แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 30 เรื่องอนุภรรยานี้
สีหน้าหลิงจูไม่ค่อยดีนัก ตอนแรกนางยังมีความหวัง อย่างไรเสียตนเองก็มีคุณสมบัติเป็นแกนวิญญาณคู่ แต่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแต่ไม่มีใครยอมรับนางเป็นศิษย์เสียที พวกคนที่มาพร้อมกันก็ค่อยๆจากไป จนสุดท้ายนางถูกท่านอาที่สั่งสอนเปิดโปง คนกลุ่มนั้นไม่เพียงแต่ตีตัวออกห่างแต่ยังเยาะเย้ยนาง ทำให้คนที่มีจิตใจหยิ่งผยองอย่างนางจะทนได้อย่างไร นางจึงเริ่มใช้วิธีต่างๆนานาเพื่อเพิ่มพลังในการบำเพ็ญเพียร กินยาแล้ว สุดท้ายถึงขนาดขายตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งยาศักดิ์สิทธิ์
“พอได้แล้ว ลูกศิษย์จากหอคุมกฎ ยังไม่จัดการกับคนผู้นี้อีก” หวงเต้าเทียนกล่าวเตือนอย่างอดทน แล้วก็ใช้ไม้แข็ง อย่างไรเสียก็มีวิธีจัดการกับคนคนนี้อยู่แล้ว
“อ้าว ไม่เสแสร้งต่อแล้วหรือ ถึงขนาดสามารถสั่งการหอคุมกฎ หอคุมกฎก็ไม่เท่าไหร่นี่ เจ้าแน่ใจนะว่ากล้ามาจัดการข้า?” คนรอบข้างที่กำลังเคลื่อนไหว หอคุมกฎที่ว่าแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ระดับต่ำที่สุดต้องบรรลุช่วงบำเพ็ญศีลเป็นอย่างน้อย เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังจะลงมือ หนานกงเวิ่นเทียนจึงเตรียมจะลงมือเช่นกัน แต่ถูกหลิวหลีขวางเอาไว้
“เสี่ยวเทียน เจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักเมฆาคล้อย หากเจ้าลงไม้ลงมือก็คงจะไม่เหมาะสม ข้าจัดการเองได้เจ้าอย่าลงมือเลย” หลิวหลีบอก
คนจากหอคุมกฎยืนนิ่งไม่กรูเข้ามา หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์หรือทายาทที่เร้นกายอยู่ในสำนัก ทำไมถึงได้ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ
“เหอะ จะจัดการข้า ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถนั้นไหม” หลิวหลีหยิบมีดเล่มใหญ่ออกมา พอดีเลยจะได้ฝึกฝีมือ
“นางเอาอาวุธออกมาแล้ว จัดการ” พอเห็นหลิวหลีหยิบอาวุธที่ดูธรรมดาอย่างมากออกมา คนพวกนี้ก็ตัดสินใจลงมือ แล้วก็พบว่านางเป็นเสี้ยนหนามชัดๆ อีกทั้งยังเป็นเสี้ยนหนามที่ไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ เป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญในช่วงพื้นฐาน แต่สามารถสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสี ถึงขนาดทำให้พวกเขาวุ่นวายหวงเต้าเทียนไม่รู้ว่าหลิวหลีเก่งขนาดนี้ก็ตื่นเต้นยิ่งขึ้น
“หลิวหลี หากเจ้าตอบตกลงยอมมาเป็นอนุให้ข้า ข้าจะช่วยเจ้า” หวงเต้าเทียนรู้สึกว่าเป็นเวลาเหมาะสมเขาจึงตะโกนออกมา
