แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 317 สงครามปะทุ
เมื่อจื่อฉีออกจากฌานมาพบว่าคนสนิทของเขาล้วนอยู่ที่นี่กันหมดจึงตื้นตันใจน้อยๆ แต่ไม่นานก็พบว่าสายตาของทุกคนไม่ได้จดจ้องอยู่ที่เขาทำให้พูดอะไรไม่ออก ไม่ได้มาแสดงความยินดีที่เขาได้เป็นราชาเซียนหรือ จนเมื่อมองไปเห็นภรรยาของเขาที่อยู่ตรงกลาง ดูไม่เลวเลยทีเดียว บำรุงจนตัวอ้วนกลม ไม่ได้ลำบากอะไร
“ท่านพี่ ท่านออกณาณแล้ว” มู่มู่พบว่าจื่อฉีออกจากฌานแล้วจึงรีบไปต้อนรับ ส่วนคนที่เหลือถึงได้เหมือนกับว่าเพิ่งเห็นจื่อฉี
“น้องหญิง เจ้าดูไม่เลวเลยทีเดียว” มีเนื้อมีหนัง มองแล้วรู้สึกดีทีเดียว
“อืม เมื่อครู่ตอนที่ท่านพี่กลายเป็นราชาเซียน ลูกดิ้นด้วย” มู่มู่รีบพูด
“จริงหรือ ลูกของเราต้องน่ารักมากแน่ๆ” จื่อฉีรู้สึกว่าการมีทายาทที่มีสายเสือดเกี่ยวดองกับตนนั้นดีมากทีเดียว แต่ก่อนเขาเห็นพ่อแม่ของเขารักใคร่กันมาก็มาก ราวกับว่ามีแค่กันและกันนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์ ต้องมีทายาทถึงจะสมบูรณ์
“อืม ท่านพี่บอกว่าเป็นกิเลนน้อย” มู่มู่รีบโยนให้หลิวหลี ทำเอานางอยากก่ายหน้าผาก จะทำให้สามีตนเองประหลาดใจไม่ได้เลยหรือ คิดไม่ถึงว่าจะรีบร้อนพูดออกมา โชคดีที่แต่งกับจื่อฉี ไม่เช่นนั้นคงโดนปอกลอกไปจนหมดตัวไม่เหลืออะไร
“เช่นนั้นหรือ เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพียงแค่เป็นเด็กที่น้องหญิงคลอดออกมา” สิ่งที่จื่อฉีตอบกลับมาคือไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องเป็นกิเลนน้อยหรือเป็นเด็ก อย่างไรก็คือลูกของเขา
“ท่านพี่ ท่านช่างแสนดีนัก”
อยู่ๆหลิวหลีก็รู้สึกว่าสองคนนี้เลี่ยนกันเหลือเกิน จึงจงใจกระแอมออกมา
“ท่านพี่ ข้าดูดซับไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว” แล้วก็เป็นอย่างที่คิด จื่อฉีสังเกตเห็นแล้ว เมื่อเขาเห็นหลิวหลีก็ลากมู่มู่มาพูดตรงหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่พบว่าท่านพี่ของเขาดูเหมือนจะลึกล้ำกว่าเดิม
“ไม่เลว แต่ว่าอีกสักพักเจ้าต้องเข้าฌานพร้อมกับมู่มู่ และจะต้องดูดซับมาให้หมด” หลิวหลีเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
“ท่านพี่ ข้าบรรลุขั้นพลังในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้หรอก ข้าขอค่อยๆหลอมรวมมันได้หรือไม่ ข้าอยากอยู่กับมู่มู่ด้วย” จื่อฉีรู้สึกว่าตนเองคงไม่มีอะไรก้าวหน้าในระยะเวลาสั้นๆนี้แน่ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าฌาน
“ไม่ได้ จำเป็นต้องหลอมรวมทั้งหมด เจ้ารู้แค่สิ่งที่เจ้าดูดซับไปตอนนั้นเป็นของดี อีกทั้งหากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นพลังของเจ้าได้ เมื่อเจ้าได้เจอกับคนนั้น เขาก็จะสามารถขโมยพลังในส่วนที่เจ้าดูดซับไปได้” หลิวหลียืนกรานและบอกเรื่องสำคัญออกไป
