แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 26 หุบเขาเหมันต์
หลังจากออกไปแล้ว หลิวหลีสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วก็ตบที่หน้าผากตนเอง
“ลืมจัดการมังกรเหมันต์เลย”
หนานกงเวิ่นเทียนก็คิดว่ามีเรื่องอะไร คิดไม่ถึงว่าจะยังมีมังกรเหมันต์อีก
“ถูกต้อง ตอนข้าเข้ามาตอนแรก มีมังกรเหมันต์อยู่ตัวหนึ่ง” พอคิดถึงมังกรเหมันต์ที่โชคร้ายตัวนั้น เอ๋าเลี่ยก็เอามือขึ้นมาปิดหน้าอย่างอดไม่ได้ก็ไม่เคยเห็นใครซวยขนาดนี้
“มังกรเหมันต์เป็นธาตุเหมันต์ เอามาทำขนมให้เสี่ยวเทียนน่าจะดีที่สุด ใช่แล้ว มันน่าจะมีดวงจิตอยู่ พวกเราไปจัดการมันเสียก่อน แล้วค่อยไปที่อื่นดีไหม” หลิวหลีกระพริบตาพลางเอ่ย
พอพูดจบก็ลากหนานกงเวิ่นเทียนกลับไปในถ้ำเซียนปล่อยมังกรเหมันต์ออกมา พอเห็นมังกรเหมันต์ในสภาพสมบูรณ์ หนานกงเวิ่นเทียนก็ตะลึงไป มังกรเหมันต์ตัวนี้ตายอย่างไร ทำไมถึงสภาพสมบูรณ์ได้ขนาดนี้ ถึงพลังบำเพ็ญเพียรของเขาจะฟื้นฟูได้เท่าเดิม ก็คงไม่สามารถปลิดชีพมันโดยไม่สร้างความเสียหายแม้แต่เสี้ยวเดียวได้ แล้วแววตาก็เหลือบเห็นเข้ากับรอยเท้าบนจุดตาย
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย มังกรเหมันต์ตัวนี้ตายได้อย่างไร” เฟิ่งอิงเสวี่ยถามอย่างแปลกใจ
“เอ่อ อิงเสวี่ย เจ้ารู้ไหม ข้าไม่เคยเห็นใครดวงแข็งขนาดนี้ นังหนูนี่พอเข้ามาในแดนลี้ลับ ก็เหยียบงูสองหัวตาย ในถ้ำนี้ก็เหมือนกัน เดิมเคยคิดว่าการจะพังค่ายกลจะต้องใช้มือ นังหนูนี่ไม่ได้ใช้วิธีปกติ แต่ใช้ขาเหยียบเฉยเลย มังกรเหมันต์ที่โชคร้ายตัวนี้ถูกขังมานานจนเกินไป พอได้ยินเสียงกุกกักก็นึกว่าจะมี
ผู้บำเพ็ญเพียรตกถึงท้อง แต่สุดท้ายยัยเด็กนี่ความสูงไม่ถึง เท้าไปอยู่บนจุดตายของมันพอดี” เอ๋าเลี่ยส่งเสียงบอกเฟิ่งอิงเสวี่ย โชคดีได้ขนาดนี้คงจะไม่มีใครอีกแล้ว
“โชคร้ายจริงๆ” อิงเสวี่ยนิ่งไปอยู่นาน กว่าจะเอ่ยเสริมขึ้นมา ทั้งสองไม่ได้ปิดบังหนานกงเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนมองเด็กตรงหน้า ช่างเป็นคนชงกับสัตว์จำพวกงูจริงๆ
หลิวหลีลอกหนังของมังกรเหมันต์ออกก่อน บริสุทธิ์สะอาดไร้สิ่งเจือปน แล้วจึงนำจุดพลังของมังกรเหมันต์ออกมา ส่งให้หนานกงเวิ่นเทียนโดยไม่แม้แต่จะมอง จากนั้นก็เริ่มดึงเส้นเอ็น กรีดเลือดออกอย่างไม่รีรอ และสุดท้ายก็จัดการกับเนื้อมังกรเหมันต์กองนั้น ตุ๋นน้ำแดง ย่างแห้ง ตุ๋นน้ำซุป นำส่วนหัวของมังกรเหมันต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างถึงที่สุด พอคนพวกนั้นออกมาอีกรอบ ถุงเก็บของของหนานกงเวิ่นเทียนก็มีของที่ทำจากมังกรเหมันต์จำนวนไม่น้อย นางมอบจุดพลังของมังกรเหมันต์ให้เฟิ่งอิงเสวี่ย ตอนที่ตายมังกรเหมันต์ตัวนี้ยังไม่ทันได้มีอารมณ์โกรธแค้น ในจุดพลังจึงไม่มีความโกรธแค้น เฟิ่งอิงเสวี่ยสามารถกินได้พอดิบพอดี
หลิวหลีเดินออกมาอย่างพอใจ แต่กลับเป็นว่าได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากสหายโจวอี โจวอีกับพี่ชายพี่สาวของเขา อีกทั้งคนจำนวนไม่น้อยติดอยู่ภายในหุบเขาเหมันต์
หลิวหลีที่ดูเสร็จก็เอือมระอา การฝึกฝนในครั้งนี้ต้องเจอปัญหาอีกแล้ว
