แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 275 ปฏิเสธตำแหน่งรัชทายาท
งานมงคลของเอ๋าเลี่ยสิ้นสุดลง แล้วหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็กลับไปดินแดนอันเป็นที่อยู่ของตน
“นายท่านหลิวหลี จักรพรรดิทรงเรียกหา” หลิวหลีเพิ่งเหยียบเข้าตำหนักเวิ่นเทียน ขุนนางเซียนก็ทูลรายงาน
“หืม? รู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร?” ในใจของหลิวหลีคาดเดาลางๆ เพียงแต่ให้นางพักก่อนสักหน่อยไม่ได้หรือ นางเดินทางข้ามเขาข้ามทะเลมาตั้งไกล
“ไม่ทราบ แต่ว่าข้าเดาว่าน่าจะเรื่องตำแหน่งรัชทายาทขอรับ” อวิ๋นเฟยคาดเดาอย่างใจกล้า ถึงอย่างไรนอกจากนายท่านของพวกเขาก็ไม่มีใครใกล้บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่มีคู่แข่ง
“หา? ข้าไปเพียงครู่เดียว เดี๋ยวก็กลับ อวิ๋นเฟยข้าขอถามเจ้าหน่อยเจ้าคาดหวังจะให้ข้ารับตำแหน่งรัชทายาทไหม?” หลิวหลีมองขุนนางเซียนของตนแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง
“ต้องคาดหวังอยู่แล้วสิขอรับ แต่ฟังจากคำพูดของนายท่านแล้วเหมือนว่าท่านไม่วางแผนที่จะรับตำแหน่งนี้ เพราะเหตุใด?” อวิ๋นเฟยย่อมจับความหมายของหลิวหลีได้อยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องดี เหตุใดนายท่านถึงไม่อยากรับไว้นะ
“อวิ๋นเฟย พวกเจ้าก้าวช้าไปหน่อยนะ” หลิวหลีทิ้งคำพูดที่แสนประหลาดไว้แล้วจากไป ยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะมองอวิ๋นเฟยที่มีท่าทีงุนงง
“อวิ๋นเฟย เหตุใดเจ้าถึงนิ่งไปอย่างนั้นล่ะ?” ชิงหลิ่วเดินเข้ามาก็เห็นเหมือนอวิ๋นเฟยกำลังเหม่อลอยคิดอะไรอยู่
“คิดอะไรนิดหน่อย เมื่อครู่นายท่านบอกว่าพวกเราก้าวช้าไปหน่อย ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเพราะเหตุใดกัน?” อวิ๋นเฟยตั้งสติได้ พอเห็นชิงหลิ่วจึงทวนคำพูดเมื่อครู่ของหลิวหลี เหตุใดนายท่านของพวกเขาถึงได้กล่าวเช่นนี้
“ช้าเกินไปหรือว่า…” ชิงหลิ่วมีความคิดหนึ่งที่ไม่แน่ใจนักผุดขึ้นมา รู้สึกว่าดูไม่ค่อยเป็นจริงสักเท่าไหร่ แต่มากไปกว่านั้นคือความตกตะลึง
“ชิงหลิ่ว เจ้าเดาสิ่งใดขึ้นมาได้หรือ? รีบพูดเร็ว” อวิ๋นเฟยเกิดอาการร้อนใจขึ้นมาบ้าง
“อวิ๋นเฟย นายท่านของเราคงจะรู้สึกได้ถึงเขตขั้นพลังราชาเซียนแล้ว แค่เข้าฌานก็จะบรรลุขั้นราชาเซียนได้” ชิงหลิ่วบอกการคาดเดาของตนเองด้วยความตื่นเต้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพวกขุนนางเซียนกับทหารสวรรค์อย่างพวกเขาก็ช้าเกินไปจริง ๆ
“เซียน ราชาเซียนหรือ เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดนายท่านถึงพัฒนาไปได้เร็วขนาดนั้นล่ะ” อวิ๋นเฟยทำหน้าเหลือเชื่อ
“การบำเพ็ญของนายท่านก็เร็วมากมาโดยตลอดนะ” ชิงหลิ่วค้าน
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายท่านถึงพูดเช่นนั้น มิน่านายท่านถึงเมินตำแหน่งรัชทายาท นางมีพลังอำนาจมากพอจะคุกคามตำแหน่งจักรพรรดิ นางจึงไม่อยากจะสืบช่วงต่อ มิเช่นนั้นองค์จักรพรรดิคงอึดอัดแน่” อวิ๋นเฟยเข้าใจเจตนาของหลิวหลีอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆล่ะก็ จักรพรรดิคงจะทำตัวไม่ถูกแน่ อวิ๋นเฟย ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าการติดตามเจ้านายเช่นนี้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ พวกเราแหงนหน้ามองนายท่านมาตลอด แต่กลับพบว่านายท่านกลับอยู่สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนตอนนี้ถึงจะแหงนหน้ามองก็ไม่เห็นท่านแล้ว” ชิงหลิ่วรู้สึกท้อใจอยู่บ้าง นายท่านของพวกเขาพัฒนาเร็วเกินไป พวกเขาไล่ตามอย่างยากลำบาก