“ท่านพี่ อยู่กับข้าและลูกเถอะ เสด็จแม่บอกว่าจะให้ข้าเข้าไปในหอกาลเวลาเพื่อให้ลูกได้คลอดเร็วขึ้น” มู่มู่พูดพลางดึงแขนจื่อฉี
“ได้” จื่อฉีเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ ท่านพี่ก็คงไม่ขอร้องตนด้วยน้ำเสียงตึงเครียดเช่นนั้น
อีกด้านหนึ่ง ณ วังนภาสุวรรณ การเข้าฌานของเยี่ยชิงขวงใกล้จะสิ้นสุดลงเช่นกัน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มีสีเลือดเป็นเส้นขึ้นมาแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ ผมของเขาค่อยๆกลายเป็นสีเลือด ในที่สุดร่างกายก็ได้กลายเป็นสายเลือดราชวงศ์อย่างสมบูรณ์ เมื่อเยี่ยชิงขวงรู้สึกตัว เผ่ามารรัตติกาลหรือผู้ที่มีสายเลือดเผ่ามารรัตติกาลล้วนสัมผัสได้ว่าราชาของพวกเขาปรากฎตัวขึ้นแล้ว ดีจริงๆ ในที่สุดเวลาที่พวกเขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง
“ขอแสดงความยินดีที่ได้ออกจากฌานขอรับฝ่าบาท” ขุนนางเซียนเคารพเขามากขึ้นถึงขนาดเปลี่ยนคำเรียกราชาของพวกเขาอุบัติขั้นแล้ว
“ลุกขึ้นเถอะ เรียกขุนนางเซียนอีกสามคนมา ถึงเวลาต้องทดลองพลังสายเลือดราชวงศ์แล้ว” เยี่ยชิงขวงกุมหมัดพูด
“กระหม่อม” ขุนนางเซียนตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ จะใช้เคล็ดวิชาของเผ่ามารรัตติกาลหรือ
“เอาล่ะ ตอนนี้สายเลือดของข้าถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ถึงเวลาใช้พลังสายเลือดแล้ว” เยี่ยชิงขวงมองขุนนางเซียนที่บ้าคลั่ง ตัวเขาเองก็รู้สึกคลั่งเล็กน้อยเช่นกัน
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เหล่าขุนนางเซียนถวายเคารพโดยเอาหน้าผากแตะพื้นด้วยความตื้นตัน
เยี่ยชิงขวงยื่นมือออกมา นิ้วทั้งสี่นิ้วปล่อยหยดเลือดกลมๆสี่หยดออกมาและยิงไปทางช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียนทั้งสี่คน หลังจากที่หยดเลือดหลอมรวมเข้าไปในช่องว่างระหว่างคิ้วของขุนนางเซียน เสื้อผ้าด้านบนของขุนนางเซียนก็ขาดออกไปเป็นเสี่ยงๆ ปีกที่ถูกซ่อนไว้สยายออกมาให้ประจักษ์ ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวไปทั่วปีกของพวกเขา ปีกสีดำมหึมากำลังร้องเรียกตัวตนของพวกเขา เผ่ามารรัตติกาล อาจบอกได้ว่าตำหนักของเยี่ยชิงขวงล้วนมีแต่เผ่ามารรัตติกาล ทุกคนคุกเข่ามองไปยังตำแหน่งที่เยี่ยชิงขวงอยู่ ยกเว้นหลิวอิ๋งที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ลวดลายสีเลือดเคลื่อนไหวอยู่บนปีกขนาดยักษ์นั้นแล้วค่อยๆเคลื่อนกลับไปที่หน้าผากอย่างเชื่องช้า หน้าผากของพวกเขามีจุดสีชาดปรากฎขึ้นแสดงให้เห็นว่าขุนนางเซียนทั้งสี่คนนี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว แต่ภายนอกกลับสงบนิ่ง ไม่ปรากฏข่าวจักรพรรดิเซียนคนใหม่เลยสักนิด
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสี่คนหุบปีก มองไม่ออกว่าจริงๆแล้วพวกเขาคือเผ่ามารรัตติกาล มีเพียงจุดบนหน้าผากที่ดูแปลกตาเป็นพิเศษเท่านั้น
