แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 299
เมื่อจื่อฉีจากไป สีหน้าของเด็กทั้งสองก็เปลี่ยนไปทันที
“ได้ยินมาว่าท่านคือตาเฒ่าที่ไม่ชอบที่พวกข้าเกิดมา” จ๋ายจ่ายพูดพลางมองเอ๋าเฟิง
เอ๋าเฟิงสับสน ไหนล่ะสมบัติผู้ดี ไหนล่ะมารยาท ความน่ารักอะไรพวกนั้นต้องเป็นความเข้าใจผิดๆของเขาแน่นอน นี่มันเป็นการกระทำของเด็กดื้อชัดๆ
“อะแฮ่ม หลิวหลีบอกพวกเจ้าหรือ” มีเพียงการคาดเดานี้เท่านั้น
“ไม่ใช่ ท่านอาจื่อฉีบอก” พวกข้าไม่พูดถึงท่านน้าหลิวหลีหรอก
“นี่เจ้าเด็กน้อย อย่าไปฟังพวกเขาพูดมั่วๆ พวกข้าย่อมรอคอยการเกิดของพวกเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่ เฮ้อ ความคิดคร่ำครึของพวกข้าไปทำร้ายผู้อื่น” เฮ้อ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเด็กก็น่ารักทั้งนั้น ไม่ว่าจะสายเลือดใด ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเอ๋าเลี่ยที่ถูกเข้าใจผิดแบบนี้ในตอนนั้นจนเกือบจะตีตัวห่างจากพวกเขา
“ได้ พวกเราหิวแล้ว” อยู่ดีๆเด็กทั้งสองก็เอามือกุมหน้าท้อง มองเอ๋าเฟิงอย่างน่าสงสาร หิวแล้ว
“หิวแล้ว” หิวแล้วควรทำอย่างไร ทำอย่างไรดี
“อาซาน เด็กๆหิวแล้วทำอย่างไรดี” เอ๋าเฟิงอุ้มเด็กทั้งสองไปตรงหน้าเฟิ่งซาน เฟิ่งซานมองด้วยแววตางุนงง หิวแล้วทำอย่างไร หิวก็ต้องกินข้าวอยู่แล้ว แล้วนี่อาเฟิงไปขโมยเด็กสองคนนี้มาจากไหนกัน เดี๋ยวก่อน เด็กสองคน
“อาเฟิง นี่คงไม่ใช่ลูกแฝดของอาเลี่ยกับอิงเสวี่ยใช่ไหม โตขนาดนี้แล้ว เจ้าโง่ เด็กหิวแล้วก็ต้องกินข้าวสิ” เฟิ่งซานตื่นเต้น แม้จะไม่รู้ว่าเอ๋าเฟิงพาเด็กสองคนนี้ออกมาได้อย่างไร แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอเด็กๆแล้ว ทั้งสองคนหน้าตาน่าเอ็นดูจริงๆ
“นี่คืออะไร ไม่อร่อย” จ๋ายจ่ายคายอาหารออกมา หน้านิ่วคิ้วขมวด ราวกับกินของที่รสชาติย่ำแย่เหลือเกินเข้าไป
“นี่ไม่ใช่ไข่ตุ๋นที่พวกเจ้าอยากกินหรือ” เอ๋าเฟิงพูด
“นี่ไม่ใช่ไข่ตุ๋นสักหน่อย ที่ท่านน้าหลิวหลีทำนั้นนุ่มและลื่นคอมาก แต่นี่ทั้งเก่าทั้งแห้ง ไม่อร่อยเลย” จ๋ายจ่ายเหน็บแนมอย่างไม่เกรงใจ นี่เป็นอาหารให้เด็กกินหรือ ไม่รู้หรือว่าฟันของเด็กนั้นบอบบาง กินอาหารที่ทำร้ายฟันแบบนี้ไม่ได้
“เจี๋ยนเจี่ยน เหตุใดเจ้าถึงไม่กิน ไม่ใช่พุดดิ้งข้าวที่เจ้าต้องการหรือ” เอ๋าเฟิงหันไปดูเจี๋ยนเจี่ยนที่นั่งนิ่ง หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นกัน เหมือนเจอเรื่องเหลือเชื่อเข้า
“นี่มันข้าวสวย ไม่ใช่พุดดิ้งข้าว คิดไม่ถึงว่าท่านจะหลอกเด็ก ไม่ใช่คนดีจริงๆด้วย” เจี๋ยนเจี่ยนกล่าวโทษน้ำตาคลอเบ้า เหลียดชังคนที่ชอบหลอกเด็กนัก
