แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 309 สนทนาสัพเพเหระ
“หลิวหลี เจ้าต้องกลับแล้วจริงหรือ ไม่อยู่นานกว่านี้อีกสักหน่อยล่ะ?” จักรพรรดินีอาวรณ์ เพราะรู้สึกว่าตนเองเข้ากับหลิวหลีได้ดีมากจริงๆ
“อืม สถานการณ์ของมู่มู่ดีมาก ข้าก็วางใจ อีกอย่างข้าต้องกลับไปเข้าฌานแล้วเหมือนกัน เป็นราชาเซียนนานไปหน่อย” หลิวหลีถอนหายใจตาม สีหน้านั้นทำให้คนที่ไม่รู้ความจริงคิดว่านี่ต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่อยู่ขั้นราชาเซียนมาแล้วหลายหมื่นปี ใครจะไปคิดว่าเจ้าเด็กนี่ยังมีอายุไม่ถึงพันปี อายุน้อยเกินไปจริงๆ
“นังหนู เจ้าอย่าโอ้อวดออกมาตรงๆแบบนี้ได้ไหม ข้าชักอยากตีเจ้าขึ้นมาแล้ว ทำอย่างไรดี” จักรพรรดินีกัดฟันพูด เจ้าเด็กนี่อะไรก็ดีไปหมด มีแค่นิสัยชอบโอ้อวดที่ชวนให้หมั่นไส้
“จักรพรรดินี ข้าขอพูดตรงๆ อาจจะไม่น่าฟังสักหน่อย ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอก” หลิวหลียั่วยุต่อ ท่าทางลิงโลดของนางทำให้จักรพรรดินีคันไม้คันมือ
“เหอะ ถึงข้าสู้เจ้าไม่ได้ ข้าก็ยังมีมู่มู่” จักรพรรดินีได้ใจขึ้นมา
“ฝ่าบาท นั่นลูกสาวสุดที่รักของท่าน ในท้องนั่นก็คือหลานแท้ๆของท่าน ท่านทำเช่นนี้จะดีหรือ” หลิวหลีชี้ไปทางมู่มู่ผู้เป็นหญิงมีครรภ์ ใบหน้านางฉายแววสับสน เสด็จแม่ช่างโหดเหี้ยมนัก
“หึ เจ้ากล้าลงมือหรือ” จักรพรรดินีมองลูกสาวที่กำลังตั้งครรภ์อย่างได้ใจ
“ฝ่าบาท ชนะแล้ว ข้าขอตัว” หลิวหลีพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมา เรือมิตรภาพลำน้อยที่สร้างกันมาหลายปีนี้พลิกคว่ำเสียแล้ว
“เสด็จแม่ มีความสุขมากหรือเพคะ?” มู่มู่มองจักรพรรดินีที่กำลังส่งเสียงหัวเราะดังลั่นไม่หยุด นางไม่ได้เห็นเสด็จแม่ของนางยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริง
“ใช่ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าการหัวเราะอย่างไม่เกรงอกเกรงใจนั้นเป็นอย่างไร” จักรพรรดินีกระดากอาย ตั้งแต่ที่กลายเป็นจักรพรรดินีนภาพฤกษา ก็เหมือนใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา จนหลงลืมไปว่าการยิ้มออกมาจากใจจริงเป็นอย่างไร
“เสด็จแม่ จริงๆแล้วข้าชอบเรียกว่าท่านแม่มากกว่า” มู่มู่พูดพลางจับแขนของจักรพรรดินี
“แม่ก็ชอบเหมือนกัน ใกล้แล้วสินะ” จักรพรรดินีมองท้องฟ้า หลังจากจัดการกับหายนะแล้ว นางก็จะยกตำแหน่งให้จื่อชิง แล้วตนเองจะเป็นท่านยายที่คอยเลี้ยงหลาน นางโชคดีมากเหลือเกินที่มีลูกสาวอย่างมู่มู่ หาลูกเขยที่มารยาทดีเอาใจใส่มาให้นาง แล้วยังใกล้จะมีหลานที่แสนน่ารักอีก
หลิวหลีจากไปด้วยความเสียใจ เป็นแบบอย่างที่แย่จริงๆ ถึงได้ใช้หญิงตั้งครรภ์แบบนี้ แต่นางรู้ดีว่าจักรพรรดินีล้อเล่น จักรพรรดินีรักมู่มู่ขนาดไหน นางย่อมมองเห็น
“เฮ้อ เป็นจักรพรรดินีดูมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่ก็มีหลายสิ่งที่ไม่อาจทำตามอำเภอใจได้” หลิวหลีอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้
