แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 279 สวี่เซิน
“พอได้พูดคุยกับเจ้าแล้ว ข้าสบายใจขึ้นมากทีเดียว” เหลยจ้านพูดยิ้ม ๆ
“ท่านพี่เหลยจ้าน ท่านคงต้องการดอกไม้ที่พูดได้” หลิวหลีพูดจาประหลาดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ดอกไม้ที่พูดได้ คือดอกอะไรหรือ?” เหลยจ้านมีสีหน้าฉงน โลกเซียนมีดอกไม้พิลึกแบบนั้นด้วยหรือ เขาไม่เห็นรู้เลยสักนิด เหตุใดเมื่อเทียบกับหลิวหลีแล้วเขาถึงได้ด้อยกว่านางมากขนาดนี้นะ
“เรื่องนี้ท่านพี่เหลยจ้านลองไปถามท่านพี่หงซวี่ดูสิ น้องต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” หลิวหลีพูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“ได้” เหลยจ้านนึกว่าเรื่องนี้มีเพียงผู้บำเพ็ญหญิงเท่านั้นที่รู้ จนกระทั่งเหลยจ้านไปถามหงซวี่ในภายหลัง หงซวี่ถึงบอกด้วยใบหน้าที่แดงซ่านว่าหมายถึงนางเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่เป็นอย่างดี ตอนนั้นเหลยจ้านกับหงซวี่แต่งงานกันมานานแล้ว ทั้งคู่ต่างมีสายใยผูกพันที่ดีต่อกันมาโดยตลอด มีความสุขอย่างมาก
ก่อนไปหลิวหลีได้ทิ้งข่าวบอกจักรพรรดิ อีกฝ่ายทรงได้รับจดหมายที่เขียนไว้เพียง ‘พระราชพิธี’ ก็เข้าใจในทันที แปลได้ว่าจัดพระราชพิธีแต่งตั้งตำแหน่งรัชทายาทได้แล้วล่ะสิ นังหนูจะมาบอกเขาด้วยตัวเองดีๆสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไรกัน ชอบส่งจดหมายขนาดนั้นเชียวหรือ
หลิวหลีย่อมไม่ล่วงรู้ความคิดขององค์จักรพรรดิ เพียงแต่คิดว่าตนเองทำในสิ่งที่ควรทำไปหมดแล้ว ต่อจากนี้ทำได้แค่รอหลังจบพระราชพิธีแล้ว นางถึงจะกลับดินแดนอสูรเทพได้ สิบวันต่อจากนั้น จักรพรรดิก็ถ่ายทอดโองการ ‘เหลยจ้านแห่งตำหนักเหลยถิงบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าถึงคราวสืบทอดตำแหน่งรัชทายาท ส่วนหลิวหลีแห่งตำหนักเวิ่นเทียนบำเพ็ญเพียรถึงขั้นราชาเซียนจนข้ามตำแหน่งผู้อาวุโสขึ้นเป็นผู้อาวุโสสูงสุด’ พอมีโองการถ่ายทอดออกมา ทุกคนก็บ่นกันเซ็งแซ่
“นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหลิวหลีจะไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ข้ามขั้นไปเป็นผู้อาวุโสสูงสุดเลย”
“นั่นสิ เมื่อพันปีก่อนพวกข้ารอโองการประกาศแต่งตั้งหลิวหลีเป็นรัชทายาท ของขวัญแสดงความยินดีต่างๆ ข้าก็เตรียมไว้หมดแล้ว บัดนี้ต้องเปลี่ยนไปให้ท่านเหลยจ้านเสียแล้ว”
“ผู้อาวุโสสูงสุดหรือ แปลว่ามีอำนาจมากกว่าจักรพรรดิอีกน่ะสิ ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสสูงสุด ยังมีไม่ถึงสิบคนเลย ท่านหลิวหลีอายุยังน้อยก็ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งนี้แล้ว เลื่อนขั้นเร็วยิ่งกว่านั่งจรวดเสียอีก”
“ไ้ด้ติดตามท่านหลิวหลี คนของตำหนักเวิ่นเทียนช่างมีบุญเสียจริง” พอทหารสวรรค์ของผู้อาวุโสสูงสุดปรากฏตัวขึ้น ก็ตกเป็นเป้าหมายให้เข้าไปตีสนิท ช่างมีหน้ามีตาเสียจริง