หลิวหลีชะงัก “เจ้าจะให้ข้าไปเป็นอนุของเจ้าหรือ” หลิวหลีนิ่งเสียจนน่าประหลาดใจ
“ใช่ มาอยู่กับพี่สิ พี่จะปกป้องเจ้าเอง” หวงเต้าเทียนรู้สึกว่าลูกไก่กำลังจะเดินเข้าสู่เงื้อมมือตน
“เหอะ เจ้าไปตายเสียเถอะ” หลิวหลีระเบิดอารมณ์ออกมาทันที เพลิงบุปผาเหมันต์กลายเป็นลูกไฟดวงหนึ่งพุ่งเข้าใส่หวงเต้าเทียน กลิ่นอายเพลิงอัคคีที่หนาแน่นทำให้หวงเต้าเทียนตัวแข็งราวหุ่นไม้ บนตัวเขามีเครื่องรางลอยออกมา หลิวหลีได้รับบาดเจ็บภายใน แล้วด้านหน้ามีคนสองคนปรากฏกายขึ้นมา ซึ่งคือจื่อซูกับจื่ออี
“อาจารย์อา คนผู้นี้เป็นไส้ศึก” มีคนจากหอคุมกฎเอ่ยขึ้นในทันทีที่ได้สติขึ้นมา
“หุบปาก” จื่อซูพูดด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว จะให้อาจารย์อาไปเป็นอนุเขาเช่นนั้นเหรอ ถ้าอาจารย์อารู้เข้า ไม่ไปถล่มหออาวุธก็แปลกแล้ว เป็นแค่หลานของผู้บำเพ็ญในช่วงแยกดวงจิตก็กร่างขนาดนี้ อาจารย์อาเทียนเลี่ยนจื่อวางแผนจะบำเพ็ญเพียรให้บรรลุ่วงร่วมกายาก็จะมอบตำแหน่งผู้คุมหอให้แก่ตาเฒ่าผู้นี้? ดูท่าแล้วต้องให้อาจารย์ลุงเลือกใหม่เสียแล้ว
“อาจารย์อาหญิง ยาชะล้างจิตวิญญาณ” จื่ออีส่งยาให้หลิวหลีที่มีอดีตไม่ค่อยดีนักกับยาพวกนี้ นางส่ายศีรษะ นางเพียงแค่พลังเซียนหายไป แต่การโจมตีเมื่อครู่นั้นเพลิงอัคคีขวางเอาไว้ได้มากกว่าครึ่ง จื่อซูกับจื่ออีก็กันไว้มากกว่าครึ่ง นางจึงโดนลูกหลงเพียงเล็กน้อย
“อาจารย์อาเหรอ” มีคนทวน เป็นอาจารย์อาหญิงของพวกเขา สถานะของคนผู้นี้คงเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์ คนที่เดาสถานะของหลิวหลีออกแล้วก็รู้สึกผิดอย่างมาก คราวนี้คงเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
“อาจารย์อา ท่านจะจัดการพวกเขาอย่างไร” จื่อซูเอ่ย เมื่อครู่เขาได้ส่งเสียงไปบอกอาจารย์ผู้คุมสำนักแล้ว อาจารย์บอกให้อาจารย์อาจัดการได้เต็มที่
“เหอะ หอคุมกฎที่เป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรมของสำนักกลับฟังคำสั่งของผู้สืบทอด ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ คนแบบนี้ก็สามารถมาอยู่ในหอคุมกฎได้ด้วยหรือ ดูแล้วมาตรฐานในสำนักค่อนข้างต่ำจริงๆ” หลิวหลีปาดเลือดที่มุมปากแล้วพูดขึ้น
“อาจารย์อา ข้าละอายแก่ใจยิ่งนัก” สีหน้าของจื่อซูกระอักกระอ่วนใจ เฮ้อ ขั้วอำนาจในสำนักซับซ้อน แม้หอคุมกฎจะรับใต้โต๊ะ แต่ก็ต้องมีอำนาจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะใช้เงินซื้อได้ง่ายๆ ดูแล้วคงต้องจัดระเบียบเสียใหม่
“ศิษย์ผู้นี้ ตอนนี้ข้ายังจำเป็นต้องแสดงป้ายสถานะหรือไม่?” หลิวหลีมองไปที่ตัวต้นเรื่องที่ตอนนี้ตัวสั่นระริก
