แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 290 เรื่องกระจุกกระจิก
“นายท่าน ข้ายังไม่ได้คุยกันเรื่องวันแต่งงาน” สองแก้มของชิงหลิ่วแดงระเรื่อราวป้ายสีชาด เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินละม้ายอมอะไรไว้ในปาก กลัวว่าใครจะได้ยิน
“ดูเข้า ขุนนางเซียนชิงหลิ่วผู้มากความสามารถของข้าก็มีช่วงเวลาเขินอายเช่นนี้เหมือนกัน” หลิวหลีเห็นท่าทางของชิงหลิ่วก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
กว่าอวิ๋นเฟยจะกลับมา ชิงหลิ่วร้อนรนจนแทบต้มไข่ได้แล้ว เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มของใครหลายๆคน อวิ๋นเฟยก็พูดอย่างตรงไปตรงมา
“นายท่าน พอจะเตรียมของขวัญแสดงความยินดีให้ข้ากับชิงหลิ่วได้หรือไม่?” อวิ๋นเฟยพูดเสียงเรียบ จื่อจู๋กับสวี่เซินที่มองดูอยู่ก็นิ่งค้างไป ตรงไปตรงมาอะไรเช่นนี้ จะว่าไปแล้วพวกเขาก็ต้องเตรียมของขวัญแสดงความยินดีด้วยเหมือนกันหรือเปล่า
“เพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เลย วางใจเถอะ ต้องมีของขวัญให้พวกเจ้าแน่” หลิวหลีชะงักไป อืม มิน่าเวลานางมีปัญหามักจะไปหาอวิ๋นเฟย จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ดูสิ ท่าทางไม่สะทกสะท้านแบบนี้เหมือนนางอย่างกับแกะ
“เช่นนั้นข้ากับชิงหลิ่วต้องขอบคุณนายท่านมาก” อวิ๋นเฟยพูดเสียงเรียบแต่ท่าทางของเขานิ่งเฉยมากกว่านั้น เขาเดินไปจูงมือชิงหลิ่ว ชิงหลิ่วดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งก็โอนอ่อนตามอวิ๋นเฟย จื่อจู๋และสวี่เซินรู้สึกเหมือนโดนทำร้ายอย่างประหลาด จะให้คนโสดอย่างพวกเขาทนได้อย่างไร
หลิวหลีเองก็รู้สึกขัดหูขัดตาเช่นกัน มาพลอดรักกันต่อหน้านาง จะเล่นสนุกกันเฉยๆไม่ได้หรือ
“เอาเถอะ แยกย้ายได้แล้ว ส่วนคนโสดที่ต้องการคู่ก็หาเอาเอง ส่วนคนที่คิดอยากแต่งงานก็วางแผนกันเอง ข้าจะอยู่ที่ตำหนักเวิ่นเทียนสักพัก อยากให้ข้าฝึกบำเพ็ญเป็นเพื่อนก็สมัครมา อวิ๋นเฟยเจ้าเป็นคนแรกเลยแล้วกัน” ใครใช้ให้มาพลอดรักกันต่อหน้าต่อตานาง
“ได้ขอรับ” อวิ๋นเฟยรู้ดีว่านายท่านของพวกเขาต้องใช้อำนาจมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวแต่ก็ต้องรับชะตากรรม เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ประมือกับนายท่านยังได้ผลมากกว่าฝึกบำเพ็ญเพียรเองอย่างยากลำบากนับหมื่นปีเสียอีก
หลังจากที่ทุกคนไปแล้ว หลิวหลีเริ่มคิดต่อจากเมื่อครู่ จักรพรรดิเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแถมยังปิดบังต่อ และน่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่ามารรัตติกาลอย่างมากด้วย ดูเหมือนโลกเซียนจะมีคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับมหันตภัยที่อาจะเกิดขึ้น แต่ทว่าในเมื่อปิดบังนาง นางก็จะไม่สนใจเรื่องนี้อีก
หลังจากคิดกลับไปกลับมาอยู่นาน หลิวหลีก็เริ่มออกแบบให้เหลยจ้านกับหงซวี่ โชคดีที่เป็นชุดสุดท้าย อืม รีบๆทำให้พวกเขาจะได้จบไวๆแล้วกัน
ณ ดินแดนอสูรเทพ ผู้อาวุโสหลายคนนั่งอยู่ด้วยกัน
“จากการคาดการณ์ของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา พูดถึงเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ย” เอ๋าเฟิงพูด
“คิดว่าไม่ใช่หรอก” เฟิ่งซานส่ายหน้า คิดอย่างไรก็คงไม่ใช่สองคนนั้น
“มังกรหงส์ปรองดองก็พวกเขา” มังกรหนึ่ง หงส์หนึ่ง รักใคร่ปรองดองจนมีทายาท
“ไม่ อาเฟิง ข้าคิดว่าไม่ใช่พวกเขา ถึงพวกเขาจะเก่งกาจ แต่พวกเจ้าลืมไปหรือเปล่าว่ามีผู้ที่เก่งกาจกว่านี้ พวกเขาสองสามีภรรยามีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนนภานพเก้า เก่งกาจกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก แต่อาเฟิง เจ้าลืมปีศาจคู่นั้นไปแล้วเหรอ” เฟิ่งซานพูด ปีศาจคู่นั้นเป็นถึงราชาเซียนแล้ว