“ตอนนั้นพวกข้าโง่เขลาเหลือเกิน มัวแต่เลือกนั่นเลือกนี่ ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะโยนทิ้งของมีค่าเช่นนี้ทิ้งไป ตอนนั้นตนเองช่างเขลาจริงๆ โง่เขลานัก” บางคนกำหมัดทุบอก ตอนนั้นมีคนชวนเขาเข้าตำหนักเวิ่นเทียน ตนเองสายตาไม่หลักแหลมพอ ตอนนี้จึงได้แต่เสียใจทีหลัง
“พูดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ในเมื่อเกิดขึ้นได้เป็นปาฏิหารย์เท่านั้น แต่ก็มีคำจำกัดความที่แน่นอน (มาจากเนื้อเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า ‘กฎแห่งแดนเทพ’)” ในเมื่อพวกเราเลือกความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งคราวนี้ผิดไปก็พูดได้แค่ว่าโชคไม่ดีเอง ท่านหลิวหลีเคยพูดว่าโชคชะตาก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง” มีคนพูดค้าน เขาพูดความจริงอย่างไม่หวั่นเกรงสิ่งใด บังเอิญหลิวหลีได้ยินเข้าพอดี คนผู้นี้น่าสนใจ เขาเป็นคนที่ข้ามภพมาหรือ ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดภาษาคนยุคปัจจุบัน หลิวหลีมองสำรวจอย่างสนอกสนใจ เอาเถอะ…ไม่ใช่ แต่สามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ต้องเป็นอัจฉริยะแน่ อืม กลับไปต้องลองถามที่ตำหนักเวิ่นเทียนดูว่ายังขาดคนอีกหรือเปล่า
“นั่นสิ พวกข้าทำได้แค่เสียใจทีหลังแต่ก็ไร้ประโยชน์ ขยันตั้งใจบำเพ็ญเพียรถึงจะเป็นสัจธรรมที่แท้จริง”
“ขุนนางเซียนอวิ๋น ตำหนักเวิ่นเทียนของข้ายังขาดคนอีกไหม?” หลิวหลีถาม อวิ๋นเฟยเป็นคนรับผิดชอบปัญหาเรื่องคนในตำหนักเวิ่นเทียนมาตลอด น้อยครั้งนักที่นางจะถามถึง ขุนนางเซียนทั้งสามของนางแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน อวิ๋นเฟยดูแลเรื่องคนกับติดต่อกับตำหนักอื่นๆ ชิงหลิวจัดการเรื่องภายในคอยช่วยเหลืออวิ๋นเฟย ส่วนจื่อจู๋รับผิดชอบเรื่องทหาร
“นายท่าน บัดนี้ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว สามารถเพิ่มขุนนางเซียน 1 คนกับทหารสวรรค์สัก 12 คน” เดิมทีอวิ๋นเฟยก็คิดอยากถามเรื่องนี้กับหลิวหลีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เมื่อนายท่านถามเช่นนี้แสดงว่านางน่าจะมีคนที่เลือกแล้ว ไม่เช่นนั้นนายท่านของพวกเขาคงไม่คิดจะถามเขาเช่นนี้
“คือแบบนี้ เจ้าลองดูสิว่าคนผู้นี้เป็นคนของตำหนักไหน ถ้ายังไม่ได้เข้าตำหนักไหนก็ให้ถามว่าเขายินยอมจะมาอยู่ที่ตำหนักเวิ่นเทียนหรือไม่ พลังบำเพ็ญผ่านขั้นเซียนสุขาวดีแล้วให้เป็นขุนนางเซียน” หลิวหลีฉายภาพให้ดูพลางพูดขึ้น
“คนผู้นี้เป็นใครกัน นายท่านโปรดปรานขนาดนี้เลยหรือ?” หลายปีที่ผ่านมาอวิ๋นเฟยรู้ว่านายท่านผู้นี้ชอบทำอะไรตรงไปตรงมา
“อืม ระหว่างทางพอได้ยินอะไรมาบ้าง แต่คำพูดของคนผู้นี้ช่างถูกใจข้านัก” หลิวหลีตอบกลับโดยไม่สนใจคำคาดเดาของอวิ๋นเฟย
“เช่นนี้นี่เอง ทำให้นายท่านถูกใจได้ นับว่าคนผู้นี้โชคดีนัก” อวิ๋นเฟยตอบ ตอนนั้นเขาก็เช่นกัน คนแรกในตำหนักเวิ่นเทียนที่นายท่านเลือกก็คือเขา นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขามีอำนาจมากกว่าชิงหลิวและจื่อจู๋ในตำหนักเวิ่นเทียน เป็นเพราะเขาเป็นคนที่นายท่านเลือกเองกับมือ ส่วนสองคนนั้นท่านผู้อาวุโสเป็นคนแนะนำมา ตำแหน่งที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยแต่สามารถแบ่งลำดับเป็นหนึ่งสองสามได้อย่างชัดเจน
