แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 276 ราชาเซียน
หลิวหลีไม่รู้เลยว่านางเป็นตัวจุดประกายให้คนหันมาฝึกบำเพ็ญ แต่แน่นอนว่าก็มีคนที่ไม่ได้หน้ามืดตามัว รู้จังหวะการก้าวของตนเองดีว่าไม่ควรทำขี้ซั้วเพราะไม่เป็นผลดีต่อการฝึกบำเพ็ญ
พอหลิวหลีกลับวังเวิ่นเทียนไปก็เรียกหาทหารสวรรค์ของตนเอง
“ทุกท่าน เหตุที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องบอกสองเรื่อง เรื่องแรกข้าได้สละตำแหน่งรัชทายาทไปแล้ว” พอหลิวหลีพูดราวมีสายฟ้าฟาด ตำแหน่งรัชทายาทที่พวกเขาถือว่าเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติถูกนายท่านของพวกเขาบอกปัดทิ้งไปอย่างง่ายดาย แต่ขุนนางเซียนทั้งสามที่รู้รายละเอียดความเป็นมาไม่ได้ปริปากพูดอะไร
“นายท่านโปรดไตร่ตรองให้ดีเถิด นี่นับว่าเป็นเรื่องอันทรงเกียรติ ท่านจะสละทิ้งง่ายๆได้อย่างไรกันเล่า
“นั่นสิ นายท่าน นี่ถือเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เลยนะขอรับ”
“นังหนู เจ้าทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผลสินะ” ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เจียงหรูชวนก็พอจะเข้าใจศิษย์ของตนอยู่บ้าง ถึงแม้นังหนูจะไม่มีจิตใจใฝ่อำนาจอะไร แต่ในเมื่อเป็นนายท่านของคนเหล่านี้ก็ต้องคิดเผื่อพวกเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เจียงหรูชวนมีพลังอยู่ในขั้นเซียนอธนการ เขาปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติขงตนเอง ไม่รีบไม่ร้อน
“ท่านอาจารย์ลองเดาดูสิว่าเหตุผลของข้าคืออะไร?” หลิวหลีดีใจอย่างยิ่ง อาจารย์เข้าใจนาง
“ถ้าให้ข้าเดา ข้าลองคิดดูแล้ว นังหนูเจ้าน่าจะใกล้เข้าสู่ขั้นราชาเซียนแล้วสินะ มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นถึงจะพอสมเหตุสมผล” สมแล้วที่เจียงหรูชวนเข้าใจหลิวหลีอยู่บ้าง การฝึกบำเพ็ญกับพลังที่แท้จริงถึงจะเป็นสิ่งที่นางให้ความสำคัญ
“สมแล้วที่เป็นท่านอาจารย์ของข้า ใช่แล้ว ข้ารู้สึกถึงจุดพลิกที่จะกลายเป็นราชาเซียนแล้ว ดังนั้นทุกท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องรับตำแหน่งรัชทายาทไว้ด้วยหรือ” คำพูดของหลิวหลีเหมือนกับระเบิด ราชาเซียนหรือ นี่นางมีพลังขนาดไหนกันแน่
“ไม่จำเป็นเลยขอรับ” เหล่าทหารสวรรค์ส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง นายท่านของพวกเขาเกือบจะบรรลุขั้นราชาเซียนแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะไม่เท่ากับว่าเป็นการตบพระพักตร์ของจักรพรรดิหรือ นายท่านของพวกเขาจะยังได้อยู่ในวังนภาเพลิงหรือไม่
“พวกข้าขออวยพรให้นายท่านสำเร็จล่วงหน้านะขอรับ” เหล่าทหารสวรรค์ตื่นเต้นไม่น้อย นายท่านของพวกเขาใกล้จะบรรลุขั้นราชาเซียนแล้ว
“พวกเจ้าเองก็ต้องพยายามกันด้วย” หลิวหลีให้กำลังใจทุกคน
“น้อมรับคำชี้แนะจากนายท่าน”
พอหลิวหลีพึงพอใจแล้วจึงไปเข้าฌานอย่างมีความสุข
หลิวหลีสูดลมหายเข้าลึก เพื่อปรับสภาวะของตัวเองให้ดีที่สุด
“เหอะ ๆ เยี่ยชิงขวง ในวันหน้าเจ้าจะต้องนึกเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้ของเจ้าแน่” หลิวหลีหยิบเอาเพลิงเซียนที่เย่ชิวขวงให้ออกมา นางเผยรอยยิ้มชั่วร้ายที่จงใจทำขึ้น
หลิวหลีเองก็ไม่ข่มเพลิงสุวรรณพรางในร่างกายอีกปล่อยให้มันพุ่งออกมาเขมือบเพลิงเซียนเข้าไป เส้นเลือดที่อยู่ตรงเพลิงสุวรรณพรางในร่างกายหลิวหลีเปล่งแสงเรืองรองขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วกลางอากาศก็ปรากฏเพลิงเซียนอันใหม่ขึ้นมา มีนามว่าเพลิงเซียนสุวรรณพราง ทุกคนต่างรู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของหลิวหลี อยากจะเห็นจริงๆว่าสุดยอดเคล็ดวิชาของนางเป็นเช่นไร
รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเพลิงสุวรรณพรางในร่างกาย นางรีบดูดพลังเซียนที่อยู่รอบตัวเข้าสู่ร่างกาย จนร่างกายซับซ้อน
หนานกงเวิ่นเทียนในวังนภาธาราก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาเองก็เข้าสู่สภาวะที่ซับซ้อนและยากจะเข้าถึงได้
“นี่จะมีราชาเซียนปรากฏขึ้นอีกแล้วหรือ ดูจากปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามแล้ว คิดว่าคนผู้นี้จะต้องมีพลังบำเพ็ญที่แก่กล้าพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว”
“มีสองแห่ง แห่งแรกที่วังนภาเพลิง อีกแห่งที่วังนภาธารา คิดว่าต้องเป็นหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนแน่”
“ถึงแม้ทั้งสองแห่งจะเกิดภาพนิมิตขึ้น แต่กลับเชื่อมโยงกัน ปรากฏเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงาม ทำให้ผู้คนที่เห็นต่างรู้สึกถึงไอแห่งความสุขภายใน”
“เฮ้อ สายตาทุกคนต่างจับจ้องไปที่สองสามีภรรยาคู่นั้นเป็นจุดเดียว ทั้ง ที่วังนภาสุวรรณของข้าก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นกันแต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจเลย” จักรพรรดินภาสุวรรณรู้สึกเอือมระอา เพียงแต่ภาพนิมิตนี้สร้างความรู้สึกประหลาดใจให้แก่เขา แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทุกคนก็มีภาพนิมิตที่ต่างกันออกไป เขาก็ไม่คิดมากอีกเลย
นิมิตของหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนดูจะยิ่งมงคลขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏเป็นภาพมังกรและหงส์ซึ่งเป็นสิ่งมงคลขึ้น นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นราชาเซียนทุกคนจึงต่างพากันตะลึงกันไป
ภาพนิมิตดำเนินต่อไปเป็นเวลาหนึ่งพันปีเต็มๆ จากนั้นก็แข็งตัวกลายเป็นทิวทัศน์จริงๆ รักษาสภาพเช่นนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีถึงจะสลายตัวไป แล้วกลายเป็นมังกรและหงส์แยกย้ายพุ่งเข้าไปในวังนภาเพลิงกับวังนภาธารา
ปราณกำเนิดเซียนที่อยู่ภายในตัวหลิวหลีหลอมกลายเป็นเทพมังกร ต่อมาก็กลืนกินนิมิตแห่งมงคลด้านนอกทั้งหมดเข้าไปในคำเดียวแล้วหลอมกลายเป็นเพลิงเซียนที่บริสุทธิ์กว่าไหลทะลักเข้าไปในร่างหลิวหลี หลิวหลีรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเพลิงเซียนภายในร่างกาย จากนั้นก็ฮึดสู้จัดการขั้นต่อไปให้จบในรวดเดียว
ปราณก่อนกำเนิดเซียนที่อยู่ภายในตัวหนานกงเวิ่นเทียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หงส์ค่อยๆเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหงส์สีเงิน สีหน้าหนานกงเวิ่นเทียนงุนงง นั่นเป็นปราณก่อนกำเนิดเซียนของเขาก็จริง เพียงแต่เหตุใดอสูรเทพถึงเปลี่ยนไปด้วย เขายังเป็นมนุษย์อยู่ไหมนะ หนานกงเวิ่นเทียนสับสน จากนั้นหงส์ก็ส่งเสียงร้อง และคายพลังเซียนที่บริสุทธิ์ออกมาไม่หยุด หนานกงเวิ่นเทียนไม่มีเวลามาคิดมาก บรรลุขั้นพลังไปก่อนถึงจะเป็นหนทางแห่งราชา ถึงอย่างไรต่อให้กลายเป็นหงส์ก็ยังเป็นปราณก่อนกำเนิดเซียนของเขา
หลิวหลีรู้สึกว่าตนเองยังมีสิ่งกีดขวางอยู่ จึงรวบรวมพลังเซียนทั้งหมดพุ่งไปที่จุดนั้น พอมีเสียงพรึบดังขึ้นหลิวหลีก็รู้สึกว่าตนเองได้เข้าไปสู่โลกใบใหม่แล้ว ราวกับว่าทั่วทั้งวังนภาเพลิงล้วนอยู่ในสายตาของนาง ทั้งดินแดนนภาเพลิงล้วนอยู่ในสายตาของนาง ความรู้สึกที่มีโลกทั้งใบอยู่ในสายตามันช่างดีจริงๆ ท่าทางของทุกคนในวังหลิวหลีก็มองเห็นเช่นกัน กระทั่งสถานการณ์ในตำหนักอื่นๆนางก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน ถึงขนาดสามารถมองเห็นว่าอีกแค่ก้าวเดียวเหลยจ้านก็จะบรรลุขั้นเทพเซียนนภานพเก้า หลิวหลีคิดว่าน่าจะทูลรายงานต่อจักรพรรดิได้แล้ว ทว่าหลิวหลียังไม่รีบร้อนออกจากฌาน ทำให้พลังบำเพ็ญมั่นคงก่อน
หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน เขาเองก็พุ่งปะทะปราการที่ขวางกั้นแล้วถึงบรรลุขั้นราชาเซียน แต่เขาต่างจากหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนพินิจปราณก่อนกำเนิดเซียนของตนเองเพราะไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น เหตุใดถึงกลายเป็นหงส์น้อยไปได้ แต่พอมองอีกทีปราณก่อนกำเนิดเซียนในชุดสีฟ้าเหมันต์ เมื่อครู่เป็นภาพลวงตาของตนเองหรอกหรือนี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน เหมือนว่าปราณก่อนกำเนิดเซียนจะรู้สึกถึงการจับจ้องของหนานกงเวิ่นเทียนจึงแปลงเป็นหงส์น้อยอีกครั้ง มันช่างน่าเอ็นดูเสียจริง หนานกงเวิ่นเทียนมีสีหน้างุนงง เป็นหงส์น้อยจริงๆ และเป็นปราณก่อนกำเนิดเซียนของตนเอง เพียงแต่เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ
ณ วังนภาสุวรรณ เยี่ยชิงขวงก็บรรลุขั้นราชาเซียนได้สำเร็จ เขารู้สึกว่ากลิ่นอายของตนลึกลับมากกว่าเดิม ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและยังรู้สึกอยากฆ่าคนมากเหลือเกิน นัยน์ตาเยี่ยชิงขวงมีประกายสีแดงเลือดพาดผ่าน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ตนต้องแย่งชิงพลังของคนผู้นั้นมาให้ได้ก่อน น่าเสียดายที่จนถึงป่านนี้แล้วก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของคนผู้นั้น คนที่ตนส่งไปดินแดนอสูรเทพก็จนปัญญาจะตามหาร่องรอยของคนผู้นั้นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องหาตัวให้เจอ พอได้สายเลือดกษัตริย์คนสุดท้ายของมารรัตติกาลมาถึงจะพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ณ ดินแดนอสูรเทพ จื่อฉีพามู่มู่ไปเจอปู้หุ่ยด้วยความดีใจ
“ท่านผู้อาวุโส ท่านผู้อาวุโสปู้หุ่ย” จื่อฉีร่าเริง
“เจ้าหนูจื่อฉีหรือ ไหนบอกว่าจะไม่มาที่นี่อีกมิใช่หรือ?” ถึงแม้ภายในใจจะดีใจแต่ก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นี่เป็นเรื่องใหญ่ของข้า ข้าต้องมาเยี่ยมท่านผู้อาวุโสอยู่แล้วสิ ท่านผู้อาวุโส นี่เป็นคู่หมั้นของข้า นามว่ามู่มู่” จื่อฉีดึงมู่มู่มาแนะนำให้ปู้หุ่ยรู้จัก
“ผู้… ผู้อาวุโส ข้ามู่มู่เป็นคู่หมั้นของจื่อฉี” มู่มู่รวบรวมความกล้าแล้วพูดขึ้น ถึงแม้นางจะกลัวแต่ก็ยังรวบรวมความกล้าสบตาของปู้หุ่ย
ปู้หุ่ยมองมู่มู่ที่ถึงแม้จะหวาดกลัวแต่ก็ยังทำทีใจดีสู้เสือมองเขา ก็พึงพอใจมาก นางเป็นเด็กดีทีเดียว
“มู่มู่ ชื่อไม่เลวเลย น่าจะเป็นคนของดินแดนนภาพฤกษาล่ะสิ อสูรเทพแต่งงานกับมนุษย์ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้าจำได้ว่าเอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานหัวโบราณมาก เหตุใดถึงเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ” ปู้หุ่ยคิดถึงคนที่หัวโบราณสองคนนั้นขึ้นมา เหตุใดถึงเปลี่ยนไปได้เล่า
“เพราะท่านพี่ของข้าเก่งอย่างไร” จื่อฉีลำพองใจมาก ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากแค่เพราะท่านพี่ของเขาเก่งที่สุด
“นังหนูหลิวหลีหรือ ในระยะไม่กี่ปีมานี้มีนิมิตมงคลรายล้อม จะต้องมีใครบรรลุขั้นราชาเซียนแน่นอน ” ปู้หุ่ยนึกถึงนังหนูที่มีพลังต่อสู้ที่น่ากลัวคนนั้น ก็อดชื่นชมไม่ได้
“ผู้อาวุโส ท่านคงไม่รู้ว่าท่านพี่กับพี่เขยของข้าบรรลุขั้นราชาเซียนกันทั้งคู่แล้ว” พอพูดถึงตรงนี้จื่อฉีก็รู้สึกอิจฉาแทบแย่
……………………………..