แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 38 ญาติ
หลิวหลีอาบอยู่ภายใต้แสงสีทองรู้สึกอบอุ่นสบาย แสงทองบางส่วนไหลเข้าร่างเอ๋าเลี่ย เขารู้สึกว่าพลังบำเพ็ญเพียรมีความก้าวหน้าขึ้น แต่ทำไมถึงได้มีแสงแห่งบารมีล่ะ โดยพลันเอ๋าเลี่ยก็เข้าใจขึ้นมาในทันที เพราะว่าหลิวหลีพิชิตเพลิงอัสนีคราม ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ แน่นอนว่าฟ้ามีตา จึงได้ประทานแสงแห่งบารมีลงมาให้ อันจะส่งผลดีต่อหลิวหลีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญเพียรหรือการบรรลุเซียนในภายหน้า เอ๋าเลี่ยเหลือบมองหลิวหลีที่ยังดื่มด่ำกับความรู้สึกนั้นอยู่ ผู้มีบุญญาธิการ มักมีท่าทีต่างจากคนอื่นเสมอ
“อาเยว่” หลงจิ่งหลินเห็นหลิวหลีใต้แสงสีทอง ท่าทางใสซื่อเช่นนั้นเหมือนดั่งน้องสาวเขาไม่มีผิด เขาจึงลองปล่อยสัมผัสทางสายโลหิต หลิวหลีที่อยู่ภายใต้แสงสีทองสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง นางลืมตาขึ้นจึงเห็นพวกหนานกงเวิ่นเทียนกับมังกรหนึ่งตัว
“เสี่ยวเทียน เจ้าออกฌานแล้วหรือ” ไม่ได้บอกว่าสิบปีหรือ ออกมาเร็วขนาดนี้เชียว นางดูดซึมแสงแห่งบารมีเสร็จพอดี พลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีก็มั่นคงอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลายขั้นสุดยอดแล้ว ขาดไปแค่นิดเดียว หลิวหลีอยากจะสบถด่าออกมา เร็วขนาดนี้เลยหรือ นางจะไปหาเพลิงอัคคีอันต่อไปมาจากไหน คิดว่าเพลิงอัคคีเป็นผักกาดขาวหรืออย่างไรกัน
“อืม ออกมาเร็วกว่าที่คิดไว้” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า จนกระทั่งเสียงกระแอมลอยมาจากด้านข้าง
“หลิวหลี นี่ญาติของเจ้า”
“ญาติหรือ” หลิวหลีเอียงคอสำรวจหลงจิ่งหลินกับเอ๋าตง นางเพิ่งตัดสัมพันธ์กับญาติตัวปลอม นี่มีญาติตัวจริงโผล่มาอีกแล้วหรือ ทำไมรู้สึกไม่ค่อยน่าเชื่อถือ หลิวหลีไม่อยากจะเชื่อมากนัก
“นังหนู ข้าคือลุงสามของเจ้า แม่ของเจ้าคือหลงซินเยว่ลูกสาวคนโตของสกุลหลง” หลงจิ่งหลินพูดแนะนำ เขาไม่ค่อยพอใจกับการแนะนำของหนานกงเวิ่นเทียนเท่าไรนัก ถ้าเป็นอย่างนี้เขาจะวางใจยกหลานสาวให้ได้อย่างไร
“ท่านเป็นลุงสามของข้าจริงหรือ” สายตาของหลิวหลีฉายแววไม่เชื่อใจ ท่านแม่เคยบอกว่านางเป็นคนสกุลหลงจริงๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าลุงคนนี้พูดจริงหรือเปล่า
“จริงสิ ใช่แล้ว นี่คือคู่พันธสัญญาของข้า เอ๋าตง” หลงจิ่งหลินแนะนำเอ๋าตงข้างกายเขาที่ดูสุภาพนอบน้อม
หลิวหลีเอียงคอมองดูเอ๋าตง ในไซอิ๋วราชามังกรก็แซ่เอ๋า เป็นมังกรจริง ๆด้วย ไม่รู้ว่าเป็นมังกรที่มีแสงสีทองประกายเจิดจ้าหรือเปล่า
