แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 278 พี่สาวที่รู้ใจ
“ท่านพี่รู้ใจข้ายิ่งนัก” หลิวหลีไม่รู้สึกกระดากอายแม้แต่น้อย งานแต่งงานของเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยคือความเสียใจของนาง มนุษย์เรามีเรื่องใหญ่ในชีวิตเพียงเรื่องเดียว แต่ไม่คิดเลยว่าจะจัดอย่างเรียบง่ายแบบนั้น หากวันหน้าหวนนึกถึงคงจะจืดชืดทีเดียว
“พวกเรากลับไปจัดการเรื่องตัวเองกันเถอะ จักรพรรดิคงไม่ขัดพวกเราหรอก” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยขึ้น
“ก็ดีเหมือนกัน”
ทั้งสองต่างคนกลับไปยังตำหนักของตนเอง หลิวหลีจัดการตนเองสักพักก็เตรียมตัวออกฌาน
“ยินดีกับนายท่านด้วยที่บรรลุขั้นราชาเซียนแล้ว” อวิ๋นเฟยนำขบวนทหารสวรรค์กล่าวอย่างพร้อมเพรียง
“พอเลย ไม่เจอกันมาพันปี พวกเจ้าทำตัวพิลึกแปลกๆ แล้วยังจะเสแสร้งแบบนี้กับข้าอีก” หลิวหลีพูดจายียวน นางชอบไม่ลงจริง ๆ
“แหะ ๆ นี่ก็เพราะพวกข้าไม่มีออะไรให้นายท่านจึงทำได้แค่กล่าวแสดงความยินดีกับนายท่านหรอก” อวิ๋นเฟยยืนพลางเอ่ย เขารู้ว่านายท่านของพวกเขาไม่เคยโกรธ
“เอาเถอะ ช่วงนี้ในวังมีเรื่องใหญ่อะไรบ้าง?” หลิวหลีกลอกตาพร้อมเอ่ยถาม
“มีเรื่องหนึ่ง เมื่อสามสิบปีก่อนในที่สุดท่านเหลยจ้านก็ได้บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว เพียงแต่องค์จักรพรรดิกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด” อวิ๋นเฟยพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ ตามหลักแล้วควรให้ท่านเหลยจ้านสืบทอดตำแหน่งรัชทายาทสิ ในเมื่อนายท่านของพวกเขาปฏิเสธไปแล้ว
“เอ๊ะ? หรือว่าจักรพรรดิคงกำลังรอข้าออกฌานก่อนกระมัง” หลิวหลีคาดเดา
“เป็นไปไม่ได้กระมัง ทำไมถึงต้องรอนายท่านด้วย?” อวิ๋นเฟยรู้สึกว่าการคาดเดาของนายท่านไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก
“อวิ๋นเฟยเอ๋ย เจ้าอย่าสงสัยในคำพูดของนายท่านของเจ้าไปเลย ข้าจะไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ” หลิวหลีบอกให้ทุกคนจะทำอะไรก็ไปทำ
“องค์จักรพรรดิ หลิวหลีออกฌานแล้ว” หลิวหลีมองจักรพรรดิด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ว่าแล้วว่าเจ้าออกฌาน” มองหลิวหลีที่มีพลังบำเพ็ญห่างจากตนเองเพียงเล็กน้อย คลื่นลูกใหม่ชักจะเก่งเกินไปแล้ว
“องค์จักรพรรดิทำนายได้แม่นยำนัก” หลิวหลียกยอปอปั้น
“ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้เรื่องเหลยจ้านบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว” นึกถึงคำทำนายล่วงหน้าที่หลิวหลีทิ้งไว้ในตอนนั้น ตัวอักษรจ้าน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง เขาคิดมาตลอดว่าจ้านเหลยกับไป๋อี้ฝีมือสูสีกัน ใครจะไปรู้ล่ะว่ายังต่างกันอยู่ จ้านเหลยบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้ามา 30 ปีแล้ว ตามคำร่ำลือมาไป๋อี้ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
“เพคะ ดังนั้นฝ่าบาทจึงตั้งใจว่าจะให้ข้าออกฌานก่อนแล้วค่อยป่าวประกาศหรือ” หลิวหลีพูดต่อ