“ศิษย์น้องป้ายสถานะก็อยู่ตรงเอวของเจ้านั่นอย่างไร” จื่ออีกระแอมเบาๆพลางเอ่ย จากนั้นจึงนำป้ายสถานะของตนออกมาให้หลิวหลีดู
หลิวหลีจับป้ายแสดงสถานะของตัวเองขึ้นมาดู พลิกไปมาแต่ก็มองอะไรไม่ออก
“อาจารย์อา นั่นเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งผู้สืบทอด ศิษย์นอกสำนักไม่รู้จักแน่นอน ลูกศิษย์ในสำนักคนที่รู้จักก็มีไม่มาก มีเพียงแต่ศิษย์คนสำคัญเท่านั้นจึงจะรู้จัก” จื่อซูอธิบาย เอ่อ สถานการณ์ของอาจารย์อาค่อนข้างจะพิเศษ จะสามารถสืบทอดหอไหนก็ได้
“รายงาน…ปรมาจารย์ หวงเต้าเทียนให้ยาเพิ่มพลังเซียนคุณภาพชั้นเลิศให้ข้า ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ” เจ้านกที่ออกหน้าชักจะร้อนตัว ถ้ารู้อย่างนี้ รู้อย่างนี้ไม่น่าโลภเก็บยาไว้เลย
“เอายามาให้ข้า” หลิวหลีเลิกคิ้ว ตัวนางเองไม่มีค่าขนาดนั้นเลยหรือ แค่ยาคุณภาพชั้นเลิศระดับ 1 เพียงชิ้นเดียวก็ได้แล้ว
“ขอรับ” เขามอบยาอย่างงกๆเงิ่น ๆ
หลิวหลีเปิดฝาขวด เอาเม็ดยาที่เจือด้วยกลิ่นอายเพลิงบุปผาเหมันต์ ดอกบัวด้านบนราวเป็นของจริง หลิวหลีหัวเราะด้วยความโมโห ใช้ยาที่นางเป็นคนปรุงมาจัดการนาง โลกนี้ช่างน่าขันเสียจริง
“เหอะ นำยาที่ข้าเป็นคนปรุงมาจัดการข้าเนี่ยนะ ศิษย์ผู้นี้ เจ้าช่างน่าสงสารจริงๆ ยาเป็นของเจ้าแล้ว จงจำไว้การบำเพ็ญเพียรต้องพึ่งพาตัวเอง ของนอกกายไม่จำเป็นเลย” น้ำเสียงของหลิวหลีเหมือนคนแก่ที่ผ่านโลกมามาก บวกกับใบหน้าอ่อนเยาว์ ทำให้ขบขันไม่น้อย จื่ออีกับจื่อซูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ขอบคุณ ผู้อาวุโส” ลูกศิษย์คนนี้รับยากลับมาก็รู้สึกร้อนรน
“หวงเต้าเทียน หลานของรองผู้คุมหออาวุธ สถานะยิ่งใหญ่เสียจริง เจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงขนาดกล้าบอกว่าจะรับข้าเป็นอนุต้องรู้ว่าข้าอาจารย์อาเพิ่งจะอายุ 13 ปี” หลิวหลีมองดูหวงเต้าเทียนที่สีหน้าหมดอาลัยตายอยากแล้วพูดขึ้น
“เรียนปรมาจารย์ ข้าฟังคำพูดของผู้หญิงชั้นต่ำหลิงจูมา ขออาจารย์ตรวจสอบด้วย” หวงเต้าเทียนหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ย ถูกแล้ว เป็นความผิดของหลิงจูนังผู้หญิงชั้นต่ำหลิง อะไรที่บอกว่าไม่มีชื่อเสียงในสำนัก ลูกศิษย์ของปรมาจารย์ต้องโอ้อวดหรือ อะไรที่บอกว่าเป็นเพียงลูกของพ่อค้าขายผ้า หากท่านปรมาจารย์รับมาเป็นศิษย์ คุณสมบัติจะแย่ได้อย่างไร อายุ 13 ก็บรรลุอยู่ในช่วงพื้นฐานขั้นสุดยอด เขาอายุ 30 กว่าปีเพิ่งจะบรรลุช่วงพื้นฐานยังคิดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะอยู่เลย ทำไมตอนแรกเขาถึงตาบอดเห็นผู้หญิงชั้นต่ำอย่างหลิงจูเป็นคนน่ารัก จะต้องโดนเล่นของใส่แน่ๆ ตอนนี้ย้อนกลับมาดูการแต่งตัวของหลิวหลี คนธรรมดาที่ไหนจะสามารถใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากไหมแมงมุมเจ็ดสี
หลิงจูได้ยินคำพูดของหวงเต้าเทียน เนื้อตัวสั่นเทิ้ม เป็นไปได้อย่างไรกัน นังผู้หญิงคนนั้นมีสถานะสูงส่งขนาดนี้ได้อย่างไร
“แบบนี้นี่เอง ช่างเถอะ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร หวงเต้าเทียน ข้าผู้อาวุโสเป็นแม่สื่อให้เจ้าดีหรือไม่” มุมปากของหลิวหลียกเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย จื่ออีกับจื่อซูได้ยินคำว่าผู้อาวุโสก็เกือบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่
“ผู้อาวุโสโปรดกล่าว” หวงเต้าเทียนมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
“ข้าว่าเจ้าชอบหลิงจูมาก ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นแม่สื่อให้เจ้า ให้หลิงจูเป็นอนุของเจ้า อีกทั้งยังต้องรับประกันให้หลิงจูมีพลังบำเพ็ญเพียรที่ต่ำกว่าเจ้าเพียงช่วงเดียวตลอดไป ถ้าเจ้าบรรลุช่วงบำเพ็ญศีล นางต้องบรรลุช่วงพื้นฐาน หากเจ้าบรรลุช่วงอมตะ นางก็ต้องเข้าสู่ช่วงบำเพ็ญศีล” คำพูดของหลิวหลีออกจะโหดร้ายเล็กน้อย
“จริงสิ ในโลกมนุษย์มีกฎของอนุภรรยาที่ดีอยู่ ก็คือจะหย่าไม่ได้ ให้นางเป็นอนุภรรยาที่ดีก็แล้วกัน” หลิวหลีสำทับ
หวงเต้าเทียนนิ่งเงียบไปเลย ปากของหลิวจูตะโกนว่าไม่ไม่ไม่ นางเป็นลูกในสมรส จะให้นางไปเป็นอนุได้อย่างไร
“หลิวหลี อย่างไรเสียหลิงจูก็เป็นน้องสาวของข้า” หลิงเฟิงที่อยู่ข้างเปิดปากอย่างยากลำบาก
“เจ้าจะเป็นคนส่งตัวหรอ อืม นี่คือของขวัญวันแต่งงาน” หลิวหลีคิดแล้วก็โยนขวดหยกไปให้ขวดหนึ่ง
“ข้างในเป็นยาเพิ่มพลังเซียนคุณภาพชั้นเลิศ 10 เม็ด ข้าจะต้องไปแล้ว ใช่แล้ว พิธีมงคลของพวกเจ้าข้าจะไม่ไปละกัน ในโลกมนุษย์มีพิธีรีตรองมาก แต่งอนุใส่สีชมพูนะ ห้ามใส่สีแดงได้” หลิวหลีกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะจากไปพร้อมกับหนานกงเวิ่นเทียน
กลางอากาศ
“หวงลั่วฉี เจ้าฟังคำของลูกศิษย์ข้ารู้เรื่องแล้วใช่ไหม” เสวียนหั่วเอามือไพล่หลังแล้วถามขึ้น
“ขอรับ ศิษย์เข้าใจ” ปู่ทวดของหวงเต้าเทียนในตอนนี้เหมือนกับเศษวิญญาณที่ตายไปแล้ว เขารู้สึกได้ว่าเครื่องรางหยกคุ้มภัยที่ให้กับหลานถูกใช้ไปแล้ว จึงจะลงไปดู แต่กลับถูกปรมาจารย์เสวียนหั่วขวางเอาไว้ จากนั้นก็เห็นเรื่องราวด้วยตาตัวเอง หวงลั่วฉีหลับตาลง ถ้าไม่เพราะเขามีหลานคนนี้แค่เพียงคนเดียวเท่านั้นล่ะก็…
………………………………………………………………….