แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 28 วางแผนร้าย
หนานกงเวิ่นเทียนได้ลองโคจรพลังเซียนในร่างกายหลายรอบ พลังบำเพ็ญหยุดอยู่ที่ช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลาย เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าสับสนของหลิวหลี นางขมวดคิ้วและกัดปากตามสัญชาตญาณ แล้วหนานกงเวิ่นเทียนก็นิ่งไป นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“เวิ่นเทียน ยินดีด้วย พลังบำเพ็ญของเจ้าฟื้นฟูกลับมาได้มากแล้ว และเพราะเจอโชคในความลำบากทำให้เจ้ากลายเป็นร่างวิญญาณเหมันต์ เรื่องโชคร้ายก็คือเพราะเจ้ากลายเป็นร่างวิญญาณเหมันต์ ทำให้คุณสมบัติร่างกายแข็งแกร่งขึ้น แต่เวลาอยู่ต่อหน้าแม่หนูนั่นจะมีท่าทีอ่อนแออยู่บ่อยๆ” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดเสียงใส
สีหน้าของหนานกงเวิ่นเทียนเริ่มดำคล้ำ ท่าทียิ่งเศร้าสร้อยขึ้นไปทุกทีจนหลิวหลีที่ดูอยู่เจ็บปวดใจ แย่จริงๆ สงสารเขาจริงๆเลย พอคิดได้ว่าของหวานจะช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น หลิวหลีก็คิดอยู่ครู่หนึ่งทำแป้งพันชั้นจะดีกว่า ของอย่างพวกนมเปรี้ยว นางก็เคยทดลองทำมานับครั้งไม่ถ้วน สิ้นเปลืองนมไปมาก จนทำโยเกิร์ตทำมือออกมาได้สำเร็จ แต่เป็นเพราะขั้นตอนในการทำซับซ้อน หลิวหลีจึงทำไม่บ่อย นางตอกไข่ไก่ฟ้าออกมา 3 ฟอง ใส่ข้าวสาลีศักดิ์สิทธิ์เข้าไป แล้วเทนมเปรี้ยวคนให้เข้ากัน ทาน้ำมันที่ก้นเตาปรุงยา ตักแป้งที่ผสมเข้าไปทีละช้อน ทำเป็นแผ่นแป้ง แล้วก็ตีนม ทาไปที่แผ่นแป้งทีละชั้น ในระหว่างนั้นก็ใส่ผลไม้วิญญาณประเภทวารีและเหมันต์ ดูไปแล้วหน้าตาสวยงามทีเดียว
แล้ววางแผ่นแป้งบางๆลงตรงหน้าหนานกงเวิ่นเทียน ขนตาเขาสั่นระริกราวใบพัด ก่อนจะค่อยๆใช้ช้อนตักเข้าปาก รสชาติหวานอมเปรี้ยว บวกกับความหอมสดชื่นจากผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ อร่อยมากจริงๆ หนานกงเวิ่นเทียนนิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าท่าทางค่อยๆแสดงออกว่าชอบ หลิวหลีเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเขา ก็ถอนหายใจยาว ดีจังเลย ในที่สุดก็มีความสุข เพียงแต่นางควรกลับไปทำส้อมเสียหน่อยแล้ว ช้อนดูจะมีผลต่อรูปลักษณ์ของอาหารนาง
รอจนหนานกงเวิ่นเทียนกินหมด ทั้งตัวของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความสุขออกมา ทำให้หลิวหลีคิดถึงแมวเปอร์เซีย โอ้ย ทำไมถึงใสซื่อขนาดนี่!
