แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 301 อสูรเทพศักดิ์สิทธิ์รวมร่าง
เอ๋าเฟิงเห็นหลิวหลีเดินนำเด็กทั้งสองเข้ามาจึงรู้ว่านางอนุญาตแล้ว นังหนูช่างตามใจเด็กสองคนนี้เป็นพิเศษเสียจริง
“ตัดสินใจแล้วหรือ?” เอ๋าเฟิงกล่าวพลางจ้องใบหน้าที่เรียบเฉยตรงหน้า เป็นเพราะเจ้าของใบหน้านี้ เพื่อนที่หายหน้าหายตาไปนานยังมาเยี่ยมเยียมเขา เพื่อจะยลโฉมคนตรงหน้า
“ใช่ ข้าจะไปกับเด็กสองคนนี้ด้วย” หลิวหลีพยักหน้าพูด
“ตกลง จริงๆแล้วเด็กสองคนนี้เติบโตก็มีข้อดีเหมือนกัน” ภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา หากเด็กๆสามารถป้องกันตัวเองได้ก็ดี
ดังนั้นพวกเขาสองคนก็พาเด็กทั้งสองเข้าไปในหอกาลเวลาโดยไม่รู้ว่าจะออกจากฌานเมื่อไหร่
“ท่านน้าหลิวหลี ที่นี่ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร” จ๋ายจ่ายพูดความคิดเห็นของตนเองออกมา
“ข้ากับน้าเขยของเจ้าจะคอยฝึกสอนพวกเจ้าสองคนพี่น้องเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่เบื่อ ” หลิวหลีตัดสินใจบอกความเป็นจริงให้พวกเขารู้ว่าการเติบโตนั้นมีราคาต้องจ่าย
“ห้ามลงมือหนักเกินไป ห้ามตีหน้าด้วย” จ๋ายจ่ายพูดพลางใช้มือปิดหน้า
“ไม่ตีหน้า” หลิวหลีเลิกคิ้ว เด็กสองคนนี้เพิ่งอายุไม่เท่าไหร่ก็รู้จักความสำคัญของหน้าตาแล้ว คิดไม่ถึงจะให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาแบบนี้
หลังจากนั้นการฝึกฝนของจ๋ายจ่ายกับเจี๋ยนเจี่ยนก็เป็นเหมือนช่วงเวลาที่สนุกสนาน และเข้าฌาณไปพร้อมกัน จึงทำให้มีพัฒนาการ เพราะเด็กสองคนนี้ออกมาจากไข่ใบเดียวกัน จึงสนิทสนมกันมากกว่าฝาแฝดทั่วไป แม้ว่าสองพี่น้องจะหน้าตาแตกต่างกัน เมื่อทั้งสองคนประมือกันไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจกันได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อคนหนึ่งเคลื่อนไหว อีกคนก็จะปล่อยตั้งท่ารับมือ จนทำให้หลิวหลีตกใจเมื่อพบเห็น แต่ต่อมานางก็เริ่มได้ความคิดดีๆ
“แพ้อีกแล้ว” จ๋ายจ่ายนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น หมดสภาพ เจี๋ยนเจี่ยนก็ไม่ได้ดีไปมากกว่านัก เด็กทั้งสองพบว่าไม่ว่าตนจะมีพัฒนาการมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับท่านน้าและน้าเขยก็ยังคงเหมือนที่ผ่านมา หากไม่ใช่เพราะพวกเขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจริงๆ พวกเขาก็คงคิดว่าตนเองไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยสักนิด
“ท่านน้าหลิวหลีกับน้าเขยเก่งจริงๆ เมื่อไหร่พวกข้าจะเก่งเช่นนี้บ้าง” เจี๋ยนเจี่ยนอิจฉาอย่างมาก และเข้าใจว่าท่านน้าหลิวหลีกับน้าเขยแค่เล่นกับพวกเขาเท่านั้น
“น้องหญิง เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีจ้องเด็กทั้งสองด้วยแววตาครุ่นคิด
“คิดถึงความเป็นไปได้ของบางสิ่งบางอย่าง” หลิวหลีจ้องเด็กทั้งสองไม่วางตา คิดถึงความคิดในหัวของตนเอง คิดถึงความเป็นไปได้ของสิ่งนี้
