แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 29 อันตรายจากป้าย
หลังจากนั้น หลิวหลีก็ใช้เวลาหมดไปกับการออกล่าอสูรปีศาจ แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับหนานกงเวิ่นเทียน และนางมักทำอาหารเลิศรสมาให้อยู่เสมอ หนานกงเวิ่นเทียนจึงพบว่าคนผู้นี้ช่างมีพรสวรรค์โดยแท้ ตอนแรกเริ่มยังดูเงอะงะ แต่ตอนนี้สามารถประลองฝีมือกับตัวเองได้อย่างคล่องแคล่ว กระทั่งมีกระบวนท่าประหลาดเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย อีกทั้งตอนนี้เขายังรู้สึกคุ้นชินกับการกินอาหารอย่างมาก
ในระหว่างนั้นหลิวหลีทดลองปรุงยาระดับที่ 2 ผลงานดีอย่างยิ่ง หลิวหลีค้นพบว่าการใช้เพลิงอัคคีจะทำให้เร็วกว่าเป็นเท่าตัว และคุณภาพสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่คุณภาพชั้นเลิศ ในระหว่างนี้หลิวหลีก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรนพเก้าไปอีกรอบ ไม่รู้เป็นเพราะว่าได้รับอิทธิพลมาจากหนานกงเวิ่นเทียนหรือไม่ ยามหลิวหลีรู้สึกเจ็บปวดก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมา หนานกงเวิ่นเทียนที่ดูอยู่ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา เฟิ่งอิ่งเสวี่ยตกตะลึงเมื่อพบว่า นี่คือเคล็ดวิชาฝึกฝนร่างกายขั้นสูงของเผ่ามังกร เอ๋าเลี่ยกลับรู้สึกว่าหลิวหลีมีความถึกทนมากกว่าพวกมังกรน้อยเสียอีก
จนถึงชั่วยามสุดท้าย หลิวหลีก็ผ่อนคลายลง ลองนับของสะสมของตัวเองดู เอ่อ อาจารย์ให้ป้ายหยกมาอีกตอนไหนนะ หลิวหลีหยิบมันออกมา จ้องมองดูอยู่นานก็ดูอะไรไม่ออก แต่ว่าความสวยงามของมันเข้าตานางมาก หลิวหลีเหน็บมันไว้ที่เอวกับกระดิ่ง ต้องยอมรับว่า กระดิ่งที่ตอนแรกหนานกงเวิ่นเทียนแขวนไว้ที่คอ ตอนนี้เขาก็แขวนเอวเหมือนกับนาง อยู่ๆนางก็นึกถึงเชือกถักจีนจนรู้สึกคันมือทำขึ้นมาหลายอัน ถูกเอ๋าเลี่ยดูถูกอยู่นาน ในที่สุดก็มีผลงานออกมาซึ่งก็คือเชือกที่หนานกงเวิ่นเทียนร้อยกระดิ่งแขวนเอวชิ้นนั้น
“ในที่สุดจะได้ไปแล้ว คิดถึงโลกข้างนอกขึ้นมาอย่างแปลกๆ” หลิวหลีบิดเอวด้วยความขี้เกียจ
อีกด้านหนึ่ง “เตรียมพร้อมแล้ว ข้าจะทำให้เด็กนั่นโอนอ่อนต่อข้า” หวงเต้าเทียนพูดอย่างมั่นใจ พวกลูกสมุน และหลิงจูที่มีความโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้นติดตามเขาอยู่ข้างๆ การถูกย่ำยีในวันนั้น หลิงจูกำขวดยาเพิ่มพลังไว้อยู่ในมือแล้วก็รู้สึกสะอิดสะเอียนใจ แต่พลังบำเพ็ญเพียรของนางตอนนี้อยู่ในขั้นที่ 9 ในระหว่างนี้ หวงเต้าเทียนได้นางไป 2 ครั้ง แล้วก็ให้ลูกสมุนมาจัดการนาง 1 รอบ นางเศร้าใจเมื่อพบว่าตนเองรู้สึกชินชาไปแล้ว
“ศิษย์พี่ จะต้องได้สมใจปรารถนาแน่” หลิวจูพูดขึ้น
หลิวหลีมาถึงจุดแรงดึงดูดหนึ่งอย่างรวดเร็ว นี่คือสัญลักษณ์ที่บอกว่าแดนลี้ลับกำลังจะปิด พวกเขากำลังจะถูกโยนออกจากมิตินี้แห่งนี้ จนหลิวหลีลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ทางเข้าออกแดนลี้ลับของสำนักแล้ว
“ช้าก่อน นักพรตหญิงท่านนี้ เจ้าไม่ใช่คนในสำนักกระมัง ทำไมมาปรากฏตัวอยู่ที่สำนักเมฆาคล้อย” ลูกสมุนของหวงเต้าเทียนให้ยาวิเศษกับผู้บำเพ็ญคนนี้ไปหนึ่งเม็ด เลยมีคนกล้าออกหน้าให้
