แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 32 สถานภาพมีปัญหา
ระยะเวลาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลิวหลีฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็ปรุงยาและยังใช้เตาปรุงยาจากแดนลี้ลับ ตรงขอบเตามีสัญลักษณ์เล็กๆติดอยู่ หลิวหลีเพ่งมองอยู่นานคลับคล้ายคลับคลาเป็นตัวอักษรย่อไม่ธรรม.. จึงเรียกเตาปรุงยานี้ว่าเตาเหนือสามัญ เตาเหนือสามัญนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ฝีมือการปรุงยาของหลิวหลีอยู่ขั้นที่ 3 แล้ว ใบหน้ารูปไข่ในวัยสิบแปดของนางขยายออกได้รูป ส่วนสูงเกือบเมตรเจ็ดสิบ ทอดสายตามองมาก็ถือว่าเป็นสาวงามที่สวยสง่าคนหนึ่ง
ไม่ผิดหรอก…นางเป็นสาวงาม หลิวหลีเติบโตขึ้นหมดทุกส่วนแต่ขาดแค่สิ่งเดียวเท่านั้น นางจ้องทรวงอกอันแบนราบอย่างทุกข์ใจ หน้าอกของนางขนาดยังไม่เท่าเสี่ยวหลงเปาเลย ฉะนั้นอย่าคิดเลยว่าจะเท่าหมั่นโถว รูปร่างสูงยาวเข่าดีอย่างเห็นได้ชัด
“นังหนู เจ้าควรออกฌานได้แล้ว” เอ๋าเลี่ยมองพลางเอ่ยกับหลิวหลีที่กำลังอารมณ์ขุ่นมัว
“รู้แล้วน่า” หลิวหลีขบฟัน ต่อแต่นี้ไป นางจะไม่เชื่อในประโยชน์ของนมมะละกอสามมื้ออาหารต่อวันอีก นางก็คงจะอกแบนแบบนี้ไปตลอด
หลังจากหลิวหลีออกฌานก็หันหน้ารับแสงอาทิตย์พลางบิดขี้เกียจ การฝึกวิชาของเธอมาถึงช่วงปลายของช่วงบำเพ็ญเพียรแล้ว แต่ความเป็นจริงก็ยังเป็นขั้นพื้นฐานระดับสุดยอด ต้องออกจากสำนักเพื่อตามหาเพลิงอัคคี
หลิวหลีรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่อาจารย์กับอาจารย์ลุงไม่ได้เข้าฌาน
“หลิวหลี ออกฌานแล้วหรือ” เสวียนหั่วมอง ก่อนเข้าฌานเจ้าเด็กนี่อยู่ขั้นพื้นฐานช่วงสุดยอด เหตุไฉนเข้าฌานไปห้าปีแล้วถึงยังไม่บรรลุถึงช่วงบำเพ็ญเพียร
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์” หลิวหลีพยักหน้าแล้วหยิบขวดหยกเล็ก ๆหลายขวดออกมา
“ยาคืนลมปราณคุณภาพระดับสาม ยาวิญญาณอสูรคุณภาพระดับสาม ยาไพลศักดิ์สิทธิ์คุณภาพระดับสาม” เสวียนหั่วเปิดฝาขวดออก พูดด้วยน้ำเสียงฉายแววประหลาดใจทุกคำเพราะล้วนเป็นยาคุณภาพชั้นยอดทั้งสิ้น ยาคุณภาพระดับสามจำเป็นต้องใช้พลังบำเพ็ญเพียรในช่วงบำเพ็ญเพียร
“ใช่แล้วท่านอาจารย์ ข้าเป็นผู้ปรุงยาระดับสามแล้ว ทั้งยังเกือบแตะถึงระดับสี่ด้วย” หลิวหลีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“เช่นนั้น ศิษย์ข้า เจ้าบอกอาจารย์ได้หรือไม่ ว่าเหตุใดการบำเพ็ญเพียรของเจ้าถึงไม่บรรลุช่วงพลังสักที” เสวียนหั่วกล่าวอย่างตึงเครียด