ณ วังนภาธารา พิธีรับตำแหน่งของสุ่ยโหรวน่าเบื่ออย่างยิ่ง หนานกงเวิ่นเทียนฝืนอดทนจนถึงงานจบแล้วขอตัวไปเข้าฌาน ทำเอาสุ่ยโหรวหดหู่ใจ และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต่างระหว่างพวกเขาสองคน
ส่วนที่วังนภาเพลิง อวิ๋นเฟยที่ตอนนี้กลายเป็นเซียนนภานพเก้าแล้วตัดสินใจเป็นขุนนางเซียนในตำหนักเวิ่นเทียนต่อไป ทำให้จักรพรรดิเสียใจอย่างมาก ใครจะไปคิดว่าหลังจากที่เหลยจ้านสืบทอดวังนภาเพลิงแล้ว ขุนนางเซียนตำหนักเวิ่นเทียนจะบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าได้ สิ่งนี้ตบหน้าเจ้าตำหนักทั้งหลายเข้าอย่างแรง
“อวิ๋นเฟย เจ้าเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ตามหลักควรจะเป็นผู้อาวุโสของวังนภาเพลิง เหตุใดเจ้าถึงยังมาขี้เกียจอยู่ในวังนภาเพลิงอยู่ พวกข้าทั้งหมดกำลังรอเจ้าสละตำแหน่งอยู่” ทหารสวรรค์พูดหยอก
“พอเลย เกลียดข้าอะไรขนาดนั้น ดูความสามารถอันน้อยนิดที่เจ้ามี ที่แท้ก็กำลังรอตำแหน่งข้าว่าง แต่กลับไม่แย่งชิงไปจากข้าด้วยความสามารถของตนเอง” อวิ๋นเฟยไม่โกรธ แค่ไม่พอใจพวกเขา คิดไม่ถึงว่าจะรอตำแหน่งของเขา ควรจะออกหน้าแย่งชิงกันไม่ใช่หรือ
“ก็เพราะความสามารถไม่เอื้ออำนวยอย่างไรเล่า” ทหารสวรรค์ผายมือทั้งสองข้างทำหน้าตาไร้ความผิด
“เจ้าหนุ่มนี่รู้จักความสามารถด้วยหรือไง” อวิ๋นเฟยด่าพลางยิ้มไปด้วย
“ทำไมจะไม่รู้ พวกข้าเป็นผู้บำเพ็ญกันหมด ให้ความสำคัญกับความสามารถ น่าเสียดายที่คุณสมบัติร่างกายไม่ได้” ทหารสวรรค์เศร้าสร้อย คุณสมบัติเป็นข้อด้อยของเขา
“เหลวไหล นายท่านของพวกเราไม่เคยสนใจเรื่องคุณสมบัติ สนใจแค่ตัวเจ้าเองมีความพยายามหรือไม่ หากยังไม่ยอมรับในตัวเอง ใครจะยอมรับในตัวเจ้า” อวิ๋นเฟยไม่เห็นด้วย
“ขุนนางเซียนอวิ๋น ได้โปรดอภัยด้วย ข้าแค่ไม่รู้สึกถึงพัฒนาการมานานมากจึงกลุ้มใจเล็กน้อย” ทหารสวรรค์รีบขอโทษขอโพย
“นายท่านเคยบอกว่า เรื่องฝึกฝนบำเพ็ญเพียรไม่ควรรีบร้อน ไม่ควรเร่งรัดจนเกินไป เจ้าลืมแล้วหรือ”
“ข้าจำได้อยู่แล้ว ข้าเดินตามรอยเท้าของนายท่านมาตลอด คิดว่าตนยังบกพร่องอย่างมาก”
“ไร้สาระ แม้ว่าข้าจะไม่ได้ดูแลกองทัพ แต่ก็รู้ว่าความสามารถของเจ้าอยู่อันดับต้นๆของที่นี่” อวิ๋นเฟยไม่เห็นด้วย
“เจ้าเอาแต่ไล่ตามเป้าหมายที่ไม่มีอยู่จริง แต่กลับไม่รู้เลยว่าระหว่างที่ไล่ตามนั้น เจ้าได้กลายเป็นวิวทิวทัศน์ของผู้อื่น กลายเป็นเป้าหมายที่ผู้อื่นพยายามไล่ตาม”
“นายท่านกลับมาแล้ว” พวกอวิ๋นเฟยกล่าว
“อืม อวิ๋นเฟย ใช้ได้ทีเดียว” หลิวหลีพออกพอใจมากทีเดียว ขุนนางเซียนของตนไปถึงขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว ดีมาก
“ขอบคุณนายท่านที่กล่าวชม คำพูดของนายท่านเมื่อครู่” อวิ๋นเฟยย่อมดีใจ แล้วจึงถามถึงสิ่งที่หลิวหลีพูดเมื่อครู่