“ความเป็นไปได้?” หนานกงเวิ่นเทียนงงงวยไปกับคำนี้ อยู่ๆฮูหยินของเขาคิดอะไรขึ้นมาได้อีกทั้งมองจากแววตา เหมือนว่าจะเกี่ยวกับเด็กสองคน
“ใช่ เด็กสองคนนี้ฟักตัวออกมาจากไข่ใบเดียวกัน ไม่ต้องพูดอะไรก็รับรู้ความคิดของอีกฝ่ายได้ ถึงขนาดที่ว่าเมื่อคนหนึ่งโจมตี อีกคนก็จะรู้ได้ว่าจะทำอะไรต่อ ฝาแฝดปกติทั่วไปทำแบบนี้ไม่ได้หรอก ข้ากำลังคิดว่าในเมื่อพวกเขาเป็นไข่แฝด อาจจะสามารถรวมร่างกันได้ พลังต่อสู้จะไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่มากกว่าสอง” หลิวหลีเล่าความคิดของตัวเองออกมา เด็กทั้งสองอยู่ข้างๆได้ยินเข้า ใบหน้าฉายแววสับสนแต่ก็คิดว่าพอมีเหตุผลอยู่บ้าง
“ความหมายของเจ้าคือ พวกเขาสองคนสามารถร่วมมือกันในการต่อสู้ อีกทั้งพลังต่อสู้รุนแรงและเต็มเปี่ยม” หนานกงเวิ่นเทียนตกใจกับความคิดนี้ของหลิวหลี นังหนูช่างใจกล้าจริงๆ
“ถูกต้อง พวกเขาต่างจากคนอื่น แม้จะเป็นสองคน แต่กลับมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน อีกทั้งในบางครั้งการกระทำยังเหมือนกันแทบไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นข้าจึงคิดได้ว่าน่าจะเป็นไปได้ น่าจะลองดู” หลิวหลีวิเคราะห์ รู้สึกมีความเป็นไปได้สูงมาก
“ท่านน้าหมายความว่าข้ากับเจี๋ยนเจี่ยนสามารถรวมกันเป็นหนึ่งร่างได้งั้นหรือ” ฟังดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์
“ควรจะพูดว่าพวกเจ้าสามารถรวมพลังกันได้ ถ้าให้ใช้คำมาอธิบายก็น่าจะเป็นรวมร่างเสริมพลังกระมัง” หลิวหลีบอกสิ่งที่ตนคาดเดา
“ถ้าเช่นนั้นท่านน้าหลิวหลี พวกข้าต้องทำอย่างไร” เด็กทั้งสองเริ่มสนใจใคร่รู้ คิดว่าตามที่ท่านน้าคาดเดา พลังของพวกเขาคงจะเพิ่มขึ้นไปอีกมาก
“อืม พวกเจ้าลองดูก็ได้ พวกเขาสองคนทำอะไรเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาต่อสู้ เหมือนกับพวกเจ้าเป็นคนๆเดียวกัน” หลิวหลีพูด
ในระยะเวลาต่อมา เด็กทั้งสองก็เริ่มลองทำตามคำแนะนำของหลิวหลี โดยฝึกพร้อมกันทั้งสองคน ส่วนหลิวหลีก็ฝึกฝนเด็กทั้งสองอย่างระมัดระวัง แม้ว่าหนานกงเวิ่นเทียนจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่สิ่งที่หลิวหลีพูดเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้างเล็กน้อย หนานกงเวิ่นเทียนจึงยอมร่วมมือให้เด็กทั้งสองได้ลองทำ
เด็กทั้งสองไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าตนเองใช้เวลาอยู่ที่นี่นานขนาดไหน จนตอนนี้พวกเขากลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบสามสิบสี่แล้ว และมีสายใยของความสัมพันธ์ที่พิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาของหลิวหลีนั้นถูกต้อง หนานกงเวิ่นเทียนยิ่งตกใจจนพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการนี้อยู่ด้วย หรือว่าอสูรเทพทั้งหมดก็สามารถทำเช่นนี้ได้เหมือนกันหรือไม่นะ แต่ก็ถูกหลิวหลีปฏิเสธไป เพราะเด็กสองคนค่อนข้างพิเศษ ถึงได้ทำใจกล้าลองเช่นนี้ อสูรเทพตนอื่นล้วนมีหนึ่งเดียวจึงเป็นไปไม่ได้