“อาจารย์ ท่านมองออกด้วย” สีหน้าหลิวหลีเศร้าสร้อยลง
“พูดมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสวียนหั่วจิบชาศักดิ์สิทธิ์แล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านอาจารย์ ท่านรู้ว่าข้าฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ จุดเด่นของเคล็ดวิชานี้คือสามารถประมือกับคนในช่วงพลังที่ต่างกัน อย่างไรเสียเพลิงอัคคีก็มีพลังโจมตีที่แก่กล้า แต่ข้อเสียคือทุกครั้งที่ข้าจะบรรลุช่วงพลังต้องใช้เพลิงอัคคี” หลิวหลีพูดอย่างจนใจ
“เช่นนั้นแปลว่าที่จริงเจ้าบรรลุช่วงพลังแล้ว เพียงแค่เพราะไร้ซึ่งเพลิงอัคคีจึงไม่อาจบรรลุช่วงบำเพ็ญเพียรได้” เสวียนหั่วสรุปใจความ
“เจ้าค่ะ” หลิวหลีพยักหน้า
“ข้าจะขอศิษย์ผู้คุมกฎแบ่งเพลิงอัคคีม่วงของสำนักให้เจ้าแล้วกัน” เสวียนหั่วครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น
“ท่านอาจารย์ ข้าซาบซึ้งในความปรารถนาดีของท่าน แต่เพลิงอัคคีม่วงไร้ประโยชน์สำหรับข้า” เฮ้อ หากเพลิงอัคคีม่วงมีประโยชน์ล่ะก็นะ ข้าคงขออาจารย์ตั้งแต่กลับมาแล้ว
“เพลิงอัคคีม่วงไร้ประโยชน์หรือ?” เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน
“ท่านอาจารย์ ข้าจะไม่ขอปิดบังท่านแล้ว ข้าต้องการเพลิงอัคคีทอง เพลิงอัคคีไม้ เพลิงอัคคีน้ำ เพลิงอัคคีไฟ เพลิงอัคคีดิน เพลิงอัคคีลม เพลิงอัคคีอัสนี เพลิงอัคคีเหมันต์ เพลิงอัคคีทมิฬรวมทั้งเก้าชนิด และเพราะข้าเป็นร่างวิญญาณอัคคี ไฟจึงเป็นเพลิงอัคคีสุดท้ายที่ข้าต้องการ และจำเป็นต้องเป็นเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งอย่างเพลิงนพเก้ากลืนนภาด้วย” นางเหนื่อยใจมากจริง ๆ
เสวียนหั่วยังไม่รู้ตัวเลยว่าชาในมือกระฉอกไปกว่าครึ่งแก้ว เพลิงอัคคีขึ้นชื่อสิบอันดับแรกไม่ใช่ว่าจะครอบครองได้ง่าย ๆ แถมยังต้องใช้เพลิงอัคคีอันดับแรกอีก ศิษย์ข้าโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่
“ดังนั้น เจ้าตั้งใจจะทำเช่นไรต่อ” เสวียนหั่วดูเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำชาหกเลอะเทอะจึงร่ายมนตร์เก็บกวาดและเปลี่ยนทุกอย่างใหม่หมด
“คิดว่าจะออกเดินทางท่องโลก” มุดหัวอยู่ในสำนัก เพลิงอัคคีคงไม่ร่วงลงมาหรอก
“ก็ดี มีจุดหมายปลายทางหรือไม่” เสวียนหั่วถาม
“ไม่รู้เลยเจ้าค่ะ คงเดินไปตามความรู้สึก” หลิวหลีไม่มีจุดหมายปลายทาง แค่อยากจะร่อนเร่ไปทั่ว