เอ๋าเฟิงอยู่ในสภาพพูดไม่ออก เด็กน้อยสองคนเอ๋ย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความสามารถในการปรุงอาหารเหมือนท่านน้าหลิวหลีของเจ้า หนำซ้ำยังทำได้แสนจะหลากหลาย ลูกอสูรเทพน้อยของพวกเขาถูกเลี้ยงดูดีเกินไปหรือเปล่า ร่างกายจะอ่อนแอปวกเปียกหรือไม่นะ ทำให้เอ๋าเฟิงอดกังวลไม่ได้ ยังดีที่หลิวหลีปล่อยเด็กทั้งสองออกมาไม่อย่างนั้นนี่ก็เท่ากับทำร้ายพวกเขาไม่ใช่หรือ แต่เอ๋าเฟิงก็โดนตบจนใบหน้าเจ็บแสบไปหมดอย่างรวดเร็ว
“บรรพชน อาหารนี้พวกข้ากินไม่ลง ปกติเวลานี้ น้าเขยจะฝึกฝนกับพวกข้า พวกท่านเป็นคู่ฝึกให้พวกข้าได้ใช่ไหม” จ๋ายจ่ายแสร้งมองเอ๋าเฟิงด้วยสายตาคาดหวัง
“ข้าเป็นคู่ฝึกให้พวกเจ้าเอง” เอ๋าเฟิงพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด แต่ก็ยังจำได้ว่าจะต้องกดพลังเอาไว้แค่ขั้นเซียนอธนการ
และแล้วความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หลิวหลีไม่เพียงให้ความรักกับเด็กๆ นางสอนเด็กเก่งมากเช่นกัน ถึงขนาดเรียนรู้ทักษะมากมาย หากพวกเขาเติบโตเต็มวัยออกไปข้างนอกก็ไม่มีเรื่องต้องเป็นห่วง เด็กทั้งสองฉลาดอย่างมาก เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ กลับมีทักษะอีกหลายอย่าง หลบการโจมตีจากพวกเขา แต่เมื่อเขาออกแรงขึ้น เด็กก็ได้รับบาดเจ็บเข้า
“อาซาน เจ้าว่าพรุ่งนี้เด็กน้อยทั้งสองจะไม่ยอมมาหรือไม่” เอ๋าเฟิงกังวลเล็กน้อย ทำไมเขาถึงได้ลงมือหนักไปได้นะ ขณะมองรอยช้ำเขียวช้ำม่วงบนร่างกายเด็กทั้งสองคน และใบหน้าเล็กที่เคร่งเครียดนั้น
“ใครจะรู้” เด็กทั้งสองฉลาดเกินไป ใครจะรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ทว่าเด็กสองคนนี้เก่งเกินไปจริงๆ
“ท่านน้าหลิวหลี พวกข้ากลับมาแล้ว” จ๋ายจ่ายและเจี๋ยนเจี่ยนประสานเสียง และเห็นอาหารหลากหลายประเภทที่หลิวหลีตระเตรียมเอาไว้ พวกเขาสูดน้ำลาย นี่สิถึงจะเรียกว่าอาหาร ล้างมือตามความเคยชินแล้วกำลังจะลงมือกินอาหาร
“กินสิ” หลิวหลีทำเป็นไม่เห็นใบหน้าลายพร้อยของพวกเขา และท่าทางซึมๆหงอยๆของพวกเขาสองคน
“จ๋ายจ่าย ท่านน้าหลิวหลีไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยหรือ?” เจี๋ยนเจี่ยนคอตก
“ใช่ เจี๋ยนเจี่ยน พวกเราซึมขนาดนี้แล้วท่านน้ายังไม่มีท่าทีอะไรเลย” จ๋ายจ่ายรู้สึกว่าอาหารอร่อยนั้นช่างไร้รสชาติ
“ท่านน้าไม่รักพวกเราแล้วใช่ไหม” เด็กน้อยเริ่มคิดเพ้อเจ้อพาลไม่อยากอาหารเท่าไหร่ หนานกงเวิ่นเทียนเดินเข้ามานั่งกินข้าว สุดท้ายเขาก็จงใจแย่งอาหารในจานของเด็กทั้งสองอีกครั้ง แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร เอ๊ะ เจ้าเด็กสองคนนี้เป็นอะไรไป เขากินข้าวไม่สนุกเลย
“พวกเจ้าสองคนทำไมไม่กินข้าว” หนานกงเวิ่นเทียนถามด้วยความสงสัย ไหนบอกกันว่าเด็กๆไม่รู้จักรสชาติของความกังวลหรอกหรือ เจ้าเด็กสองคนนี้มีอะไรให้กังวลกัน
“น้าเขย ท่านน้าไม่ชอบพวกเราแล้วใช่ไหม” จ๋ายจ่ายพูดพลางวางตะเกียบลง