“พวกเราไปหุบเขาน้ำแข็งกันเถอะ โจวอีกับโจวมั่วติดอยู่ในหุบเขาน้ำแข็ง” อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีจุดหมายปลายทางอะไร ไม่สู้ไปสำรวจหุบเขาเหมันต์ดู
“ไปสิคิดว่าจุดนั้นน่าจะมีของดีอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้น
ภายในหุบเขา โจวอีดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึก อุณหภูมิภายในร่างกายก็สูงขึ้นมา
“โชคดีที่เชื่อหลิวหลี ซื้อเหล้ามาจำนวนไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่รอดแน่” ถึงแม้จะมีพลังเซียนปกป้องร่างกาย เมื่อนึกถึงตอนนั้นเขาคิดว่าไม่สมเหตุสมผล น่าขัน ตอนนี้สิ่งน่าขันนั้นกลับสามารถช่วยพวกเขาได้ชั่วคราว มองไปรอบๆ คนอื่นๆพากันกางค่ายกลหรือไม่ก็ใช้วิธีการอื่นๆ เฮ้อสุรานี้ถือว่าใช้ได้ดีที่สุดแล้ว
หลิวหลีทำตามคำแนะนำมาถึงบริเวณขอบเขตชั้นนอกของหุบเขาเหมันต์อย่างรวดเร็ว สมกับช่ือหุบเขาเหมันต์ พลังเซียนในร่างกายเปลี่ยนเป็นพลังเซียนเพลิงบุปผาเหมันต์ ด้านนอกดูหนาวเหน็บ ในร่างร้อนระอุ หนานกงเวิ่นเทียนสามารถปรับตัวได้จนเป็นปกติ เพราะตัวเขาเองก็เป็นแกนวิญญาณเหมันต์
คนทั้งสองก้าวเข้าไปในหุบเขาเหมันต์ ทุกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งแกะสลักที่ราวมีชีวิต ที่นี่ก็คือโลกเหมันต์ หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตาบอดเพราะน้ำแข็งเต็มที เฟิ่งอิงเสวี่ยกับเอ๋าเลี่ยกลับไปอยู่ในมิติอสูรภูต หงส์นั้นกร่างเกินไป ส่วนเอ๋าเลี่ยนั้น หลิวหลีรู้สึกว่าเขาแปลกประหลาดเกินไป ควบคุมไม่ไหว ไม่เอาออกมาจะได้ไม่ขายหน้า ถึงแม้จะมีคนรู้จักนางแค่ไม่กี่คน
“เจ้ารู้สึกหรือไม่เหมือนว่าพลังเซียนของตัวเองเหมือนกำลังลดลง” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้นพลางขมวดคิ้ว เป็นเพราะเพิ่งบรรลุช่วงพื้นฐาน เขาจึงอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงของพลังเซียน ถึงแม้จะไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ก็ค่อยๆสามารถรู้สึกได้ และที่สำคัญคือ
“พอมองกลับไป ทางที่เราเดินมาก็หายไปแล้ว” หลิวหลีมองความว่างเปล่าที่อยู่ด้านหลัง ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกแปลกพิกล
“อิงเสวี่ย เจ้าคิดว่าอย่างไร” เอ๋าเลี่ยถามขึ้น ร่างเดิมของเฟิ่งอิงเสวี่ยคือหงส์เหมันต์ทมิฬ นางจึงมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับเหมันต์ลึกซึ้งกว่าพวกเขา
“ไม่ปกติมากๆ ที่นี่ไม่เหมือนสถานที่ที่มีพลังเหมันต์เลย ความหนาวเหน็บพวกนี้ประหนึ่งภาพลวงตาอย่างมาก” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดพลางขมวดคิ้ว สถานที่ในการฝึกช่วงพื้นฐานของศิษย์ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้
หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ไปต่อ เมื่อสักครู่หลิวหลีโยนหินวิญญาณออกไป แต่ก็ไร้เสียงอะไรกลับมา ทำให้ทั้งสองยิ่งระวังตัวมากขึ้น พลังเซียนค่อยๆลดลงไปอย่างช้าๆ
พวกโจวอีรู้สึกว่าเหมือนกำลังจะแข็งตายแล้ว เหล้าที่ดื่มเข้าไปก็ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นเท่าไหร่