“ชิงหลิ่ว ต้องเป็นความโชคดีของพวกเราอยู่แล้วสิ ข้ารอคอยมาตั้งนาน ในที่สุดก็มีเจ้านายที่ปราดเปรื่องและสายตาหลักแหลม เห็นพวกเราอยู่ในสายตา อีกอย่างท่านเองก็เห็นว่าตำหนักเวิ่นเทียนของเราปฏิบัติต่อกันเช่นไร ขุนนางเซียนกับทหารสวรรค์ตำหนักอื่นอิจฉาพวกเราขนาดไหน อีกอย่างเจ้าก็รู้ว่านายท่านของเราไม่เหมือนคนอื่น จะมีนายท่านคนไหนประลองฝีมือกับพวกเราทีละคนอย่างกระตือรือร้น ชี้แนะในสิ่งที่เราขาดไป และบอกวิธีแก้ไขปัญหายิ่งไปกว่านั้นยังเสนอคำแนะนำที่ดีให้พวกเราอีกด้วย ชิงหลิ่ว เจ้าลองไปถามจื่อจู๋ดูเถิดว่าบัดนี้ พลังการสู้รบของทหารสวรรค์ตำหนักเวิ่นเทียนเราเป็นอย่างไรบ้าง?” อวิ๋นเฟยชี้ให้พวกเขาเห็น บอกว่าพวกเขาโชคดีขนาดไหนที่ได้เจอนายท่านอย่างหลิวหลี พวกเขาเคยประลองกับทหารสวรรค์ตำหนักอื่นเป็นการส่วนตัว ผลสุดท้ายพวกเขาเองก็เก่งกาจราวนายท่านของตน จัดการทหารสวรรค์กลุ่มนั้นจนกระเด็นไปไกล
“ข้าเลอะเลือนเอง” ชิงหลิ่วได้สติขึ้นมาทันที
“พวกเราต้องพยายามถึงจะไล่ตามนายท่านทัน” อวิ๋นเฟยกล่าว
หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าขุนนางเซียนของนางพูดคุยอะไรกันมาบ้าง
“องค์จักรพรรดิ” หลิวหลีคำนับอย่างนอบน้อม และเห็นเหล่าอาวุโสสิบท่านอยู่ด้วย มาด้วยเรื่องนี้จริงหรือเนี่ย?
“นังหนู เจ้าไปร่วมงานมงคลกลับมาแล้วหรือ?” จักรพรรดิมองหลิวหลีที่สีหน้าซับซ้อน
“เพคะ”
“นังหนู รู้หรือไม่ว่าเรียกหาเจ้าด้วยเรื่องอันใด?” จักรพรรดิพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน
“น่าจะเป็นเรื่องที่จะป่าวประกาศว่าข้าเป็นรัชทายาทวังนภาเพลิงกระมัง” หลิวหลีไม่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ท่านอาวุโสทั้งสิบต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองต่างกันไป
“เหอะๆ นังหนู เจ้านี่ช่างคุยโวอย่างไม่ละอายใจเลยนะ แต่เจ้าก็พูดถูกนั่นแหละ” จักรพรรดิพูดพลางยิ้ม เขาชอบจุดนี้ของนังหนูนี่เหลือเกิน
“เปล่าหรอกเพคะ ข้าก็แค่ว่าไปตามสถานการณ์ที่เห็น ทั้งวังนภาเพลิงมีข้าแค่คนเดียวที่มีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้าและบรรลุขั้นพลังมาก็นานแล้ว คนอื่นที่เหลือก็ยังไม่รู้สึกถึงเซียนนภานพเก้า ดังนั้นฝ่าบาทถึงไม่มีตัวเลือกอื่นอีก มีแค่ข้าเท่านั้นแล้วเพคะ” หลิวหลีพูดพลางถอนหายใจ เฮ้อ โดดเด่นเกินไปก็เป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างหนึ่ง
“ใช่แล้ว ที่เรียกตัวเจ้ามาวันนี้ก็จะบอกเรื่องนี้ และให้เหล่าอาวุโสสิบท่านมาเพื่อเป็นพยาน” จักรพรรดิทรงพยักหน้า นังหนูพูดไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว
“ขอบพระทัยในความปรารถนาดีของฝ่าบาทกับท่านอาวุโสทั้งหลาย แต่หลิวหลีคงต้องขอปฏิเสธ” คำพูดของหลิวหลีเหมือนสายฟ้าฟาด เดิมจักรพรรดินึกว่าหลิวหลีจะรับไว้ ไม่คิดว่าจะปฏิเสธ เหตุใดนางจึงปฏิเสธเล่า