หลิวหลีขมวดมองผู้บำเพ็ญที่ทำตัวมีคุณธรรมตรงหน้า คนผู้นี้คือใคร นางไม่รู้จัก
“ข้าคือศิษย์สำนักเมฆาคล้อย” หลิวหลีพูดพลางขมวดคิ้ว ในฐานะที่อยู่ในสำนักเดียวกันก็น่าจะต้องเป็นมิตรกันเสียหน่อยสิ พวกพี่น้องโจวอีติดธุระจึงได้ขอตัวไปก่อนแล้ว
“เหลวไหล เจ้ามีป้ายสถานะลูกศิษย์สำนักเมฆาคล้อยหรือไม่” เจ้านกที่ออกหน้าตัวนี้พูดด้วยความมั่นใจ อีกทั้งยังแสดงป้ายแสดงสถานะของตัวเองให้ดู
ป้ายสถานะคืออะไรกัน หลิวหลีรู้สึกงุนงง ไม่พูดก็ไม่ได้ ครั้งนี้จี้ได้ถูกจุดจริงๆ นางหลี่หลิวหลี ศิษย์ผู้สืบทอดลำดับแรกของท่านปรมาจารย์สำนักเมฆาคล้อย ไม่มีป้ายแสดงสถานะของอะไรแบบนี้จริงๆ และถึงจะมีนางก็ไม่รู้จัก
อีกฟาก ณ ยอดเขาหลักของสำนัก จื่ออีที่บรรลุช่วงปราณก่อนกำเนิดแล้วไปหาจื่อซูเพื่อพูดคุยกันตามปกติ ก็มีลูกศิษย์มารายงานว่ามีคนนอกเข้ามาปะปนอยู่ในสำนักเมฆาคล้อย ทั้งสองขมวดคิ้ว ในฐานะที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักเป็นการภายในและผู้สืบทอดหอปรุงยา ทั้งสองก็นึกสนุก ใครมีความกล้ามากขนาดนี้ จนทั้งสองมาถึง ก็ไม่มีใครปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าจื่ออีแปลกประหลาดเล็กน้อย คนผู้นี้ดูหน้าตาเหมือนอาจารย์อา ยังพอมีแววตอนเด็กอยู่บนโครงหน้า คนโง่งมคนไหนกันนะที่มีเรื่องกับอาจารย์อา ไม่เห็นป้ายหยกที่อาจารย์อาแขวนไว้ที่เอวหรืออย่างไร
ใช่แล้ว แผ่นหยกที่แขวนตรงเอว ก็คือป้ายสถานะของหลิวหลี
“เป็นอย่างไร ไม่มีล่ะสิ แล้วจะมาบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนนอกได้อย่างไร” เจ้านกตัวนั้นตะคอก คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีป้ายแสดงสถานะจริงๆ ดูแล้วป้ายแสดงสถานะนี้มีประโยชน์มากจริงๆ
“หุบปาก นางเป็นศิษย์ภายในสำนัก” หลิงเฟิงเปิดปากเอ่ย พูดไปแล้วก็เหมือนไร้วาสนาเข้าไปในแดนลี้ลับเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้เจอกัน
“เจ้าเป็นใคร จะออกหน้าให้ใครก็ดูให้ดีๆ คนผู้นี้ไม่มีแม้แต่ป้ายสถานะ จะมาบอกว่านางเป็นคนของสำนักเมฆาคล้อยได้อย่างไร” ความมั่นใจของนกที่ออกหน้าตัวนี้ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
หลิงเฟิงอับจนคำพูด เขาย่อมรู้ว่าตำแหน่งหลิวหลีสูงส่ง แต่ทำไมถึงไม่มีป้ายสถานะ เขายังจำได้ว่าตอนนั้นอาจารย์ออกไป ตอนกลับมาก็มองเขาด้วยแววตาสับสน เพราะหลิวหลีบรรลุช่วงพื้นฐานไปแล้ว
“หลิงเฟิง ช่างเถอะ คนเฝ้าประตูผู้นี้ เจ้าตั้งใจหาเรื่องใช่หรือไม่ บอกจุดประสงค์เจ้ามาเถอะ” คิดว่าข้ารังแกได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร
“เอ่อ หลิวหลี ความกลมเกลียวเป็นทรัพย์ มิสู้เจ้าลองบอกหน่อยว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน ข้าอาจจะช่วยเจ้าได้” หวงเต้าเทียนสบโอกาส รีบออกหน้าแสร้งทำตัวเป็นคนดี
“เจ้าคิดจะช่วยข้าอย่างไร” หลิวหลีขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
“ง่ายนิดเดียว ข้าถือเป็นคนที่มีหน้ามีตาอยู่บ้าง ก็พอจะพาเจ้าเข้าไปในสำนักได้” หวงเต้าเทียนพูดอย่างได้ใจ
