แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 351 กระตุ้น
สวีโจวรู้สึกว่าครั้งนี้ตนเองเก็บเกี่ยวได้มาก พลังมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป็นเทพ ดีเหลือเกิน ตนเองกำลังจะบรรลุขั้นเทพสวรรค์แล้ว เพียงแต่สวีโจวงุนงง ก่อนนี้เขารู้สึกว่าตนแตกต่างจากผู้อื่น แต่หาคำตอบไม่พบ ตอนนี้สวีโจวกำลังมองเมล็ดพันธุ์สีดำสนิทดั่งรัตติกาลที่เขาพบในร่างกายตนเอง ของสิ่งนี้คืออะไรกัน เขาสัมผัสได้ว่าพลังของตนถูกเมล็ดพันธุ์นี้ดูดกลืนมากไปกว่าครึ่ง เพราะอย่างนั้นตนเองถึงบรรลุขอบเขตได้ช้าเช่นนี้
“ศิษย์พี่สวี ศิษย์พี่หลงเชิญท่านไปพบ” ศิษย์ที่มาแจ้งข่าวรู้สึกอิจฉาอย่างมาก ไม่รู้ศิษย์พี่หลงชื่นชอบอะไรในตัวศิษย์พี่สวี ถึงได้เรียกหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ศิษย์พี่หูชิงที่ไปด้วยกันยังไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“บอกศิษย์พี่หลงว่าเดี๋ยวสวีโจวจะไป” สวีโจวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดศิษย์พี่ นางถึงได้ปฏิบัติกับตนต่างจากผู้อื่น ตนมีอะไรคู่ควรให้นางให้ความสำคัญกัน
“ศิษย์พี่หลง ศิษย์พี่หนานกง” สวีโจวพบว่าครั้งนี้สองสามีภรรยาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
หลิวหลีปิดปากเงียบ เอาแต่จ้องสวีโจว มุมปากที่ยกขึ้นอย่างนึกสนุกไม่ว่าปกปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด หืม? น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ
“ท่านพี่ ท่านลองดูสิ” หลิวหลีคิดว่าหากตนเป็นว่าที่เทพจริงๆล่ะก็ เช่นนั้นสามีของตนก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
หนานกงเวิ่นเทียนได้ยินคำพูดของหลิวหลีก็รวบรวมประสาทเซียนตรวจดู แล้วเขาก็ค้นพบเข้าจริงๆ
“นี่… ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” หนานกงเวิ่นเทียนตกใจมาก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เหตุใดถึงได้มีผู้ท้าชิงตำแหน่งดี ในเมื่อคนท่านนั้นก็ยังอยู่ชัดๆ
“ศิษย์พี่หลง สวีโจวมีอะไรผิดปกติหรือ” อยู่ๆใจของสวีโจวก็เต้นแรง ตนคงไม่ได้มีปัญหาอะไรจริงๆใช่ไหม หรือจะเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์สีดำนิรนามอันนั้น
“ไม่มี เจ้าคงจะสงสัยว่าข้าเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องอะไร” หลิวหลีถาม
“รบกวนศิษย์พี่บอกข้าด้วย” สวีโจวถาม
“ยังบอกเจ้าไม่ได้ การรู้ก่อนอาจไม่เป็นผลดีกับเจ้า เจ้ารู้เพียงว่าความสำเร็จในอนาคตของเจ้าไร้ขีดจำกัดก็เพียงพอแล้ว หากเจ้าจะต้องรู้ให้ได้ ข้าบอกก็เจ้าได้ แต่ข้าก็จะไม่รับประกันอนาคตของเจ้า” เท่ากับว่าหลิวหลีให้ทางเลือกสวิโจว ส่วนเขาจะเลือกอย่างไรนั้นก็ต้องแล้วแต่เขาแล้ว
“แน่นอนว่าข้าเชื่อใจศิษย์พี่ แต่ท่านช่วยบอกข้าในตอนที่ท่านรู้สึกว่าถึงเวลาได้หรือไม่” สวีโจวกล่าวพลางสูดลมหายใจลึก เขาไม่กล้าเอาอนาคตของตนเองมาเสี่ยง ไม่กล้า อีกทั้งเขาเชื่อใจในตัวนางอย่างน่าประหลาด