“จักรพรรดิกับเหล่าท่านอาวุโสโปรดฟังข้าให้จบก่อนได้หรือไม่ ข้าพูดไม่มากหรอกแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ข้าสัมผัสได้ถึงเขตพลังขั้นราชาเซียนแล้ว ขอแค่เข้าฌาน ทันทีที่ออกฌานก็จะบรรลุขั้นราชาเซียน ถ้าหากข้าเป็นราชาเซียนแล้ว ฝ่าบาทจะทรงทำอย่างไร?” คำพูดของหลิวหลีทำให้จักรพรรดิและเหล่าอาวุโสต่างตกตะลึง บรรลุขั้นราชาเซียนตั้งแต่อายุยังไม่ครบพันปี นังหนูนี่ฝึกบำเพ็ญอย่างไรกัน ถ้าหากนังหนูนี่เป็นราชาเซียนขึ้นมา เขาก็ต้องออกจากตำแหน่งหรือถูกบีบให้ออกจากตำแหน่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆล่ะก็ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ก็ไม่อย่างไรหรอก ดูแล้วข้าคงทำได้แค่รอผู้ที่จะมารับตำแหน่งคนต่อไปปรากฏตัวขึ้นแทน” จะพูดอย่างไรได้ วันนี้เพิ่งสืบทอดตำแหน่งรัชทายาทไป พอออกฌานมาก็เป็นราชาเซียน แล้วมาสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิของเขาต่อเลย เขาเองก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีตนเองเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร
“คงต้องเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย” หลิวหลีทำท่ายกมือสองข้างขึ้นอย่างนึกเสียใจ ทำเอาจักรพรรดิและเหล่าอาวุโสสิบท่านหลุดหัวเราะออกมา
“นังหนู เจ้ารู้สึกเศร้าใจหรือว่าไม่เต็มใจกันแน่” จักรพรรดิตรัสถามหยั่งเชิง
“เปล่านะเพคะ พอข้าบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าข้าก็รู้เลยว่าข้าไม่ไหวแน่ อีกอย่างวันข้างหน้าฝ่าบาทจะต้องมีตัวเลือกที่ดีให้เลือกแน่” หลิวหลีจงใจพูดด้วยท่าทีลึกลับ
“หืม? เหตุใดนังหนูนี่ถึงได้แน่ใจนักล่ะว่าวันข้างหน้าจะมีตัวเลือกที่เล่า” จักรพรรดิทรงหยอกล้อด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“อืม” หลิวหลีเขียนอักษรตัวหนึ่งลอยพุ่งไปทางจักรพรรดิ จักรพรรดิยื่นมือคว้าไว้ เมื่อเปิดดูก็เห็นอักษรคำว่าจ้านปรากฏขึ้นตรงฝ่ามือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าเด็กนั่น แต่เหตุใดนังหนูนี่ถึงมั่นใจนักล่ะ ในเมื่อทุกคนต่างก็มีความลับ เขารับรู้ก็พอแล้ว
9 ตำหนักที่เหลือต้องรู้อยู่แล้วว่าหลิวหลีไปด้วยเหตุใด ยังไม่ทันหายหดหู่กับการเปลี่ยนแปลงของสถานะตนเอง นางก็เดินหัวเราะต่อกระซิกออกมากับเหล่าผู้อาวุโสแล้ว หลังจากนั้นก็มีข่าวเรื่องการเข้าฌานของหลิวหลีแพร่งพรายออกมา ส่วนเรื่องที่หลิวหลีจะเป็นรัชทายาทเหมือนเป็นเพียงฟองอากาศ แต่หงซวี่ได้ยินข่าวสำคัญมากมาจากบิดาของตนว่าหลิวหลีเข้าฌานเพื่อบรรลุขั้นราชาเซียน คนที่เข้าใจในเรื่องนี้ต่างก็เข้าใจทันที ได้แต่เพียงทอดถอนใจว่านางกับตำแหน่งรัชทายาทไร้วาสนาต่อกัน
เหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นพร้อมๆกันในวังนภาธารา เหตุผลที่หนานกงเวิ่นเทียนปฏิเสธจักรพรรดินีนภาธาราทางอ้อมก็เพราะตระหนักรู้ได้ถึงขอบพลังขั้นราชาเซียน เดิมทีเขายังไม่ตระหนักรู้แต่หลิวหลีตระหนักรู้แล้ว พอหลังจากทั้งคู่ฝึกบำเพ็ญ เขาก็เจอขอบเขตของขั้นพลังนั้น และมีเหตุผลปฏิเสธจักรพรรดินีนภาธาราได้พอดี ถึงนางจะเสียใจเพียงใด แต่ก็รู้ว่านางไม่สามารถแต่งตั้งหนานกงเวิ่นเทียนเป็นรัชทายาทได้
สองสามีภรรยาคู่นี้ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล ในเวลาเดียวกันเยี่ยชิงขวงก็ประกาศเข้าฌานเพื่อบรรลุขั้นราชาเซียนเช่นกัน ทั้งสามกลายเป็นผู้ถูกเลือกในยุคใหม่ โดยเฉพาะสองสามีภรรยาคู่นี้มากความสามารถจนทุกคนนับถือ และถูกความเก่งของพวกเขากระตุ้นจนหลายคนเริ่มมีแรงเตรียมจะฝึกบำเพ็ญ
………………………….