ณ หอกาลเวลา ร่างกายของอิงเสวี่ยฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์แล้ว สองคนนั้นอาศัยพลังของที่นี่บรรลุขั้นราชาเซียน ท้องฟ้าด้านนอกเกิดการเปลี่ยนแปล ทุกคนรู้ดีแก่ใจว่ามีราชาเซียนถือกำเนิดขึ้นอีกแล้ว เอ๋าเฟิงและเฟิ่งซานพบว่าสถานที่คือหอกาลเวลา เป็นคู่ของเอ๋าเลี่ยอิงเสวี่ย ไม่มีทางเป็นเด็กน้อยสองคนนั้นหรอก
หลังจากที่ทั้งสองคนบรรลุขั้นราชาเซียน ดูเหมือนเด็กสองคนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อยู่ๆเด็กทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมร่างกันได้จริงๆ กลายเป็นมังกรบินขนาดยักษ์เป็นเท่าตัว ที่มีปีกซ้ายเป็นปีกเหมันต์สีฟ้า ส่วนปีกขวาเป็นปีกอัสนีสีม่วง พลังต่อสู้ก็เป็นดังที่หลิวหลีคาดไว้ ทำให้สามารถประมือกับขั้นพลังที่สูงกว่าได้
ปีกสองข้างของมังกรบิน ข้างหนึ่งเปล่งแสงเหมันต์ ส่วนอีกข้างเปล่งแสงสีม่วงออกมา และสุดท้ายเมื่อรวมร่างเข้าด้วยกัน และรุกเข้าโจมตีก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนประหลาดใจ เมื่อเด็กสองรวมร่างกัน กลิ่นอายของพวกเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง นี่คืออสูรเทพศักดิ์สิทธิ์
ทันใดนั้นมังกรบินก็หายไป กลายเป็นเด็กสองคน กลิ่นอายไม่ต่างกับที่ผ่านมาแต่เด็กทั้งสองคนก็สูญเสียพลังไปมาก
“ไม่น่าเชื่อว่าจะสำเร็จแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนยังรู้สึกตกตะลึงกับมังกรบิน คิดไม่ถึงว่าจะประสบผลสำเร็จ ใช้เป็นไม้ตายต้องตกใจอย่างแน่นอน
“ใช่ แต่เวลาคงร่างนั้นสั้นมา สูญเสียไปเยอะกว่า” หลิวหลีวิจารณ์
ส่วนฟากเอ๋าเฟิงกับอิงเสวี่ยก็บรรลุขั้นราชาเซียนได้สำเร็จ เตรียมตัวออกจากฌาน พวกเขาคิดถึงลูกของพวกเขาแล้ว
“เจ้าจะบอกว่าหลิวหลีพาลูกทั้งคู่ของข้ามาอยู่ในหอกาลเวลาด้วยหรือ” เอ๋าเลี่ยตกใจกับคู่มาก ทั้งๆที่อิงเสวี่ยคลอดไข่ออกมาเพียงใบเดียว เหตุใดถึงเป็นเด็กสองคน
“ใช่ มังกรน้อยกับหงส์น้อย” เอ๋าเฟิงกล่าว
“แปลว่าไข่ที่อิงเสวี่ยคลอดออกมาตอนแรกมีขนาดใหญ่ปานนั้นก็เพราะข้างในมีเด็กอยู่สองคน” เอ๋าเลี่ยยังคงรู้สึกอัศจรรย์ใจ นี่มันน่าเวียนหัวกว่าเรื่องที่พวกเขาได้เป็นราชาเซียนเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาเป็นพ่อของเด็กถึงสองคน
“ถูกต้อง”
อีกฟากหนึ่ง เด็กทั้งสองฟื้นขึ้นมาก็ตกใจจากเหตุการณ์ที่ตนเองรวมร่างกันเมื่อครู่ และก็ได้เข้าใจด้วยว่าความสามารถนี้ แม้จะยิ่งใหญ่แต่ก็ยังมีข้อบกพร่อง เป็นได้เพียงท่าไม้ตาย แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เด็กทั้งสองก็ตื่นเต้นกันอย่างมาก พวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวในโลกอย่างที่คิดไว้