“เท่านี้ยังไม่พอ พลังบำเพ็ญเพียรในขั้นต่ำที่สุดต้องอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเจ้าลองหาคนเผ่ามารรัตติกาลที่บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า พวกเราต้องการจักรพรรดิเซียนอย่างน้อยยี่สิบคนถึงจะสามารถหารือเรื่องใหญ่กันได้” เยี่ยชิงขวงกล่าว
“น้อมรับคำสั่งขอรับ” ทั้งสี่พูดอย่างพร้อมเพรียงกัน
“โลกเซียนจะต้องกลายเป็นโลกของข้า ฮ่าๆ” เยี่ยชิงขวงพูดพลางมองท้องฟ้าและหัวเราะ ใกล้แล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้ก็คือกลืนกินดินแดนนภาสุวรรณนี้เสียก่อน
“หลิวหลี เวิ่นเทียน ข้าเยี่ยซิงหวงกลับมาแล้ว คงคาดไม่ถึงกันล่ะสิ” เยี่ยชิงขวงเอ่ยเบาๆ แล้วนึกถึงคำพยากรณ์ที่หลิวอิ๋งใช้พลังชีวิตทำนายออกมา น่าเสียดายจริงๆที่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ในโลกเซียนนี้ น่าเสียดายนัก
หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าพญามารได้ตื่นขึ้นมาแล้ว แถมยังวางแผนมากมายเสียด้วย
จากที่จื่อฉีได้เข้าไปในหอกาลเวลากับมู่มู่ เด็กทั้งสองก็ตามเข้าไปด้วยเช่นกัน แล้วคนที่ตามเข้าไปด้วยยังมีหลิวหลีกับเวิ่นเทียน เด็กทั้งสองอยากจะแสดงกระบวนท่ารวมร่างของพวกตนอยู่ตลอด ผู้ใหญ่ทั้งสองได้เข้าไปกับเด็กๆในฐานะที่เป็นคนชี้แนะ เอ๋าเลี่ยและอิงเสวี่ยจะอยู่ต่อก็เกรงใจ จึงสั่งสอนบุตรชายทั้งสองคนและกลับดินแดนอสูรเทพเพื่อเข้าฌาน
“ไม่เลวนี่ มีการพัฒนา” หลิวหลีพอใจที่เด็กทั้งสองรู้ใจกันมาก จึงยิ่งชื่นชมเด็กทั้งสอง
“น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถสู้ท่านน้าหลิวหลีได้” เด็กทั้งสองออกตัวว่าเสียดาย พวกเขายังห่างชั้นกับท่านน้ามาก
“เจ้าสองคน พวกเจ้ายังเด็ก ไม่ต้องตั้งเงื่อนไขกับตนเองสูงขนาดนั้น มีความสุขทุกวันก็พอแล้ว” หลิวหลีลูบศีรษะเด็กทั้งสอง พลางบอกพวกเขาว่าในเมื่อเป็นเด็กก็ต้องทำตัวเป็นเด็กเข้าไว้ ใบหน้าบึ้งตึงไม่เหมาะกับพวกเขา เด็กวัยเยาว์ช่างไร้เรื่องทุกข์ร้อนจริงๆ แล้วจะอยากเครียดไปเพื่ออะไรกัน
“ท่านน้า พวกข้ารู้ว่าพวกท่านมีเรื่องปิดบังพวกข้าอยู่ ไม่อยากให้พวกข้ารู้ แต่จะช้าหรือเร็วพวกข้าก็ต้องโตขึ้น” ปิงเซียวกล่าว
“เป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่ แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังเป็นเด็ก เด็กต้องมีความสุขกับช่วงเวลาดีๆในวัยเยาว์” ถึงหลิวหลีจะชอบใจที่เด็กทั้งสองมีความคิดความอ่าน แต่นางก็ยังไม่อยากให้เด็กโตเร็วเกินไป
“ท่านน้า พวกข้าอยากโตขึ้นให้เร็วสักหน่อย” เหลยรุ่ยกล่าว
“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องขยัน พอพวกเจ้าโตขึ้นก็จะคิดถึงความไร้กังวลในวัยเยาว์” หลิวหลีถอนหายใจ เด็กทั้งสองคนเป็นเข้าใจเรื่องราวอะไรๆ จนน่าปวดใจ