แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 316 ใครๆ ก็มีหอกาลเวลา
หลังจากนั้นหลิวหลีก็เข้ามาจำกัดปริมาณอาหารให้มู่มู่ อาหารจึงมีรสชาติที่ดีขึ้น เด็กสองคนที่วิ่งเล่นกันอย่างบ้าคลั่งทั้งวันจะมาพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหารทันทีเมื่อถึงเวลาอาหาร มองมู่มู่ตาแป๋ว จนนางใจอ่อนแบ่งอาหารให้เด็กสองคน จนสุดท้ายหลิวหลีจำใจต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก
เมื่อจักรพรรดินีรู้ว่าหลิวหลียื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องสุขภาพให้มู่มู่ก็รู้สึกตื่นเต้น ในเมื่อจักรพรรดิเซียนยื่นมือเข้ามาดูแล เช่นนั้นบุตรสาวของนางกับลูกในท้องต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันหลิวหลีก็มั่นใจแล้วว่ามู่มู่ท้องลูกคนเดียว
“กิเลนน้อยมีพัฒนาการที่ดีทีเดียว ข้าได้ชะล้างเศษปนเปื้อนในร่างกายมู่มู่ เพราะร่างกายมีตะกอนอุดตัน มู่มู่กับลูกจึงต้องการการบำรุงจากภายนอก ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องใช้พลังเซียนในอาหารมาบำรุงแล้ว” หลิวหลีพูด
“ดีมาก เป็นกิเลนน้อยเสียด้วย คาดว่าจื่อฉีจะต้องดีใจมาก” จักรพรรดินีกล่าว นางไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะร่างกายมู่มู่มีสิ่งปนเปื้อนถึงได้ตะบี้ตะบันกินเพื่อบำรุงกำลัง นางรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“จักรพรรดินีไม่ดีใจหรือ อย่างไรเสียก็เป็นหลานของท่านนะ” หลิวหลีถาม การมีทายาทในโลกเซียนก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีลูกผู้ชายเพื่อสืบทอดวงศ์สกุล หลิวหลีจึงถามหยั่งเชิงดู
“ดีใจสิ จะไม่ดีใจได้อย่างไร ผู้ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นพลังแบบข้าสามารถเป็นยายได้ ทำไมจะไม่ดีใจ” จักรพรรดินีย่อมต้องดีใจแน่ ส่วนเรื่องหลานจะเป็นอสูรเทพหรือเด็กทารกนางไม่กังวล
“ฝ่าบาทช่างใจกว้างนัก”
มู่มู่ลูบท้องตนเอง รู้สึกไม่เหมือนแต่ก่อน นางรู้สึกสบายขึ้นมากและไม่รู้สึกหิวโหยขนาดนั้นแล้ว ที่แท้เป็นเพราะตัวนางเอง โชคดีที่ท่านพี่พบเร็ว ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะทนได้ถึงวันคลอดลูกหรือเปล่า
“จักรพรรดินี มีบางอย่างไม่รู้ว่าข้าควรพูดดีหรือไม่” หลิวหลีมองจักรพรรดินีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พูดมาเถอะ” จักรพรรดินีรู้สึกได้ว่าสิ่งที่หลิวหลีจะพูดไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“เด็กในท้องของมู่มู่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยพันปีถึงจะคลอดออกมาได้ จักรพรรดินีอยากให้พวกข้าพามู่มู่เข้าไปในหอกาลเวลาหรือไม่ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญ” หลิวหลีพูดจาคลุมเครือ
“ไม่จำเป็น แต่ก่อนเป็นเพราะตัวมู่มู่เอง บวกกับจื่อฉีเข้าฌาน ส่วนข้าไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ได้ ตอนนี้หลิวหลีมาแล้ว สามารถอยู่เพื่อนมู่มู่ได้ ที่ดินแดนนภาพฤกษาของข้าก็มีหอกาลเวลาเหมือนกัน” จักรพรรดินีกล่าวแผนการที่วางไว้มาโดยตลอด แต่นางก็เข้าใจ หลิวหลีดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง ตอนนี้เวลานี้บุตรสาวของนางตั้งครรภ์ถือว่าไม่สะดวกจริงๆ