“อืม โชคชะตาก็เป็นความสามารถเช่นกัน ส่วนเรื่องทหารสวรรค์ พวกเจ้า 4 คนเอาไปคนละ 2 ตำแหน่งแล้วกัน ส่วนที่เหลือให้อาศัยความสามารถในการเข้าตำหนักเวิ่นเทียนแล้วกัน” หลิวหลีบอกเรื่องการคัดทหารสวรรค์จำนวน 20 คนกับคนอื่นๆ
“น้อมรับคำบัญชาขอรับ”
“ข้านึกว่านายท่านจะเอาตำแหน่งนี้ให้ท่านสหายเจียงเสียอีก” อวิ๋นเฟยถอนหายใจ เขานึกว่านายท่านจะยกตำแหน่งนี้ให้ท่านอาจารย์ของตนเองเสียอีก
“ท่านอาจารย์หรือ ไม่ล่ะ อาจารย์ชอบปรุงยา เขาไม่ถนัดพวกงานราชการนี้หรอก อีกอย่างอาจารย์เพิ่งบำเพ็ญถึงขั้นเซียนอธยการ ถ้าให้อาจารย์เป็นขุนนางเซียน เขาคงกดดันจนเป็นบ่อเกิดของจิตมาร ให้อาจารย์ปรุงยาเป็นอิสระแบบนี้ดีที่สุดแล้ว” หลิวหลีส่ายศีรษะ นางเข้าใจเป็นอย่างดี เขาเองก็ไม่ชอบงานราชการพวกนี้เหมือนนาง อีกอย่างในตำหนักของนางทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาเป็นท่านอาจารย์ของนาง คนเป็นอาจารย์ย่อมต้องได้ทรัพยากรก่อนอยู่แล้ว
“เช่นนั้น ข้าน้อยไปตามหาคนผู้นี้ก่อนนะขอรับ” อวิ๋นเฟยพยักหน้า ถามให้ชัดเจนก่อนจะดีกว่า
สวี่เซินงุนงง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดของเขาจะถูกท่านหลิวหลีที่เดินผ่านมาอีกทางได้ยินเข้าพอดี แล้วยังชื่นชมมากด้วย ทั้งยังมาถามเขาว่ายินดีจะเข้าไปเป็นขุนนางเซียนในตำหนักเวิ่นเทียนหรือไม่ คนผู้นี้เขารู้จัก เขาคือขุนนางเซียนอวิ๋นเฟยของตำหนักหนานกงเวิ่นเทียน ไม่ได้หลอกเขาจริงๆ
“ขุนนางเซียนอวิ๋นเฟย ข้าไม่ได้กำลังฝันไปจริงๆใช่ไหม” สวี่เซินยังไม่ค่อยเชื่อนัก จะเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน มีของดีตกลงมาจากฟ้าจริงด้วย แถมยังหล่นใส่เขาอีกต่างหาก เหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลยสักนิด
“ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ข้าจะถ่ายทอดคำบัญชาที่เป็นเท็จออกไปได้เช่นไรกัน” อวิ๋นเฟยส่ายศีรษะ ยากที่จะเชื่อได้ว่าเรื่องดีแบบนี้จะหล่นทับใส่เขาสินะ เหมือนเขาในตอนนั้น ที่ตัวเขาเองก็เหลือเชื่อ แต่กลับกลายเป็นเรื่องจริง
“รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง” มันไม่เหมือนความจริงสักนิด เหตุใดนายท่านถึงเลือกเขาท่ามกลางคนมากมายกันนะ
“ขอบคุณความเมตตาของนายท่าน สวี่เซินจะไม่มีทางทำให้นายท่านผิดหวัง” สวี่เซินพูดอย่างขึงขังกับอวิ๋นเฟยด้วยท่าทีนอบน้อม บัดนี้เหลืออีกแค่นิดเดียวเขาก็จะบรรลุขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้ว ได้ทรัพยากรจำนวนมหึมาอย่างตำหนักเวิ่นเทียนด้วยแล้วเขาจะต้องบำเพ็ญบรรลุเข้าขั้นเซียนสุวรรณนภาได้แน่นอน เขาจะต้องบรรลุเข้าขั้นเซียนสุวรรณนภาให้ได้ เพราะขุนนางเซียนที่เหลือนั้นต่างก็มีพลังบำเพ็ญอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภา เขาจะเป็นตัวถ่วงไม่ได้
“เจ้าเป็นอย่างตอนนี้น่าจะดีที่สุดแล้วเจ้าพบว่าเจ้าจะได้เรียนรู้อะไรมากมายตอนอยู่ตำหนักเวิ่นเทียนเลยล่ะ” อวิ๋นเฟยพูดจาคลุมเครือ รอเพียงให้สวี่เซินเป็นคนค้นพบเอง
……………………………………