“ทำไมถึงพูดเช่นนี้” หนานกงเวิ่นเทียนถามด้วยใบหน้าจริงจัง เจ้าเด็กสองคนไปเอามาจากไหนว่าหลิวหลีไม่ชอบพวกเขา ฮูหยินของเขานั้นละเลยเรื่องราวไปตั้งมากมายเพื่อพวกเขา เจ้าเด็กสองคนนี้ไม่เห็นหรือ
“ก็ท่านน้าไม่มองพวกข้าเลย พวกข้าบาดเจ็บ แต่นางกลับไม่เห็น” น้ำเสียงจ๋ายจ่ายเริ่มสะอื้น
“ใช่” เจี๋ยนเจี่ยนพยักหน้า แทบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“แค่กๆ พวกเจ้าสองคนคิดอะไรไร้สาระ พวกเจ้าสองคนไม่สงสัยเลยหรือว่าท่านน้าของพวกเจ้าไปไหนแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนถอนหายใจ เฮ้อ เจ้าเด็กสองคนนี้น่าสงสารเหลือเกิน
“ข้าไม่รู้ ท่านน้าโกรธพวกข้าแล้ว คงไม่อยากเห็นหน้าพวกข้า” เจี๋ยนเจี่ยนพูดพลางสะอึกสะอื้น
“พวกเจ้านี่นะ เอาแต่คิดมั่วซั่ว ท่านน้าของพวกเจ้ารักพวกเจ้ามากกว่าข้าเสียอีก นางน่ะออกไปแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนแสร้งพูดอย่างมีลับลมคมนัย
“ออกไปแล้ว” จ๋ายจ่ายและเจี๋ยนเจี่ยนหยุดร้องไห้ พวกเขาโตมาขนาดนี้เพิ่งจะเคยได้ยินว่าท่านน้าออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรก
“ใช่ ออกไปแล้ว พวกเจ้าเคยเห็นนางออกไปข้างนอกไหม” หนานกงเวิ่นเทียนถามต่อ
“ไม่เคยเห็น” เด็กทั้งสองส่ายหน้า
“เด็กโง่ พวกเจ้ารู้ไหมว่านางมีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นไหน นางออกไปพวกเจ้าจะรู้หรือ เจ้าคิดว่านางเสกอาหารพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ เพื่อที่จะทำอาหารบำรุงให้พวกเจ้าสองคน นางใช้แต่วัตถุดิบสดใหม่ข้างนอกนั้นในการทำอาหารให้พวกเจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกปวดใจ ไม่รู้ว่านังหนูทำอะไรไปบ้างเพื่อเจ้าเด็กดื้อสองคน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” เด็กทั้งสองเข้าใจทันที คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้
“ตอนนี้มื้อเย็นก็ทำไว้แล้ว ท่านน้าของเจ้าทำอาหารเสร็จแล้วยังออกไปอีก นั่นก็แปลได้ว่า นางเห็นรอยแผลบนตัวพวกเจ้าแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่านางจะทำอย่างไรนั้น พรุ่งนี้พวกเจ้าลองไปดูก็ได้” หลิวหลีเป็นคนมีนิสัยชอบปกป้องขนาดไหน เขารู้ดีที่สุด โดยเฉพาะเด็กที่นางเลี้ยงให้โตมากับมือต้องยิ่งปกป้อง บาดเจ็บขนาดนี้ หากหลิวหลีไม่ทำเลย เขาคงคิดว่าผิดปกติแน่
“น้าเขย ท่านหมายความว่าท่านน้าไปล้างแค้นให้พวกข้าหรือ” จ๋ายจ่ายถามหยั่งเชิง
“พวกเจ้าไปหาคำตอบเอาเองพรุ่งนี้” หนานกงเวิ่นเทียนพูด
“ตอนนี้ พวกเจ้าควรกินข้าวได้แล้ว ไม่อย่างนั้นหากท่านน้าหลิวหลีกลับมาจะเสียใจเอา” สิ้นเสียงหนานกงเวิ่นเทียน เด็กทั้งสองก็กลับมาเป็นปกติและเริ่มลงมือกินข้าว