หลิวหลีที่หน้าแดงจากความใสซื่อของอีกฝ่ายกระแอม “พวกเราควรไปได้แล้วไหม?” อีกแค่ 3 วันโลกภูตสวรรค์ก็จะปิด ครั้งนี้ได้ของติดไม้ติดมือกลับไปไม่เลวทีเดียว
3 วันที่เหลืออยู่หลิวหลีคิดว่าจะเดินไปดูรอบๆ ไม่ได้มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษ หลิวหลีเดินนำหน้า ข้างกายนางคือหนานกงเวิ่นเทียนที่กลับมาเป็นเด็กหนุ่มแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั่นเป็นเสื้อผ้าที่หลิวหลีลอกคราบหนานกงเวิ่นเทียนในครั้งแรกที่เจอกัน ตอนหนานกงเวิ่นเทียนดูดซึมวิญญาณเทพเหมันต์นั้น เสื้อผ้าถูกระเบิดจนฉีกขาด และตอนที่สีหน้าเขาย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆนั้น นางก็นึกถึงเสื้อผ้าที่ถูกนางจัดการซักเรียบร้อยตัวนั้น สีหน้าของหนานกงเวิ่นเทียนถึงได้กลับมาดีขึ้น
เอ่อ จากซาลาเปาใสซื่อกลายมาเป็นหนุ่มน้อยรูปงาม หลิวหลีรู้สึกเหมือนผ่านวันราวกับผ่านปี ไม่เช่นนั้นจะโตเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร แล้วหลิวหลีก็หันกลับมามองหุ่นแบนเรียบของตัวเอง เฮ้อ ได้ยินมาว่าบำเพ็ญเพียรเร็วเกินไปจะทำให้เติบโตช้าลง บางทีการหาเพลิงอัคคีประเภทต่อไปไม่เจออาจเป็นเรื่องดี อย่างน้อยนางจะได้มีเวลาเจริญเติบโตให้เต็มที่ อย่างน้อยที่สุด สายตานางไปหยุดที่จุดบางจุด อย่างน้อยๆก็ต้อง คัพซี ละน่า
ราวสังเกตเห็นสายตาหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนปรายตามอง กระทั่งเสี่ยวหลงเปาก็ยังไม่มี เด็กน้อยจริงๆ แต่หูของเขาก็แดงก่ำเมื่อพบว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“มีคนขอความช่วยเหลือ” หลิวหลีใช้ประสาทเซียน ก็พบคนในช่วงพื้นฐานระยะต้น 1 คน และคนในช่วงฝึกปราณ 4-5 คน และมีสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในช่วงฝึกปราณขั้นที่ 7 ด้านหลังมีงูร้อยบุปผาตัวหนึ่งไล่กวดมา แถมบังเอิญเป็นทิศทางที่ตรงมาหาพวกเขาพอดี
คนพวกนั้นผ่านหลิวหลีไป หลิวหลีรู้สึกคุ้นๆใบหน้าหญิงสาวผู้นั้น แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
หลิวหลีคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดไม่ออก มือหนึ่งผลัก และอีกมือจับงูร้อยบุปผาเอาไว้ เจ้างูโชคร้ายตัวนั้นก็ขึ้นไปพบบรรพบุรุษของมันเรียบร้อย จุดตายของมันถูกหญิงสาวกำไว้ในมือ หลิวหลีมองงูผู้โชคร้ายที่อยู่ในมือ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าเคยเจอหญิงผู้นี้ที่ไหน
หนานกงเวิ่นเทียนอึ้งนิ่งไป เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดไม่ออก เอ๋าเลี่ยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่ว่าใครมีคนดวงแข็งกว่าเช่นนี้ก็ต้องปวดหัว ส่วนหญิงสาวผู้นั้นก็ตกใจไปเช่นกัน งูร้อยบุปผาที่ทำให้พวกเขาต้องปวดหัวเมื่อสักครู่ตายแบบนี้เลยเหรอ