“เจ้าหมายถึงเวิ่นเทียนกับหลิวหลีหรือ?” เอ๋าเฟิงนึกถึงคนโรคจิตสองคนนั้นขึ้นมา
“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าเป็นพวกเขา หนึ่งคือเรื่องเกิดที่ฟากทวีปสุวรรณ เรื่องนี้พวกเราคงไม่ต้องเดา แต่จะเป็นใครนั้นข้าก็ไม่ชัดเจนนัก ส่วนสองประโยคต่อมาในหยินมีหยาง ในหยางมีหยิน สอดคล้องกับพวกเขาสองคนมาก หลิวหลีเป็นผู้บำเพ็ญหญิง ร่างเป็นหยิน แต่ฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาพลังหยาง เวิ่นเทียนเป็นผู้บำเพ็ญชาย ร่างเป็นหยาง แต่ฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาหยิน ตรงตามประโยคที่สองพอดี” เฟิ่งซานนิ่งไป เมื่อเห็นทุกคนเริ่มฟังกันแล้วจึงพูดต่อ
“สิ่งมงคล ทุกท่านคงจำตอนที่พวกเขาสองคนเลื่อนขั้นเป็นราชาเซียนได้ นิมิตที่ปรากฏในตอนนั้นที่พวกเขาฝึกบำเพ็ญร่วมนั้น คือสัญลักษณ์มงคลมังกรและหงษ์ ทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นหลิวหลีกับเวิ่นเทียน” เฟิ่งซานพูดสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา
“ฟังที่เจ้าวิเคราะห์มาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง เช่นนี้พวกเราก็เตรียมไว้ทั้งสองทาง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม อย่างแรกเลยก็คือให้อิงเสวี่ยคลอดลูกออกมาก่อน ข้าขอสั่งให้ให้เริ่มเปิดหอกาลเวลา ทุกท่านไม่มีใครว่าอะไรใช่หรือไม่” เอ๋าเฟิงพูด
“ไม่ จะให้พาเด็กไปเสี่ยงชีวิตด้วยคงไม่ดีแน่” เฟิ่งซานเห็นว่าในช่วงเวลาที่พิเศษนี้ก็ควรต้องมีมาตรการพิเศษ
“แล้วต้องเตรียมพวกของวิเศษต่างๆที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดไว้ด้วย ขาดเหลืออะไรให้จักรพรรดิแต่ละดินแดนเตรียมเอาไว้ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้อย่าคิดเล็กคิดน้อยกัน” เอ๋าเฟิงกำชับ ต้องทำให้มั่นใจว่าตัวอิงเสวี่ยและลูกจะไม่เป็นอะไร
“ทุกคนล้วนเดาว่าเป็นพวกเขา จะมาหวงข้าวหวงของไม่ได้เด็ดขาด” เฟิ่งซานกล่าว
“ให้เอ๋าเลี่ยตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร อย่างน้อยๆก็ต้องถึงขอบเขตพลังขั้นมหาอสูรเซียน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่จงจำไว้ว่าอย่าให้แกนรากฐานของเขาเกิดความเสียหาย” เอ๋าเฟิงบอก
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้าสงสัยว่าในตอนท้ายเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาพูดอะไรกับจักรพรรดินภาเพลิง” เฟิ่งซานสงสัยอย่างมาก เซียนหยั่งรู้ดวงชะตานั้นมีหนึ่งเดียวในโลก เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาพูดอะไรมา อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ทุกคนก็ล้วนสงสัย
“ไม่รู้ สิ่งที่ควรรู้ จะช้าหรือเร็วก็จะได้รู้ อาซาน แจ้งหลิวหลีกับเวิ่นเทียนให้กลับมา” เอ๋าเฟิงส่ายหน้า ใช้คำพูดของเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา : โอกาสยังไม่มา หากมาถึงก็จะรับรู้ได้เอง
สุดท้ายไม่นาน สีหน้าของเฟิ่งซานก็พิกลไป
“อาซาน เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าแบบนี้?” เอ๋าเฟิงสงสัยมาก แค่แจ้งข่าวไม่ใช่หรือ เหตุใดสีหน้าถึงเป็นเช่นนี้
“อาเฟิง หลิวหลีตอบกลับมาว่า ให้รอสักพัก นางต้องไปพบเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาก่อน” เฟิ่งซานเหม่อลอย คิดไม่ถึงว่าจะฝากข้อความให้หลิวหลี แปลว่าสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ก็อาจจะเป็นจริง
“เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาต้องการพบหลิวหลี” เอ๋าเฟิงก็มีสีหน้าเดียวกันกับเฟิ่งซาน นั่นคือเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเลยนะ!