ดังนั้นหอกาลเวลาเป็นของทั่วไปหรือถึงได้มีกันทุกดินแดน นางดันคิดว่ามีเพียงที่ดินแดนอสูรเทพเท่านั้น
“ทุกดินแดนล้วนมีหอกาลเวลา เพียงแต่ในตอนแรกถือเป็นสิ่งค่อนข้างสิ้นเปลือง ในช่วงเวลาที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ข้า แต่จักรพรรดิท่านอื่นก็จะส่งลูกศิษย์ที่เป็นยอดฝีมือเข้าไปในหอกาลเวลาเพราะคาดหวังให้พวกเขาเก็บเกี่ยวได้เต็มที่”จักรพรรดินีอธิบาย
หลิวหลีเข้าใจ หอกาลเวลาเป็นเส้นทางลัด ในช่วงเวลาที่สำคัญ จะต้องใช้วิธีที่พิเศษ ดูแล้วเหล่าจักรพรรดิให้ความรู้สึกเหมือนเซียนหยั่งรู้ดวงชะตา
“หลิวหลี เจ้ากับพวกเวิ่นเทียนไม่จำเป็นต้องเข้าไป ไม่ได้มีผลอะไรกับเอ๋าเลี่ยและอิงเสวี่ย หอกาลเวลาจะส่งผลกับพวกที่ขั้นพลังต่ำกว่าราชาเซียนเท่านั้น” จักรพรรดินีพูดกับกลุ่มคนที่เก่งกาจตรงหน้า ทุกคนล้วนยังเยาว์วัยแต่กลับมีพลังที่โดดเด่น สิ่งที่นางพอใจที่สุดก็คือ หลิวหลีสอนจื่อฉีได้ดีมาก พลังหยางของเขายังบริสุทธิ์ บุตรสาวของนางจึงได้รับประโยชน์อย่างมาก หากไม่มีข้อจำกัดเรื่องลูกอาจมุ่งมั่นจนบรรลุขั้นราชาเซียน ตอนนี้การเข้าหอกาลเวลาเพียงทำเพื่อลูกเท่านั้น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ดังนั้นนางที่มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นราชาเซียนจึงไม่มีผลใดๆ นางไพล่คิดว่าเป็นเพราะขั้นพลังสูงเกินไปจึงต้องการเวลามากกว่านี้เสียอีก
“หลิวหลี จริงๆแล้วข้านับถือเจ้ามาก แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขั้นพลังได้ไว แต่ยังปฏิบัติจนต่อผู้อื่นเหมือนเดิม สิ่งนี้ช่างหาได้ยากนัก” จักรพรรดินีพูดคำนี้ด้วยความเลื่อมใส นางเคยเจอพวกสหายหรือคู่รักที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งสักเล็กน้อย ก็จะเย่อหยิ่งยโส ราวกับการได้รู้จักพวกเขาเป็นเรื่องที่แสนมีเกียรติ ต้องการให้สหายหรือคู่เซียนเยินยอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยเจอพวกที่แกล้งทำเป็นคนแปลกหน้าไม่รู้จักกันไปเลย มีคนเหล่านี้เป็นจำนวนไม่น้อย แต่น้อยคนนักที่จะยังคงปฏิบัติต่อสหายด้วยความจริงใจเหมือนกับหลิวหลี อีกทั้งนางไม่โลภในชื่อเสียงเงินทอง จักรพรรดิหลายคนล้วนทายกันไว้ว่าหลังจากที่หลิวหลีแข่งขันเสร็จจะกลับไปรับตำแหน่งรัชทายาท แต่ก็กลับถูกนางปฏิเสธและปล่อยให้เหลยจ้านได้ไป แม้แต่ตำหนักเวิ่นเทียนที่นางสร้างมากับมือยังยกให้ขุนนางเซียนของนาง ปัจจุบันมีเพียงตำแหน่งในนาม หนำซ้ำยังต่างไปจากจักรพรรดิเซียนที่เย็นชาพวกนั้นที่เอาแต่เข้าฌาณ ทำตัวไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ไม่สนใจโลกภายนอก นังหนูคนนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ
“คนเราดูกันที่ใจ อีกทั้งในชีวิตหนึ่ง ยากนักที่จะเจอคนรักที่เข้าใจเจ้า สหายที่รู้ใจ แม้จะบอกหนทางแห่งเต๋านั้นโดดเดี่ยว แต่หากมีเพียงตนเองจริงๆก็คงน่าสงสาร” หลิวหลีกล่าว