“ขอบคุณสหายท่านนี้มาก ข้าคือหวงเต้าเทียน จากหออาวุธสำนักเมฆาคล้อย” เซียนช่วงพื้นฐานเพียงคนเดียวในนั้นกล่าว เขามองพลังบำเพ็ญของคนทั้งสองไม่ออก
“อ่อ ข้าหลี่หลิวหลี เขาคือเฟิ่งเทียน” หลิวหลีพูดพลางผงกศีรษะ
“หลิวหลี ชื่อเพราะจริงๆ ท่านเป็นผู้บำเพ็ญหญิงใช่หรือไม่” ดูหน้าตาแล้ว ถึงแม้ใบหน้ายังไม่โตเต็มที่ แต่ก็พอจะมองความงามในอนาคตออกไม่ยาก ไม่รู้ว่ามีสถานะอย่างไรแต่รับนางเป็นอนุก็ไม่เลวทีเดียว หวงเต้าเทียนที่บรรลุช่วงพื้นฐานระยะต้นเท่านั้น ทำไมถึงกร่างได้ขนาดนี้ นั่นเพราะปู่ทวดของเขาคือรองผู้คุมหออาวุธ ผู้บำเพ็ญหญิงที่เขาชอบขอแค่หน้าตาดี ก็ต้องโชคร้ายไม่น้อย เพราะนอกจากพวกที่สถานะค่อนข้างสูง เขาถึงจะไม่กล้ายุ่ง ยังดีที่เขารู้จักประมาณตนเองอยู่บ้าง และรองผู้คุมหออาวุธหวงก็มีหลานชายอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เขาจึงมักทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับพฤติกรรมของคนเป็นหลานชาย
“ใช่ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญหญิง” เป็นผู้หญิงแล้วจะทำไม ว่าแต่ทำไมสตรีฝั่งนั้นถึงทำตัวแปลกๆ ถึงแม้จะพยายามปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิดแต่นางก็ยังจับความรู้สึกโกรธชังที่มีต่อตนเองได้ พูดไปแล้วนางรู้จักคนผู้นี้หรือไม่นะ ใบหน้าหลิวหลีนิ่งเฉยแต่นางก็ยังระวังตัวเอาไว้
“ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม หลิวหลีเป็นคนช่วยชีวิตของข้า ข้าอยากจะถวายตัวทดแทนบุญคุณเสียด้วยซ้ำ” หวงเต้าเทียนพูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้น” หลิวหลีโบกมือแล้วเอ่ย
“หลิวหลีจะไปไหนต่อ เราร่วมทางไปด้วยกันดีหรือไม่” หวงเต้าเทียนเชื้อเชิญ ไพล่คิดไปเองว่าตนเองแสดงท่าทีเป็นสุภาพบุรุษอยู่
“ไม่ต้องหรอก ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำ หากมีโอกาสค่อยพบกัน” หลิวหลีเอ่ย นางก็ค่อนข้างจะเลือกคบเพื่อนอยู่เหมือนกัน คนผู้นี้ไม่เข้าตานางอย่างชัดเจน
หลังจากที่หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนจากไป หวงเต้าเทียนก็กลับกร่างอีกครั้ง
“ข้าดูช่วงพลังของเขาไม่ออก อายุก็ไม่มาก ไม่รู้ว่าศิษย์น้องผู้ศิษย์ลึกลับคนนี้มาจากหอไหน” หวงเต้าเทียนจับคาง หรี่ตาแล้วเอ่ย ด้วยท่าทางที่ยังไม่เติบโตนักทำให้เขาอยากจะกินนาง
“ศิษย์พี่ ท่านไม่ชอบจูเอ๋อร์แล้วหรือเจ้าคะ” ผู้บำเพ็ญหญิงนั่นก็คือหลิงจู ความหมดหวังของนอกสำนักทำให้นางคิดแผนขึ้นมา นางไปที่ป่าฝึกฝนและเจอเข้ากับหวงเต้าเทียนโดยบังเอิญ เมื่อรู้ว่าหวงเต้าเทียนเป็นใคร นางปฏิเสธไปไม่เท่าไหร่ก็โอนอ่อนไปกับหวงเต้าเทียน ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่หวงเต้าเทียนเอ็นดูที่สุดในตอนนี้
“ใช่ที่ไหน ต่อให้ได้หลิวหลีมา จูเอ๋อร์ก็พิเศษกว่าใครๆ” หวงเต้าเทียนโอบเอวนาง พูดไปพลางลูบไล้มือไปพลาง