“อ่อ เจ้ามีอำนาจมากขนาดนั้นเลยหรอ” ถ้าหลิวหลียังฟังไม่ออกก็เป็นคนโง่แล้ว ทั้งสองคนนี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ
“ปู่ทวดของข้าคือรองผู้คุมหออาวุธ” หวงเต้าเทียนบอกถึงชาติกำเนิดของตัวเอง
“รองผู้คุมมีอำนาจขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้จักเทียนเลี่ยนจื่อไหม?” หลิวหลีอดทำหน้าถากถางไม่ได้ เป็นแค่รองผู้คุม ไม่คู่ควรให้นางเรียกว่าศิษย์พี่ด้วยซ้ำ
“หลิวหลี ชื่อของผู้คุมหอเป็นชื่อที่เจ้าอยากจะเรียกก็สามารถเรียกได้เช่นนั้นหรือ” หวงเต้าเทียนกัดฟันพูด รอเขาได้นางมาก่อน แล้วนางก็จะได้รู้ถึงความเก่งกาจของเขา
“ข้าเรียกแล้วจะทำไม ข้าไม่พูดอะไรอย่างอื่นแล้ว พวกเจ้า ใครก็ได้ไปเรียกจื่ออีหรือว่าจื่อซูมาที” หลิวหลีคร้านจะพูดจาไร้สาระ ไม่เรียกอาจารย์ลุงเสวียนอวี่ก็ได้ เรียกลูกศิษย์เขามาก็พอ
“บังอาจ ชื่อของอาจารย์อาจื่อซูกับอาจารย์อาจื่ออี เจ้าสามารถเรียกพวกเขาได้ตามแต่ใจเช่นนั้นหรือ” หวงเต้าเทียนตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด
“ข้าเรียกแล้วจะทำไม พวกเจ้าใครก็ได้ไปเรียกมาที” หลิวหลีเตือนอย่างอดทน
“หลิวหลี เจ้าทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ ปรมาจารย์จื่ออีกับปรมาจารย์จื่อซูไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถเรียกชื่อเฉยๆ ถึงแม้เจ้าจะเป็นศิษย์ในสำนักเมฆาคล้อย ก็ถือว่าผิดกฎของสำนัก” เวลาที่หลิงจูจะได้พูดบ้างก็มาถึง
“เจ้าเป็นใคร ทำไมพลังเซียนในร่างของเจ้ามันผสมกันเละเทะขนาดนี้ มีพลังเซียนต่างกันหลายประเภท พลังบำเพ็ญเพียรจากยากองเป็นก้อน ทำให้เส้นลมปราณตันจนแทบเหมือนใส่ด้ายเข้าไปในรูเข็มแล้ว อีกอย่าง ทำไมเจ้าถึงไม่มีจุดพรหมจรรย์แล้วล่ะ” หลิวหลีพูดพลางขมวดคิ้ว นี่ใครกัน ร่างพังขนาดนี้แล้วยังจะกล้าออกมาข้างนอกอีก
คำพูดของหลิวหลีทำให้ทุกคนตกใจกันถ้วนหน้า หากเป็นเรื่องจริง หญิงผู้นี้คงจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน ช่างใจง่ายเสียจริง ชายจำนวนไม่น้อยก็ดูแคลน และหญิงบางคนก็เหยียดหยาม และยิ่งไปกว่านั้นมีสายตาโลมเลียจากชายบางคน
“เจ้า เจ้าใส่ความผู้อื่น” หลิงจูโมโหถึงขีดสุด ใบหน้าระเบิดความโกรธแค้น
“ไม่นี่ก็เจ้าไม่มีจุดพรหมจรรย์แล้วจริงๆ” คนผู้นี้ทำไมแปลกขนาดนี้นะก็มันเป็นเรื่องจริงนี่นา
“จูเอ๋อร์ เป็นเรื่องจริงหรือ?” หลิวเฟิงชิงถาม ถึงแม้ไม่ค่อยเจอลูกพี่ลูกน้องสมองกลวงผู้นี้ แต่มีเพียงเขาสองคนที่เลือกเดินเส้นทางบำเพ็ญเพียร จึงรู้สึกผูกพันกันอยู่บ้าง ใครจะไปรู้ว่านางจะเดินทางผิดไปได้สุดโต่งขนาดนี้
“ท่านพี่ ไม่จริงนะเจ้าคะ” ให้ตายหลิงจูก็ไม่ยอมรับ พวกหวงเต้าเทียนไม่พูดอะไรอยู่แล้ว คนพวกนี้พลังบำเพ็ญเพียรต่ำอาจจะดูไม่ออกก็ได้
“จูเอ๋อร์ หลิงจู ท่านหญิงยอดอัจฉริยะผู้นั้นนี่นา เจ้าเข้าเป็นศิษย์สำนักไหนหรือ” ในที่สุดหลิวหลีก็คิดออกว่าคนผู้นี้คือใคร ท่านหญิงที่เชิดหน้าหยิ่งยโสนางนั้นนี่นา เหอะ เหอะ น่าสงสารจริงๆ ร่างกายถูกใช้งานเสียจนไม่เหลืออะไรแล้ว กินยาเลอะเทอะ แทบจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
………………………………………….