แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 271 ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าหมายความว่าอสูรเทพทั้งสองต้องการพบข้าหรือ” จักรพรรดินีนภาพฤกษานึกว่าหูฝาดไป นังหนูนั่นโน้มน้าวพวกเขาได้จริงๆ เป็นไปได้อย่างไรกัน แถมจื่อฉีก็ช่างเชื่อฟังคำพูดของพี่สาวเสียเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้นางคงมีเรื่องให้กลุ้มใจเสียแล้ว เพราะหากเอาแต่เชื่อคำพูดของพี่สาวทุกอย่างจะให้ทำอย่างไร ชวนให้คิดว่าเรื่องในครอบครัวมากมายคงขึ้นอยู่กับพี่สะใภ้ น้องชายที่เชื่อฟังพี่สาว จนไม่ฟังฮูหยินตนเอง เมื่อไตร่ตรองดูแล้วจื่อฉีถือว่าเป็นคู่ครองที่ไม่เหมาะสม อีกเดี๋ยวนางต้องใช้สมองคิดแล้วว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปให้ตรงเวลาแล้วกัน” จักรพรรดินีทรงมีแผนการอยู่ในใจ ถึงแม้อยากจะให้ธิดาออกเรือนก็จริงแต่ก็ต้องพิจารณาดูสถานการณ์ของครอบครัวด้วย การเกี่ยวดองกันนั้นไม่ใช่แค่เรื่องความเหมาะสมของคนสองคนเท่านั้นแต่ขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้ของสองครอบครัวด้วย จำเป็นต้องยอมรับว่าความเห็นของจักรพรรดินีนภาพฤกษาและหลิวหลีนั้นตรงกันโดยไม่ได้ปรึกษากันด้วยซ้ำ
ส่วนจื่อฉีเหลือเชื่อ มีท่านพี่ของเขาอยู่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ จู่ๆเขาก็เฝ้าคอยอยากเจอมู่มู่เช่นกัน
มู่มู่เองก็รอคอยอยู่เช่นกัน ในที่สุดนางต้องตัดสินใจเรื่องงานมงคลแล้วหรือนี่
จักรพรรดินีนภาพฤกษามองกลุ่มครอบครัวฝ่ายชาย พวกนางสองคนแม่ลูก อสูรเทพยังพอไหวแต่ถึงกับพาหนานกงเวิ่นเทียนมาด้วย จะเอาปริมาณมาข่มเลยหรือนี่
“จักรพรรดินี บัดนี้ข้าได้ทำตามความปรารถนาของท่านแล้ว ท่านอาเอ๋าเฟิงรับปากแล้ว ท่านคงไม่มีความคิดเห็นโต้แย้งอะไรแล้วกระมังเพคะ” หลิวหลีพูดตรงไปตรงมาเพื่อให้อสูรเทพที่ชอบพูดอะไรไม่คิดรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง
“แน่นอน แต่ว่าข้ามีคำถามสักสองสามข้ออยากถามเจ้าจื่อฉี” จักรพรรดินีพยายามรักษามารยาทที่สมบูรณ์แบบ
“จักรพรรดินีกล่าวมาเถิด” จื่อฉียืดหลังตรง นี่เป็นคำถามจากบิดามารดาฝ่ายหญิง จื่อฉีประสานสายตากับจักรพรรดินี
“ทำไมเจ้าถึงชอบลูกสาวข้า ข้าอยากฟังความจริง” เมื่อทรงทอดเนตรเห็นแววตาจริงจังของจื่อฉีมองตน ที่ประสานสบตาถือว่าเขาใช้ได้ทีเดียว
“คือ อันที่จริงท่านพี่ข้าชอบต่างหาก” ทุกคนมองหลิวหลีด้วยแววตาตกตะลึง นางเป็นผู้หญิงแต่กลับชอบผู้หญิงอีกคน นี่หมายความว่าอะไรกัน
“ท่านพี่ชอบ บอกว่าได้มาเป็นน้องสะใภ้ของนางคงดีไม่น้อย ถึงแม้สัญชาตญาณของท่านพี่จะไม่เคยพลาดมาก่อนแต่ข้าก็อยากจะพบนางสักครั้ง สุดท้ายเมื่อได้เจอมู่มู่ในครั้งแรก ก็รู้ได้ว่านางคือคนที่ข้าเฝ้าใฝ่หา” คำพูดของจื่อฉีทำเอาคนฟังเชื่อได้อย่างง่ายดาย
“เช่นนั้นพี่ของเจ้าเป็นคนให้เจ้าตามจีบมู่มู่ล่ะสิ” จักรพรรดินีนภาพฤกษาหยั่งเชิง ถึงจะทรงเกือบซึ้งใจแล้วแต่ก็ยังไม่วางใจ