“อาเฟิง เจ้าอยากบอกสิ่งที่เราคาดเดากับคนอื่นไหม” เฟิ่งซานกล่าวพลางกลืนน้ำลาย
“บอกเถอะ พอหลิวหลีไปพบเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา คนพวกนี้ก็คงรู้กันหมดแล้ว” ไม่สู้พวกเขาชิงบอกจะดีกว่า
“ได้” เฟิ่งซานเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
หลิวหลีนั่งกลุ้มใจอยู่ที่วังนภาเพลิง เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาท่านนี้เป็นใครกัน ทำแผนของนางพังหมด นางวาดเส้นสุดท้ายลงไป หลิวหลีมองดู ใช้ได้ทีเดียว หยั่งรู้ดวงชะตา หยั่งรู้ดวงชะตา ฟังดูคล้ายกับเป็นความลับของสวรรค์ แล้วมีเรื่องอะไรถึงต้องเรียกหานางด้วย
“อวิ๋นเฟย นำแบบร่างพวกนี้ไปส่งที่ตำหนักรัชทายาท แล้วก็ช่วยเลื่อนการร่วมฝึกซ้อมของข้าออกไปก่อน เฮ้อ ต้องออกจากวังอีกแล้ว” หลิวหลีบอกว่า นานๆทีนางจะไม่อยากออกจากตำหนัก กลับมีเรื่องให้นางต้องออกไปอยู่ได้
“ขอรับ” เฮ้อ แม้ว่าจะเสียดาย แต่เขาก็เข้าใจ นายท่านของพวกเขาเป็นคนพูดจริงทำจริง หากไม่ใช่เพราะมีเรื่องภายนอกมารบกวน จะไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ตัดสินใจออกไปแล้ว เพียงแต่เสียดายการสอนในครั้งแรกของตนเอง
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น หลิวหลีจึงออกเดินทางตามที่จักรพรรดิส่งเสียงมา เซียนหยั่งรู้ดวงชะตา อยากรู้เสียจริงว่าหน้าตาจะอย่างไร จะเป็นคุณปู่หนวดเคราสีขาว หน้าตาดูลึกลับหรือไม่นะ หลิวหลีเริ่มเดามั่วๆ
ณ วังนภาธารา เมื่อหนานกงเวิ่นเทียนจัดการเรื่องวุ่นวายเสร็จก็ได้รับประกาศ เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเป็นใครกัน?
พูดแล้วก็น่าขัน พวกเขาสองคนต่างไม่บอกอีกฝ่ายแต่ก็ออกเดินทางพร้อมกัน จนถึงที่หมาย เมื่อพบกันทั้งสองก็ตกตะลึง และนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาไม่ได้แจ้งให้อีกฝ่ายรับรู้
“น้องหญิงมาเยี่ยมเยียนเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาหรือ บังเอิญจริง ข้าก็เช่นกัน” หนานกงเวิ่นเทียนพูดพลางยิ้ม
“หืม? คิดไม่ถึงว่าท่านพี่ลอบมาพบผู้อื่น แถมยังถูกข้าจับได้อีก อืม ท่านพี่ ไม่น่ารักเสียเลย” หลิวหลีเปลี่ยนวิธีการพูดทำให้หนานกงเวิ่นเทียนชะงักไป แล้วก็หัวเราะออกมาทันที บีบจมูกหลิวหลีเบาๆ
“เด็กดื้อ”