“เมื่อไหร่หลิวหลีจะมาถึง” โจวอีเสียงสั่น หนาวจริงๆ
“เฮ้อ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นอาจทำให้คนตายได้” โจวมั่วพูดอย่างทุกข์ทน
พวกโจวซานกับโจวหลิวไร้ประโยชน์มากกว่าเดิม รออยู่ที่นี่คงจะไม่ใช่วิธีที่ดีนัก พลังเซียนที่อยู่ภายในร่างกายลดลงไปเกือบครึ่ง
“ท่านพี่ พวกเราไปตามหาทางออกกันเถอะ อย่าฝากหวังทั้งหมดไว้ที่หลิวหลีเลย” โจวอีโพล่งออก
“จริงด้วยท่านพี่ อยู่ที่นี่ก็อาจแข็งตาย ลองเดินวนรอบๆอาจเจอะอะไรเข้าก็ได้” โจวมั่วก็เห็นด้วยเช่นกัน
“พี่ใหญ่ ที่น้องหกกับน้องเจ็ดพูดมาก็มีเหตุผล เราลองสู้อย่างถึงที่สุด ยังดีกว่าต้องมานั่งรอความตายอยู่ตรงนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความหวังก็ได้” โจวหลิวก็พูดขึ้นมาเช่นเดียวกัน
“ก็ได้ พวกเราลองไปเดินดูรอบๆกัน แต่ห้ามอยู่ไกลกันล่ะ” โจวซานมองดูน้องๆความหวังส่องประกายในแววตา ฝืนใจเห็นด้วย
พี่น้องสกุลโจวเริ่มขยับตัว เมื่อคนอื่นๆมองเห็นก็แสดงท่าทีแตกต่างกัน บ้างก็ย่นจมูกหัวเราะเยาะ บ้างก็ทำหน้าสงสาร บ้างชื่นชม หรือบ้างก็ขอติดตามไปด้วย
ส่วนหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็กำลังเดินทางต่อ หลิวหลีจิบเหล้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อขจัดความหนาวเย็นออกจากร่างกาย เมื่อใช้เพลิงอัคคีอยู่ตลอดทำให้รู้สึกว่าพลังเซียนลดลงไปเร็วยิ่งขึ้น หลิวหลีคิดถึงสุราศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองซื้อมา เดินไปพลางดื่มสุราไปพลางกับหนานกงเวิ่นเทียน
“หยุดก่อน” เฟิ่งอิงเสวี่ยตะโกนเสียงดัง
หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนชะงัก
“อิงเสวี่ยมีอะไร?” หนานกงเวิ่นเทียนถาม
“เวิ่นเทียน นี่คือโชคชะตาและโอกาสของเจ้า” น้ำเสียงของเฟิ่งอิงเสวี่ยดูตื่นเต้นเล็กน้อย
“ชะตาข้าเช่นนั้นเหรอ?” หนานกงเวิ่นเทียนถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าแดนลี้ลับแห่งนี้จะมีของดีเช่นนี้ เมื่อครู่ข้ารู้สึกตลอดว่าที่นี่แปลกประหลาด ทั้งๆที่มีพลังเหมันต์อัดแน่น แต่ทำไมข้ากลับรู้สึกเหมือนว่าที่ไม่ไม่ใช่ดินแดนเหมันต์แม้แต่น้อย” น้ำเสียงเฟิ่งอิงเสวี่ยมีความตื่นเต้นเล็กน้อย
“ดินแดนเหมันต์?” หนานกงเวิ่นเทียนทวน
ใช่ ดินแดนเหมันต์ ภายในคงมีวิญญาณเทพเหมันต์อยู่ ถ้าเวิ่นเทียนได้ครอบครองมัน ก็จะกลายเป็นร่างวิญญาณเหมันต์ แกนวิญญาณก็จะบริสุทธิ์ทั้งหมดเลยด้วย”
พอเฟิ่งอิงเสวี่ยพูดขึ้น หลิวหลีก็พลันรู้สึกว่า การเดินทางมายังแดนลี้ลับครั้งนี้เป็นไปเพื่อหนานกงเวิ่นเทียนแน่ ของล้ำค่าหายากอย่างวิญญาณเทพเหมันต์และวิญญาณภูตพฤกษาก็ถูกพวกเขาหาเจอ นี่เรียกว่าโชคชะตาชัดๆ ไม่สิ มันคือโชคชะตาและโอกาส
“แปลว่าพวกเราควรไปทางนั้นหรือ?” หลิวหลีถาม
“ต้องแล้วแต่เวิ่นเทียนแล้ว เวิ่นเทียนเจ้าต้องบอกทางพวกเรา” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดขึ้นแกนวิญญาณเหมันต์จะสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของวิญญาณเทพเหมันต์
………………………………………………