“หลังเจอกันครั้งแรกข้าก็ชอบมู่มู่โดยไม่รู้ตัวแล้ว” จื่อฉีอธิบาย มู่มู่ที่อยู่ด้านข้างกลายเป็นลูกแอปเปิลน้อยไปแล้ว เหตุใดท่านแม่ถึงถามอะไรน่าอายแบบนี้ต่อหน้าคนมากมายนะ
“คงไม่ใช่ว่าเจ้าเจอผู้บำเพ็ญหญิงน้อยเกินไปเลยไม่มีตัวเปรียบเทียบถึงเข้าใจผิดคิดว่าชอบมู่มู่เข้าหรอกนะ” จักรพรรดินีตรัส ตั้งแต่เกิดมาคนที่เจ้าเด็กคนนี้อยู่ด้วยมากที่สุดก็คือหลิวหลี คงไม่ได้เจอผู้หญิงมาสักเท่าไรแน่ ดังนั้นถึงได้ตัดสินใจผิด คงจะเป็นเช่นนี้
“มิได้ ข้าจะเจอผู้บำเพ็ญหญิงมาน้อยได้เช่นไร เพียงแต่พอเห็นพวกนางแล้วข้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย มีเพียงแค่มู่มู่เท่านั้นที่ทำให้ข้ารู้สึกต่างออกไป จักรพรรดินีโปรดวางใจ ข้าจะดูแลมู่มู่อย่างดี หากมู่มู่บอกทิศตะวันออกข้าไม่มีทางจะไปทิศตะวันตก หากมู่มู่บอกว่าพระอาทิตย์สีฟ้าข้าก็จะไม่ค้าน ทุกสิ่งของข้าก็จะมอบให้นาง นางพูดอะไรข้าก็จะเชื่อฟังทุกอย่าง”
จักรพรรดินีถูกคำพูดราวคำสารภาพรักของจื่อฉีทำให้ใจหวั่นไหว เจ้าเด็กนี่ไปเรียนกับใครมานะ ปากหวานเสียจริง เอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานต่างมุมปากกระตุก พวกเขาไม่รู้เลยจริงๆว่าเจ้าเด็กจื่อฉีนี่จะพูดเป็น ลองดูนังหนูมู่มู่ที่มีสีหน้าซาบซึ้งใจและท่าทีของจักรพรรดินีที่ดูใจอ่อนลงนั่นสิ
“หลังแต่งงานทรัพย์สมบัติของเจ้าจะมอบให้มู่มู่ทั้งหมด แล้วเจ้าจะไม่มอบให้ท่านพี่ของเจ้าดูแลให้หรือ?” จักรพรรดินีถามลองใจ
“เหตุใดต้องมอบให้ท่านพี่ของข้าด้วยเล่า ทรัพย์สมบัติของข้านั้น ข้าดูแลเองทั้งหมด ท่านพี่บอกว่าหากไม่มีฮูหยินก็ต้องดูแลเอง หากมีคู่ครองแล้วก็มอบให้นางเป็นคนดูแล ห้ามยั่วโมโหนาง ต้องปกป้องนาง อีกอย่างท่านพี่ยังบอกว่าเมื่อออกเรือนแล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตัดสินใจเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องฟังผู้ใหญ่ไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่หากสร้างเรื่องวุ่นวายล่ะก็ จะโทษผู้ใหญ่ใจร้ายไม่ได้” จื่อฉีพูดตรงไปตรงมา
หลิวหลีที่ได้ฟังก็ตกใจหวังว่าอีกครู่หลังจบการสนทนา บรรพชนเอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานคงไม่ฟันนางทิ้ง หรือไม่ยอมให้นางกลับดินแดนอสูรเทพหรอกนะ จักรพรรดินีเองก็พาลใจอ่อนตามไปด้วย พอได้ฟังคำพูดนี้ ถ้าจื่อฉีแต่งงานกับมู่มู่จริงๆ หลิวหลีคงไม่สนใจว่าเจ้าเด็กสองคนนี้จะทำอะไรบ้าง ขอแค่ไม่ทำอะไรเกินกว่าเหตุผู้ใหญ่ก็คงไม่เข้าไปยุ่ง ไม่เลวเลยจริงๆ ถึงแม้จะดูเป็นผู้หญิงที่ให้ความรู้สึกรับมือได้ยาก แต่คิดไม่ถึงว่าอันที่จริงแล้วจะเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลมาก ทั้งยังให้อิสระที่พ่อแม่หลายคนให้ไม่ได้อีกด้วย
เอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานเงียบไป ดังนั้นที่ดินแดนอสูรเทพกลุ่มนั้นไม่มีอะไรพัฒนานั้นไม่ใช่ว่าไม่พัฒนาจริงๆ แต่เป็นเพราะพวกเขาจุ้นจ้านมากเกินไป และเพราะเหตุนี้ทั้งคู่จึงจำต้องคิดทบทวนอีกครั้ง