“หากเป็นเช่นนั้น ในฐานะอาจารย์ข้าอยากแนะนำให้เจ้ากลับโลกมนุษย์สักครั้ง”
“โลกมนุษย์?” กลับไปยังสถานที่กำเนิดของนาง
“ถูกต้อง ข้าจำได้ว่าตอนนั้นผลการทดสอบเป็นแกนวิญญาณอัคคี 90 ส่วน อีก 10 ส่วนเป็นร่างวิญญาณ แต่ความจริงเจ้าเป็นร่างวิญญาณ ร่างเจ้าคงจะมีโลหิตที่ไม่ใช่ของเจ้า ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้เจ้าต้องไปตามหามันด้วยตัวเจ้าเอง” นี่คือข้อสรุปที่เสวียนหั่วและเสวียนหลิงได้จากการหารือกัน
หลิวหลีนิ่งเงียบ ความหมายก็คือท่านแม่ที่นอนอยู่ในหลุมศพกับท่านพ่อเถ้าแก่ร้านผ้าอาจจะไม่ใช่บุพการีของนางหรือมีอะไรมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น
หลังจากเขียนจดหมายร่ำลาสหายและทิ้งข้อความไว้ให้หนานกงเวิ่นเทียน หลิวหลีก็จากไปอย่างสบายใจ ในเมื่อท่านอาจารย์เอ่ยมาเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นตนจะกลับไปโลกมนุษย์ก่อน นางติดค้างท่านพ่อเถ้าแก่ร้านผ้าสามเรื่องพอดี เฮ้อ…หากไม่ชำระพันธะแห่งกรรม การรวบรวมปราณอมตะของตัวเองจะมีปัญหาได้
“หลิวหลี เจ้าจะไปโลกมนุษย์จริงหรือ?” เอ๋าเลี่ยยังคงไม่เชื่อ โลกมนุษย์เป็นดินแดนมีพลังเซียนเบาบางจะตาย
“ใช่สิ ปีก่อนข้าตกปากรับคำท่านพ่อไว้สามเรื่องจะได้ชำระพันธะกรรมกันให้จบสิ้นด้วยพอดีและสืบหาว่าตัวเองเป็นใครด้วย” ประโยคสุดท้ายหลิวหลีพูดด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
มีชีวิตอยู่มาหกปี สุดท้ายพ่อแม่ตนเองกลับไม่ใช่พ่อแม่ของตน พอตามหาแม่บังเกิดเกล้าพบก็ดันมาสิ้นใจตอนให้กำเนิดตนอีก แล้วก็มาพบบิดาแท้ ๆของตน แต่พอตนอายุสิบแปดปีก็มาบอกนางว่าบิดามารดาที่นางเข้าใจว่าเป็นคนให้กำเนิดมานั้นแท้จริงมิใช่บิดามารดาของนาง มีใครน่าอนาถกว่านางอีกหรือไม่
ณ โลกอสูรเทพ หลงจิ่งหลินได้ข่าวคราวของน้องสาวก็รู้สึกตื่นเต้น คิดไม่ถึงเลยว่าสถานที่ล่าสุดที่น้องสาวของเขาปรากฏตัวจะเป็นโลกมนุษย์ ก็ใช่…ใครจะไปคิดว่านางจะไปโลกมนุษย์ เขาบอกกับเผ่าว่าจะออกไปแสวงโชค แต่แท้จริงแล้วจะไปโลกมนุษย์ หลงจิ่งหลินสูดหายใจเข้าลึก หวังว่าจะหาน้องสาวตนเองพบ
ณ โลกมนุษย์ หลิวหลีได้กลิ่นซาลาเปาทอดที่แสนคุ้นเคยและกลิ่นหอมของน้ำเต้าหู้ คิดถึงเหลือเกิน น่าเสียดายที่กินพืชผักอสูรวิญญาณจนชิน ทำให้ตอนนี้นางกินของพวกนี้ไม่ลง
หลิวหลีมิได้รีบร้อนกลับบ้านแต่กลับเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว เพราะแต่งตัวค่อนข้างคลุมเครือ เหล่าแม่นางน้อยใหญ่จึงต่างพากันขยิบตาให้ หนุ่มน้อยรูปงามผู้นี้มาจากสกุลใดกันนะ