“ดีมาก” หลิวหลียกมือขึ้นมา ปราณสีน้ำนมที่ปรากฎขึ้นในมือถูกส่งเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย สวีโจวรู้สึกราวกับว่าตนมีเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีกชั้น
“ของสิ่งนี้จะทำให้ผู้อื่นมองไม่เห็นภายในร่างกายเจ้า พอจะมีประโยชน์กับการบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่บ้าง กลับไปได้ ใกล้จะบรรลุขอบเขตพลังแล้ว” หลิวหลีกล่าว
“ขอบคุณศิษย์พี่หลงมาก สวีโจวขอตัว” สวีโจวรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเช่นกัน เป็นสัญญาณของการบรรลุขั้นพลังจริงๆ
“น้องหญิง ข้ารู้สึกว่าออกจะเหลือเชื่อเกินไป ทั้งๆที่สามท่านนั้นยังอยู่เห็นๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” หนานกงเวิ่นเทียนยังคงไม่อยากเชื่อ เรื่องนี้ทำเขาตกใจยิ่งกว่าบอกเขาว่าสวีโจวเป็นสตรีเสียอีก
“ดังนั้น ท่านพี่เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าข้าสนใจเขาเพราะเหตุใด ไม่รู้ทำไม ข้าถึงได้อ่อนไหวกับคนสกุลเยี่ยนัก มักรู้สึกเหมือนเป็นคนชั่ว” หลิวหลีรู้สึกเหมือนตนเองเป็นบ้า เพราะคนชั่วที่เจอในโลกบำเพ็ญเพียรที่ชื่อเยี่ยซิงหวง และเยี่ยซิงขวงที่เจอในโลกเซียน ส่วนในโลกเทพนี้ก็มีเยี่ยโยวหวง ทำให้นางรู้สึกว่าเขาเป็นคนชั่ว
“ก็จริง ข้าก็รู้สึกไม่ค่ิยดีกับคนแซ่เยี่ยเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า ไม่ใช่เพราะโกรธแค้น พวกเขาสองคนดวงชงกับคนสกุลเยี่ยเสมอๆ
“พลังของพวกเราตอนนี้ยังห่างไกลจากเทพที่แท้จริงมากนัก ข้าคิดว่าเทพรัตติกาลคงไม่สนใจในสำนัก แต่น่าจะเป็นภูเขาเทวา” หลิวหลีพูด คนที่นี่อ่อนแอเกินไป ไม่คู่ควรให้เขามาใส่ใจ
“ดังนั้น พวกเราต้องรีบฝึกฝนบำเพ็ญเพียร เพราะเรากำลังจะเข้าป่าทั้งๆที่รู้ว่าในป่ามีเสือ” หนานกงเวิ่นเทียนพูด
“ดูจากตอนนี้ก็น่าจะจริง” หลิวหลีพยักหน้า
“สวีโจวนั่นก็คือลูกระเบิด ใครจะรู้ว่าระเบิดแล้ว สุดท้ายจะเป็นอย่างไร?” มีเทพรัตติกาลอยู่แล้วแต่กลับมีผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพรัตติกาลปรากฎตัวขึ้น ตบหน้ากันชัดๆ
ณ ภูเขาเทวา เยี่ยโยวหวงขมวดคิ้วมองดูมือของตนเองแล้วรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปได้อย่างไร ผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพรัตติกาล ฮ่าๆ” เขาผู้เป็นเทพที่แท้จริงยังอยู่ แต่กลับมีผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพรัตติกาลปรากฎตัวขึ้น ตบหน้ากันได้เจ็บแสบจริงๆ สีหน้าของเยี่ยโยวหวงดำคล้ำลง หรือร่างแยกสองร่างของตนถูกทำลาย ส่งผลกระทบต่อร่างเดิม ทำให้ตำแหน่งเทพไม่มั่นคง น่ารังเกียจนัก ตอนนั้นไม่เพียงแต่ล้มเหลว ขโมยไก่ไม่ได้ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ได้ไม่คุ้มเสีย ตอนนี้เขาจำเป็นต้องเข้าฌาน เพื่อประคองตำแหน่งเทพของตนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นกระทั่งเทพที่แท้จริงก็ไม่ได้เป็น แล้วจะไปชิงตำแหน่งมหาเทพสูงสุดได้อย่างไร