“จักรพรรดินี โปรดวางพระทัยเถิด ผู้อาวุโสในดินแดนอสูรเทพเปิดกว้างนัก ไม่มาก้าวก่ายครอบครัวเล็กๆของเด็กสองคนนี้มากมายนักหนาหรอกเพคะ ท่านลองดูผู้อาวุโสในสกุลของข้ากับเวิ่นเทียนสิไม่เห็นจะมายุ่งก้าวก่ายอะไรเลย ” หลิวหลีพูดเสริม สองอสูรเทพมุมปากกระตุก เพราะแต่ไรมาไม่เคยเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ก้าวก่ายต่างหากล่ะ ความคิดของนังหนูนี่ดีไม่หยอก อาหยางอ้าปากพูดประโยคหนึ่ง นังหนูก็สามารถหาเหตุผลมาหว่านล้อมได้ ลื่นไหลจนตอนสุดท้ายอาหยางไม่รู้จะพูดอะไร อีกทั้งเรื่องการฝึกบำเพ็ญของสามีภรรยาคู่นี้เก่งกว่าเด็กน้อยหัวอ่อนพวกนั้นมาก นานวันเข้าอาหยางจึงปล่อยปะละเลย หรือว่าแบบนี้จะดีกว่าจริงๆ เอ๋าเฟิงเริ่มใช้ความคิด
“ข้าจะถามเป็นข้อสุดท้าย เหตุใดท่านอาวุโสอสูรเทพทั้งสองถึงเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ถ้าข้าจำไม่ผิดท่านทั้งสองไม่ชอบเกี่ยวดองกับมนุษย์นี่” จักรพรรดินีสูดหายใจเข้าลึกพลันเอ่ยถามสิ่งที่ทรงข้องใจ แปลกใจและสนใจที่สุดออกมา
“แค่กๆ คือเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าอสูรเทพอย่างเรารังเกียจมนุษย์อย่างพวกเจ้าหรอกนะ แต่เพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป อสูรเทพอย่างพวกเราร่างกายแข็งแกร่ง หากไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอก็จะรับอสูรเทพไม่ไหว ดังนั้นพวกเราถึงไม่ชอบเกี่ยวดองกับมนุษย์ก็เพราะกลัวปัญหานี้” กลัวว่ามนุษย์จะไม่เข้าใจจนเกิดข้อบาดหมางคงจะไม่ดี ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม ดังนั้นพอนานวันเข้าทั้งสองเผ่าจึงไม่เกี่ยวดองกัน
“ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ เช่นนั้นคิดว่าพวกเจ้าก็คงรู้เรื่องที่มู่มู่มีร่างวิญญาณหมื่นบาทบแล้ว ถึงแม้มู่มู่จะดูอ่อนแอแต่ร่างกายกลับแข็งแรงดั่งถังไม้ ข้าเสริมแนวเขตต้องห้ามให้นาง พวกท่านคงมองออก” จักรพรรดินีถอนหายใจ ทั้งที่ธิดาของนางร่างกายแข็งแรงมากแต่กลับมีรูปร่างเหมือนตุ๊กตา ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ต้องกลัดกลุ้มใจขนาดนี้ ตอนนี้เพราะเหตุนี้อสูรเทพถึงได้เห็นด้วยกับการแต่งงาน บวกกับท่าทีของจื่อฉีที่ทำให้นางพอใจ เรื่องกังวลสุดท้ายในใจก็หายไป
“นังหนูหลิวหลีบอกแล้ว”
“เหมือนว่าข้ามีความสามารถมองหลายสิ่งหลายอย่างออก” หลิวหลีพูดพลางส่ายศีรษะ นางมีความสามารถนี้จริงๆไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็ธรรมดาทั่วไป ก็ใช่ว่าจะเป็นตาทิพย์อะไรสักหน่อย นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร
“เช่นนั้นให้เด็กสองคนนี้ทำความรู้จักกันอีกสักระยะหนึ่งเพื่อให้รู้จักมาขึ้นเป็นอย่างไร?” เอ๋าเฟิงกล่าว
“ได้สิ” จักรพรรดินีไม่มีอะไรไม่พอใจ การตัดสินใจเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว อย่ายืนกระต่ายขาเดียว แต่ต้องเหลือเผื่อให้อะลุ่มอล่วยได้บ้าง
………………..