“นังหนู เจ้าเองก็เป็นสาวเป็นนาง หน้าหนาเกินไปก็ไม่ดีนะ” จักรพรรดิกล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“ฝ่าบาท อย่างข้าไม่ใช่หน้าหนา ต้องเรียกว่าจริงใจต่างหาก” หลิวหลีเอ่ยขึ้นอย่างไร้ยางอาย
“ฮ่าๆ จริงใจก็จริงใจ อันที่จริงข้ารอเจ้าออกฌานนั่นแหละ และให้โอกาสไป๋อี้ไปพร้อมกัน น่าเสียดายแต่เดิมนึกว่าหลังจากนิมิตนั่นแล้ว เจ้าจะเข้าฌานต่ออีกอย่างน้อยพันปี ใครจะรู้ว่าแค่ร้อยปีเจ้าก็ออกฌานมาแล้ว” คงไม่ใช่ปีศาจตัวไหนมาเกิดหรอกนะ เป็นไปได้
“ดังนั้น เรื่องเหลยจ้านเป็นเรื่องที่ฝ่าบาทวางแผนไว้แล้วล่ะสิเพคะ” หลิวหลีคิดว่าคงเป็นเรื่องที่มีคนกำหนดไว้แล้ว
“ใช่แล้ว ข้าเคยเรียกเหลยจ้านมาคุยแล้ว น่าเสียดาย เขาบอกว่าจะรอเจ้าออกฌานก่อน ข้าเดาว่าเจ้าเด็กนั่นมีปมในใจ ใครเป็นคนผูกก็เป็นคนแก้แล้วกัน” เฮ้อ เจ้าเด็กนั่นเอาแต่คิดว่าหลิวหลีเป็นคนยกตำแหน่งรัชทายาทให้ตน แต่ไม่ได้รับรู้เลยว่ากระทั่งตำแหน่งจักรพรรดิของเขา นังหนูก็เป็นคนยกให้
“ข้ายังเป็นพี่สาวที่รู้ใจเขาอยู่อีกหรือนี่” หลิวหลีตกใจ เป็นถึงปีศาจที่อยู่มาหลายหมื่นปีในโลกเซียน เหตุใดสภาพจิตใจถึงได้เปราะบางขนาดนี้
“แค่ก ๆ นังหนู เจ้าต้องจำไว้ว่าทั้งวังนภาเพลิงเจ้าอายุน้อยที่สุดนะ” น้ำเสียงแก่ๆแบบนั้นมันอะไร ไม่ว่าจะพูดถึงใครก็เป็นระดับบรรพชนของนังหนูทั้งนั้น
“อายุไม่ใช่ประเด็น มันก็แค่คำเรียกเท่านั้น” หลิวหลิโบกไม้โบกมือ ต่อให้อายุยังน้อยแค่ไหนก็เป็นปีศาจที่มีอายุสองสามพันปีอยู่ดี
“เอาเถอะฝ่าบาท ข้าขอทูลลานะเพคะ” อืม แวะไปเดินเล่นที่ตำหนักเหลยถิงสักรอบ ถือโอกาสทำตัวเป็นพี่สาวที่รู้ใจ ไม่ต้องเคารพนบนอบเขาให้มากมายแล้วกัน
“นังหนู เจ้าทำให้คนพวกนี้ต้องอับอายหมดแล้ว” จักรพรรดิพึมพำ นี่เพิ่งจะอายุไม่กี่พันปีก็มีพลังบำเพ็ญเช่นนี้แล้ว ช่างทำให้คลื่นลูกเก่าอย่างพวกเขาที่ยังไม่ขึ้นฝั่งก็ต้องขึ้นฝั่งสักที
ณ ตำหนักเหลยถิง เหลยจ้านกำลังเข้าฌานอยู่ เขาปฏิเสธกสนแดดงความยินดีทั้งหมด เพียงเพราะคนรักอิสระผู้นั้น ที่ปฎิเสธได้แม้กระทั่งตำแหน่งรัชทายาท นั่นคือตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิเชียว จะมีคนจิตใจกว้างขวางแบบนี้ด้วยหรือ
“นายท่าน ท่านหลิวหลีมาเยี่ยมขอรับ” ขุนนางเซียนของตำหนักเหลยถิงรายงานจากนอกประตู
“เจ้าบอกว่าใครนะ?” เหลยจ้านนึกว่าตนเองหูฝาด หลิวหลีคนที่รักอิสระและชอบเก็บตัวมาตำหนักเหลยถิงของเขาหรือ ช่างแปลกพิลึกเหลือเกิน
“เรียนนายท่าน ท่านหลิวหลีจากตำหนักเวิ่นเทียนขอรับ” ขุนนางเซียนทวนซ้ำ
“เชิญนางเข้ามา” เหลยจ้านงงงวย หลิวหลีผู้นี้คิดอย่างไรถึงมาเยือนตำหนักเหลยถิงของเขา ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“หลิวหลี คิดอย่างไรถึงมาเยี่ยมพี่ถึงที่นี่?” เหลยถิงพูดพลางยิ้ม และเขาดูพลังบำเพ็ญของหลิวหลีไม่ออกอย่างที่คิด แต่คิดว่าคงบรรลุขั้นราชาเทพเซียนจนมั่นคงแล้ว ถึงออกฌาน หลิวหลี ได้เป็นเจ้าตำหนักเช่นเจ้า ข้าช่างปวดใจและต่ำต้อยเหลือเกิน