“หลิวหลีพูดได้ดี เพราะเหตุนั้นตอนข้ารู้ว่าคนรักของข้าตายไปอย่างทุกข์ทรมาน แต่เป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์มู่มู่จึงยืนหยัดต่อไป คนมากมายบอกข้าว่าคนรักก็ตายไปแล้ว จะเก็บเด็กไว้ให้ได้อะไร แต่มู่มู่เป็นผลผลิตของข้ากับเขา เป็นสัญลักษณ์ความรักของเรา ข้าจึงต้องแข็งแกร่งขึ้น น่าแปลกที่ในขณะที่ตั้งท้องมู่มู่อยู่ก็สามารถเอาชนะผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดและดำรงตำแหน่งรัชทายาทหญิงได้ มีคนอีกไม่น้อยรอให้ข้าสูญเสียพลังบำเพ็ญเพียรในตอนคลอดลูก แล้วร่วงตกลงมา แต่ข้าเข้าหอกาลเวลาไปก่อน มู่มู่ไม่เป็นอะไร ข้าก็ไม่เป็นอะไร” จักรพรรดินีนึกถึงเรื่องในอดีตราวเพิ่งเกิดขึ้น
“ท่านแม่ ข้าไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน” มู่มู่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตั้งครรภ์หรือไม่ถึงได้อ่อนไหวอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ท่านแม่ของนางลำบากมากจริงๆ
“จะเศร้าถึงเพื่ออะไร อย่างไรเสียเราสองคนก็สบายดี มีชีวิตที่ดีกว่าใครก็เพียงพอแล้ว” จักรพรรดินีโบกปัด เรื่องในอดีตแค่นึกถึงก็พอ ไม่ต้องไปสนใจยักหนา
“จักรพรรดินีช่างมีคุณธรรม น่าเสียดายที่ไม่ว่าที่ไหน โลกมนุษย์เต็มไปด้วยแผนการ โลกผู้บำเพ็ญเองก็มีการวางแผนการเช่นกัน ต่อให้บรรลุเป็นเซียน และแม้ว่าจะบรรลุอีกก็คงจะหนีแผนสกปรกไม่พ้น แต่ท่านก็ยังปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายจะเหมือนท่าน ถึงจะคบหาโดยบริสุทธิ์ใจ คนจำนวนเท่าไหร่กันที่คบหากันเพื่อผลประโยชน์ และแก่งแย่งชิงดีเพื่อมัน คนเราวิ่งหาผลประโยชน์ทั้งชีวิต วางแผนรับมือกันไปมา สุดท้ายจะหลงเหลือสิ่งใด ญาติมิตรที่ควรรักษากลับมองราวคนแปลกหน้า กลับมองสหายดั่งศัตรูคู่แค้น เหนื่อยเกินไป ลำบากเกินไป” เหมือนหลิวหลีจะเข้าใจ
แม้คนที่เหลือจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกเขาอยู่ด้วยกันเพราะพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องผลประโยชน์ แต่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ ถึงได้พูดคุยหยอกล้อกันได้อย่างมีความสุข ยอมยื่นมือออกมาช่วยเหลือในเวลาที่ต้องการกันมากที่สุดได้ ดังนั้นพวกเขาควรจะรักษาสายสัมพันธ์ที่แสนบริสุทธิ์นี้เอาไว้ หนานกงเวิ่นเทียนกุมมือของหลิวหลี เขาพบว่านางเป็นดั่งพระอาทิตย์ ให้ความอบอุ่นแก่เขา ทำให้เขาเดินออกมาจากความมืดมิดเพื่อพบกับแสงสว่างอีกครั้ง ได้รับความอบอุ่น อาเลี่ยก็เช่นกัน เป็นเพราะนังหนู เขาถึงได้มีสิ่งต่างๆอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะสวรรค์เห็นด้วยกับความรู้สึกเหล่านี้ อยู่ๆท้องฟ้าก็เริ่มแปรปรวน และในวินาทีนั้นเองจื่อฉีก็พุ่งพรวดออกมากลายเป็นราชาเซียน
“ท่านแม่ ลูกเตะข้า” มู่มู่ตกใจที่ลูกน้อยที่ปกติแสนเกียจคร้านของนางเตะนาง ช่างน่าอัศจรรย์ นี่คงเป็นเหตุผลที่ตอนนั้นท่านแม่ไม่ยอมละทิ้งนาง ณ เวลานี้ นางรู้สึกอบอุ่นใจ จนจมอยู่ในความอบอุ่นนี้
สายตาของทุกคนกลับมาจดจ้องมู่มู่อีกครั้ง ในเมื่อจื่อฉีก็ออกจากฌานแล้ว ดังนั้นจึงพอจะมองข้ามเรื่องอื่นไปได้