล้ว” เฟิ่งซานส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
“ยิ่งไปกว่านั้นเลยก็คือ เด็กสองคนนั้นยังนั่งดื่มชาเซียน กินเนื้ออบแห้ง นั่งชมการต่อสู้อย่างมีความสุขเสียด้วย” เอ๋าเฟิงเหลือบมองหลิวหลีที่กำลังแหงนมองบนท้องฟ้าและจื่อฉีที่กำลังนั่งเล่นนิ้ว
…………………..