“อืม ข้าแวะมาทำตัวเป็นพี่สาวที่รู้ใจ” หลิวหลีหาที่นั่งแล้วนั่งลง และบอกจุดประสงค์ที่มาเยี่ยมอย่างตรงไปตรงมาจน เหลยจ้านตะลึงงันไป เข้าฌานมาตั้งนาน นางก็ยังโผงผางเช่นเคย เพียงแต่พี่สาวที่รู้ใจนี่มันบ้าอะไรกัน
“จะมาคุยเปิดใจกับข้าสินะ ว่ามาเถิด อยากพูดอะไรกับข้าหรือ?” จ้านเหลยตั้งใจฟัง
“อืม มาคุยว่าเหตุใดท่านพี่ถึงไม่รับตำแหน่งรัชทายาท” หลิวหลีพูดเข้าประเด็น การให้พูดจาอ้อมค้อม ช่างไม่เหมาะกับนางเลยสักนิด
“จักรพรรดิให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้าล่ะสิ” เหลยจ้านส่ายศีรษะ เหยียดมุมปากเผยความปวดใจออกมา
“เปล่า ข้ามาเพื่อเป็นพี่สาวที่รู้ใจต่างหาก ท่านพี่เหลยจ้าน เหตุใดท่านพี่ถึงไม่รับตำแหน่งรัชทายาทล่ะ นั่นเป็นที่ของท่าน” หลิวหลีงุนงงน้อยๆ นอกจากเหลยจ้านแล้วจะมีใครสามารถครองตำแหน่งนั้นได้อีก
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทมากกว่าข้า” เหลยจ้านพูดตรง ๆ
“ข้าไม่เหมาะสมสักหน่อย ถ้าเหมาะสมล่ะก็ ข้าคงรับไปตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว” หลิวหลีออกตัวว่าตนเองไม่เหมาะสมเลยสักนิด ไม่งั้นนางคงรับตำแหน่งรัชทายาทไปตั้งนานแล้ว คงไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อจนเหลยจ้านบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าหรอก
“แต่ตำแหน่งนี้เป็นของเจ้า” เหลยจ้านยืนยันความคิดตนเอง
“ไม่ใช่ข้าหรอก ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนี้มาตั้งแต่แรก ท่านพี่เหลยจ้าน จนถึงตอนนี้ข้าบรรลุขั้นราชาเซียนแล้ว ถ้าข้ารับตำแหน่งรัชทายาท ท่านพี่คิดว่ามันจะเป็นเช่นไร?” หลิวหลีโพล่งคำถามหนึ่งออกมา
“ก็ดีมาก สมเหตุสมผล ทุกคนจะสนับสนุนเจ้า” เหลยจ้านพูดทันควัน
“ไม่เลย วังนภาเพลิงจะวุ่นวาย ถ้าข้ารับตำแหน่งรัชทายาท ด้วยพลังบำเพ็ญราชาเซียนของข้า ท่านจักรพรรดิจะทำเช่นไร? พลังบำเพ็ญเพียรของจักรพรรดิเองก็อยู่ในขั้นราชาเซียน ยังสัมผัสไม่ถึงขอบเขตของระยะปลายเลย ต่อให้ข้าอยู่ขั้นเซียนนภานพเก้า ก็จะบรรลุขั้นราชาเซียนโดยเร็วอยู่ดี ถึงตอนนั้นข้าควรจะรับตำแหน่งรัชทายาทหรือตำแหน่งจักรพรรดิกัน?” หลิวลีกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ
เหลยจ้านลนลาน เขาไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าเลยว่าจักรพรรดิจะเป็นเช่นไร นั่นสิ พอหลิวหลีเป็นราชาเซียนแล้วจักรพรรดิจะทำอย่างไร ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง วังนภาเพลิงคงวุ่นวายน่าดู
“หลิวหลี การเป็นเจ้าตำหนักเหมือนเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือความโชคร้ายของพวกเรากันแน่” เหลยจ้านพูดพลางส่ายศีรษะ
“ต้องโชคดีอยู่แล้วสิ ได้พบข้าก็ถือได้ว่าพวกเจ้าโชคดีแล้ว” หลิวหลีคุยโวโดยไม่ละอายใจสักนิด
“นับเป็นโชคของพวกเรา” จ้านเหลยคล้อยตาม
“ท่านพี่เหลยจ้านอย่าคิดมากไปเลย ตำแหน่งนี้เป็นของท่าน ท่านอาศัยความสามารถได้มันมาครอง ไม่ได้เกี่ยวกับโชคชะตาเลยสักนิด ต่อให้เป็นดวงแล้วจะอย่างไรเล่า บางครั้งความดวงดีก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเช่นกัน” หลิวหลีพูดพล่าวโคลงศีรษะ
…………………………….