ไม่นานนักท้องถนนก็เริ่มคึกคัก เกี้ยวสีแดงคันหนึ่งคนหามแปดคนเดินเคลื่อนผ่านมา ผู้คนรอบข้างชี้นิ้วพูดเสียงเซ็งแซ่ ได้ความว่าบุตรสาวคนสุดท้องของอันชิ่งโหวจะแต่งงานแล้ว
“คนเรานี้แข่งบุญแข่งวาสนากันไม่ได้จริง ๆ แค่ลูกสาวที่เก่งกาจคนหนึ่งออกเรือน พ่อแม่พี่น้องต่างก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย”
“นั่นสิ อันชิ่งโหวนี่แต่ก่อนเป็นเพียงพ่อค้า ตอนนี้ได้รับราชการเป็นขุนนางไปแล้ว” มีคนกล่าวด้วยความอิจฉา
“เซียนน้อยช่างเป็นลูกที่เกื้อหนุนคนในบ้านจริง ๆ ใครจะไปรู้เล่าว่าอันชิ่งโหวจะดวงดี มีบุตรสาวที่เป็นเซียนเสียด้วย”
“จริงด้วย บุตรทุกคนออกเรือนไปได้ดิบได้ดีทั้งนั้น ส่วนบุตรชายก็ยังสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาได้”
“ครั้งนี้บุตรสาวคนสุดท้องออกเรือนแล้ว ได้ยินมาว่าแต่งเป็นฮูหยินบุตรชายคนรองของภรรยาเอกหย่งอันป๋อด้วย”
“เรื่องให้กำเนิดทายาทก็ต้องวัดความสามารถเอาแล้วล่ะ” ใครกัน สรุปได้ละเอียดเสียจริง
หลิวหลีฟังอยู่นาน ในที่สุดก็จับใจความได้ว่าเจ้าสาวในเกี้ยวคือหลี่หลิงหลง น้องสาวในนามของนาง
“หลิวหลี ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนแล้ว สามารถกระตุ้นสัมผัสทางสายโลหิตได้แล้ว”
“กระตุ้นสัมผัสทางสายโลหิต?” นี่คือคำศัพท์ใหม่
“ถูกต้อง ในบรรดาผู้บำเพ็ญด้วยกัน ยิ่งมีสายเลือดใกล้ชิดกันปฏิกิริยาก็จะยิ่งรุนแรงตามไปด้วย หากเด็กคนนี้เป็นน้องสาวของเจ้าจริง เจ้าจะกระตุ้นสัมผัสทางสายโลหิตได้” เอ๋าเลี่ยอธิบาย
หลิวหลีลองดู หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วลองใหม่อีกนับสิบครั้งได้ พลันเปิดตาขึ้นมาแต่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ ก็แปลว่าพวกเขาไร้ซึ่งความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน
“รู้สึกอะไรไหม?” เอ๋าเลี่ยถาม
“รู้สึกอย่างไร?” หลิวหลีถาม
“ก็ตื่นเต้นดีใจ สนิทชิดเชื้อ เลือดลมพลุ่งพล่าน” เอ๋าเลี่ยคิดแล้วเอ่ยพรรณนา
“อาเลี่ย ข้าอยากรู้จริง ๆว่าพ่อแม่ข้าคือใคร?”
ประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกันนี้ทำให้เอ๋าเลี่ยเข้าใจทันที เจ้าสาวในเกี้ยวนั้นไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง เอ๋าเลี่ยมุ่นคิ้ว หลิวหลีเป็นลูกของหลงซินเยว่กับใคร หากมีคนสกุลหลงอยู่ด้วยก็คงจะดีจะได้รู้ว่าหลิวหลีเป็นสายเลือดสกุลหลงหรือไม่
…………………………………………………..