“น่ารังเกียจจริงๆ หากท่านอยากได้หลิวหลีจริงๆ จูเอ๋อร์มีข้อมูลจะบอกศิษย์พี่” หลิงจูถูกหวงเต้าเทียนลูบไล้เสียจนนางรู้สึกพูดอะไรไม่ค่อยออก ถึงแม้จะสมยอมหวงเต้าเทียน แต่ตอนที่นางมอบพรหมจรรย์ให้กับเขาจริงๆคือตอนที่อยู่ในดินแดนลี้ลับ
“อ้อ จูเอ๋อร์พูดมาให้ข้าฟังหน่อย” มือหวงเต้าเทียนซุกซน ไหนเลยนักรักมือใหม่อย่างหลิงจูจะเทียบเทียมได้ ไม่นานนักก็ต้องโอนอ่อนไปกับเขา
“ศิษย์พี่ท่านน่ารังเกียจจริงๆ” สีหน้าของหลิงจูชมพูระเรื่อ เริ่มจะพูดออกมาไม่เป็นคำแล้ว
“ศิษย์พี่ หลิวหลีมาจากโลกมนุษย์ เมืองเดียวกันกับข้า เป็นลูกของพ่อค้าขายผ้า ได้ยินมาว่าเป็นศิษย์ในสำนัก แต่ว่าพี่ชายของข้าไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์ของนางมาก่อน คิดว่าน่าจะไม่ใช่อาจารย์ที่มีชื่อเสียงอะไรมาก” หลิวจูพูดอย่างติดๆขัดๆ
มือของหวงเต้าเทียนยังซุกซนไม่หยุด หลิงจูเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง ใบหน้าเริ่มแดงก่ำ หายใจหอบกระชั้น
“จูเอ๋อร์พูดจริงหรือ” หวงเต้าเทียนถาม
“จริงนะ ศิษย์พี่ พี่ชายของข้าไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์ของนางเลย” หลิงจูเริ่มพูดไม่เป็นประโยค
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีหวังจะได้สาวงามมาครองแล้วสิ แต่ก่อนหน้านั้น” หวงเต้าเทียนมองดูหลิงจูที่เริ่มจะมีอารมณ์ เขาหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าเขาเปลื้องเสื้อผ้านางไปมากกว่าครึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะมองข้ามความงามตรงหน้า เสียงหลิงจูลอยแว่วออกมาเป็นช่วงๆ จนกระทั่งหวงเต้าเทียนพอใจแล้ว หวงเต้าเทียนจัดเสื้อผ้าตัวเอง โดยไม่มองหลิงจูเลยแม้แต่น้อย พูดกับคนที่ดูต้นทางว่า “พวกเจ้ามาเล่นกับนางมาสิมา”
หลิงจูที่อารมณ์ยังค้างอยู่ได้ยินเข้า สีหน้าก็ซีดเผือดไปในทันที หยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายมาพยายามปกปิดร่างกายของตนเอง พวกคนข้างๆดวงตาเป็นประกาย
“ศิษย์พี่ ท่านจะทำกับข้าเช่นนี้เหรอ” หลิงจูหัวใจเต้นแรงระรัวเร็ว ใบหน้าดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นเด็กดีนะ จูเอ๋อร์ พี่น้องของข้าเป็นเหมือนข้า ขอแค่เจ้าดูแลพวกเขาให้มีความสุข ยาเพิ่มพลังเซียนนี้ก็จะเป็นของเจ้า พอกินเข้าไปพลังเซียนก็จะเพิ่มไปถึงช่วงฝึกพลังลมปราณขั้นที่ 8” หวงเต้าเทียนหยิบขวดยาออกมา หลิงจูเริ่มโอนอ่อน เมื่อพวกนั้นได้รับคำอนุญาตจากหวงเต้าเทียน ก็กระโจนเข้าไป เสียงเย้ายวนก็ดังลอยออกมาไม่ขาดสาย
“หลี่หลิวหลี พวกเราจะต้องได้เจอกันในไม่ช้าแน่” หวงเต้าเทียนทอดสายตามองทิศทางที่หลิวหลีเดินจากไป และยิ้มอย่างหมายมั่นตั้งใจ
หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่ามีคนระลึกถึงตนเอง ต่อให้รู้ก็คงจะสงสัยว่าคนผู้นี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน
……………………………………………………..