การเข้าฌานของเทพรัตติกาลทำให้เทพวายุและเทพพสุธาประหลาดใจ คนที่ทะเยอทะยานอย่างนั้นน่ะหรือเข้าฌาน ไม่ใช่ว่ากำลังเตรียมแผนใหม่อีกนะ ไม่รู้จักยอมแพ้เลยจริงๆ พวกเขาล้วนถอดใจที่จะกลายเป็นมหาเทพสูงสุดกันแล้ว แต่เทพรัตติกาลกลับไม่ยอมแพ้ ถึงขนาดพอมีคนทำนายว่าจะมีมหาเทพสูงสุดถือกำเนิดขึ้นเพื่อสยบความวุ่นวายก็ยิ่งบ้าคลั่ง เงียบแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะก่อเรื่องอีกนะ
ทางด้านหลิวหลีไม่รู้ว่าเทพรัตติกาลรู้เรื่องผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพรัตติกาลแล้ว ทั้งสองตัดสินใจไปหาลู่หรง
“คารวะศิษย์พี่หลง ศิษย์พี่หนานกง” ลู่หรงตื่นเต้น เขาคิดว่านอกจากการรวมกลุ่มกันครั้งก่อนแล้วคงจะไม่ได้เจอศิษย์พี่หลงอีก ใครจะไปรู้ว่าศิษย์พี่จะเรียกให้ตนเข้าพบ จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร
หลิวหลีบุ้ยให้หนานกงเวิ่นเทียนลองมอง หนานกงเวิ่นเทียนจึงทอดสายตามองอีกฝ่าย ธรรมดากว่าที่เห็นของสวีโจวมาก ดวงชะตาของคนผู้นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ เส้นทางก่อนหน้าที่ถูกขวางแล้วขุดเป็นรอยแยก ส่วนรอยแยกก็ถูกขวางอีกแต่ก็ยังแยกออกเป็นเส้นทางอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้ว
“ศิษย์น้องลู่ รู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องใด?” หลิวหลีถาม
“ไม่อาจทราบได้ ศิษย์พี่โปรดบอกข้าด้วย” ลู่หรงถามอย่างจริงจัง
“มีเรื่องที่จำเป็นต้องให้ศิษย์น้องลู่ช่วย” หลิวหลีกล่าว
“ได้ช่วยศิษย์พี่นับเป็นโชคดีของลู่หรง ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรที่ข้าสามารถช่วยท่านได้” ลู่หรงตื่นเต้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยนางได้ ตื่นเต้นเหลือเกิน
“เจ้าได้ช่วยข้าแล้ว ขอบใจศิษย์น้องลู่มาก ศิษย์น้องลู่มีพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยนี่” หลิวหลีเปลี่ยนเรื่อง
“ต้องขอบคุณศิษย์พี่ หากไม่มีท่าน ลู่หรงคงไม่สามารถพัฒนาได้เร็วเช่นนี้” ลู่หรงติดกับทันที หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ศิษย์น้องขยันขันแข็งด้วยตัวเอง ข้าไม่ได้ทำอะไร ศิษย์น้อง กลับไปเข้าฌานเถอะ เจ้ายังสามารถบรรลุได้อีกขั้นพลัง” หลิวหลีกล่าว
“ขอรับศิษย์ ข้าขอตัวก่อน” ลู่หรงกลับไปยังที่พักถึงนึกขึ้นมาได้ ศิษย์พี่เรียกเขาไปทำอะไร ช่วยอะไรนางกัน
“จิตใจบริสุทธิ์แล้วยังมีโชคช่วย เป็นผู้มีโชค” หนานกงเวิ่นเทียนพูด
“ถูกต้อง คำทำนายของท่านพี่กับข้าเหมือนกัน ดังนั้นท่านพี่ พวกเรามีความสามารถนี้จริงๆ แต่หากไม่พยายาม ความสามารถนี้ก็จะหายไป แม้จะได้เป็นเทพที่แท้จริงก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง” หลิวหลีระมัดระวังมากขึ้น รู้สึกได้ถึงอันตรายอยู่คร้ามครัน
“ใช่ หากเรามีความสุขกับความสะดวกสบายเช่นนี้ก็จะถูกริบความสามารถนี้ไป” หนานกงเวิ่นเทียนก็คิดเช่นนั้น ถึงเขาจะไม่เคยเจอเทพรัตติกาลแต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นัก
…………………………..