“ข้าได้ยินที่พวกเจ้าคุยกันเมื่อครู่ ทำให้ข้าประทับใจมาก ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกพวกเจ้า แต่คุณสมบัติร่างกายเป็นลิขิตสวรรค์ คนเราไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์ได้ แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงมันด้วยความขยันหมั่นเพียร อีกอย่างเป้าหมายของเจ้าคงเป็นข้าใช่ไหม ข้ามีพลังบำเพ็ญขั้นราชาเซียน อายุไม่ถึงหมื่นปี แล้วเจ้าล่ะ เกรงว่าคงเป็นตอนอายุแสนกว่าปี ที่ข้าพูดเช่นนี้ไม่ได้ตั้งใจจะสบประมาทเจ้า ถึงหนทางมีมากมาย แต่มีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมให้เจ้าเดิน ไม่ใช่ว่าเดินตามรอยเท้าใครแล้วเป็นการพัฒนา บางครั้งการได้เดินไปบนเส้นทางที่ตนเองเชื่อมั่น ถึงจะเป็นของๆตนเองอย่างแท้จริง”
คำพูดเหล่านี้ของหลิวหลีทำให้ทุกคนจมดิ่งลงไปในห้วงความคิด เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ขอบคุณนายท่านที่ชี้แนะ ยินดีต้อนรับกลับ” เมื่อทหารสวรรค์ได้สติก็ประสานเสียงกัน
“เหอะๆ พวกเจ้านี่นะ จะได้เป็นราชาเซียนหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นไร พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าเพิ่มขึ้นต่างหากคือจะเป็นเรื่องจริง” หลิวหลีส่ายหน้า ตำหนักเวิ่นเทียนของนางต่างจากที่อื่นถึงได้เลือกไม่ใช่หรือ
“นายท่าน พวกข้าตระหนักได้แล้ว” ทหารสวรรค์กล่าว
“อืม ข้ากลับมาครั้งนี้เพื่อเตรียมเข้าฌานครั้งใหญ่ ตอนนี้อวิ๋นเฟยมีพลังเซียนนภานพเก้าแล้ว หากข้าไม่อยู่ อวิ๋นเฟยก็สามารถจัดการได้” หลิวหลีพูด เรื่องน่าประหลาดใจที่สุดของการกลับมาครั้งนี้ก็คือ อวิ๋นเฟยบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว
“เข้าฌาน แถมเป็นการเข้าฌานครั้งใหญ่ นายท่าน เหตุใดข้าถึงรู้สึกถึงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาจนทำให้ข้าอยากจะบูชาในใจ” อวิ๋นเฟยพูดความในใจ ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของเขาสูงขึ้น จนสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยบนร่างของนายท่าน
“ฮ่าๆ จะเคารพบูชาข้าอย่างไรล่ะ ข้าอนุญาตให้เจ้าบูชาข้าได้อย่างเปิดเผยเลย” หลิวหลียิ่งทำตัวอาจหาญมากขึ้น การเคารพบูชาที่อธิบายไม่ถูกนี้ทำให้หลิวหลีนึกถึงพลังแห่งความศรัทธา
“นายท่านข้าเคารพบูชาท่านมาโดยตลอด” อวิ๋นเฟยกล่าวความในใจ
“พอได้แล้ว ตอนนี้เจ้าได้เป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ข้าควรจะรายงานกับองค์จักรพรรดิ ให้ถอดเจ้าจากตำแหน่งขุนนางเซียน”
“นายท่านจะไล่ข้าหรือ” อวิ๋นเฟยตัดสินคำพูดของหลิวหลีอย่างหดหู่
“เปล่าเสียหน่อย ข้ายังพูดไม่จบ” หลิวหลีอดไม่ไหว กรอกตาใส่ ฟังข้าพูดให้จบก่อนไม่ได้หรือ
“นายท่านเชิญกล่าว” อวิ๋นเฟยกระอักกระอ่วน
“พลังบำเพ็ญเพียรเช่นเจ้าให้ดำรงตำแหน่งขุนนางเซียนก็รกหูรกตา ข้าจะรายงานองค์จักรพรรดิ ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกจากตำหนักเวิ่นเทียน ก็อยู่เป็นรองเจ้าตำหนักแล้วกัน รอให้ข้าบรรลุพลังขั้นจักรพรรดิเซียนแล้ว เจ้าค่อยเข้ามาดูแลตำหนักเวิ่นเทียนต่อ” คำพูดของหลิวหลีราวลูกระเบิด ทำให้ทุกคนเหลือเชื่อ