เห็นว่าหลิวหลีไม่พูดอะไร หลงจิ่งหลินจึงปล่อยสัมผัสทางสายโลหิตอีกครั้ง ทั้งสองมีปฏิกิริยาตอบสนองกันที่รุนแรงอย่างยิ่ง
“นังหนู คราวนี้เชื่อหรือยัง”
“เจ้าค่ะ ท่านลุงสาม ท่านลุงเอ๋าตง” หลิวหลีขานรับด้วยท่าทีลิงโลดสัมผัสทางสายโลหิตครั้งนี้คงไม่ผิดแน่
การขานเรียกของหลิวหลีทำให้หลงจิ่งหลินดีอกดีใจ จากนั้นเขาถึงเหลือบเห็นหลิวหลีอุ้มกิเลนน้อยอยู่ จะว่าไปแล้วเขาจำได้ว่าปรมาจารย์เสวียนหั่วบอกว่าหลานสาวของเขาทำพันธสัญญากับมังกร แต่ตัวในอ้อมกอดนางน่าจะเป็นกิเลน ถึงแม้สีของมันจะพิเศษอยู่บ้างก็ตาม
“นังหนู ได้ยินมาว่าเจ้ามีคู่พันธสัญญาแล้ว” หลงจิ่งหลินพูดอ้อมๆ
“เจ้าค่ะ เป็นงูแดงที่หน้าตาประหลาดขึ้นเรื่อยๆ” หลิวหลีพูดพลางพยักหน้า ความเปลี่ยนแปลงของอาเลี่ยแปลกขึ้นเรื่อยๆจริง ๆ
“งูแดง” หลงจิ่งหลินทวน แล้วมังกรที่ว่าไว้ล่ะ ทำไมถึงกลายเป็นงูไปได้
“เจ้าสิเป็นงู บ้านเจ้าทั้งบ้านเป็นงูกันหมดนั่นแหละ ข้าคือมังกร มังกร” เอ๋าเลี่ยที่อยู่ในมิติอสูรภูตบ่นอุบเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวหลี
“เชอะ ทั้งที่ตอนแรกเป็นแค่งูแดงแท้ๆ” หลิวหลีเบะปาก
เอ๋าเลี่ยปรากฏตัวขึ้นอย่างอดไม่ได้ เอ๋าตงหน้าเปลี่ยนสีทันที อื้อหือ เด็กน้อย ทำไมเจ้าถึงได้ทำเรื่องไร้ซึ่งมโนธรรมเช่นนี้!
“เอ๋าตงคารวะท่านปรมาจารย์” เอ๋าตงทำความเคารพด้วยความนอบน้อม ถึงแม้รูปร่างจะไม่ใช่ แต่ความน่าเกรงขามนี้ไม่ผิดแน่ๆ เป็นท่านปรมาจารย์เอ๋าเลี่ยผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการทำศึกที่สุดในเผ่ามังกร ถูกนังหนูคนนี้ทำพันธสัญญา อีกทั้งยังถูกกล่าวหาว่าเป็นงูอีก พระเจ้า ท่านปรมาจารย์ไม่โกรธใช่ไหม
“นังหนู เจ้าเห็นหรือยัง” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างได้ใจ แต่กลับถูกสายตาผิดหวังของหลิวหลีทำให้รู้สึกอึดอัดใจ
“นังหนู นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“มังกรที่เกิดมารูปร่างแบบเจ้า ไม่เท่ากับเป็นการลบหลู่เผ่ามังกรหรือ มังกรควรจะต้องเป็นแบบนี้สิ” หลิวหลีรู้สึกหัวเสีย เอ๋าเลี่ยจะเป็นมังกรได้อย่างไร พลังเซียนอัคคีบนมือของหลิวหลีเคลื่อนไหวไปตามท่วงท่าของหลิวหลี แล้วมังกรยักษ์เพลิงตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน เอ๋าเลี่ยตกตะลึงเพราะนั่นเป็นร่างเดิมของเขา เอ๋าตงอึ้งไป นังหนูนี่เคยเห็นมังกรจริงด้วย
“เห็นหรือยัง มังกรเป็นแบบนี้ต่างหาก” หลิวหลีพูดขึ้นพลางสลายพลังเซียนอัคคี พอหลงจิ่งหลินตั้งสติได้ ก็ลูบท้ายทอยเบาๆ หลานสาวของเขาเก่งไม่เบา เดาว่าเผามังกรคงยังไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองถูกผูกพันธสัญญาไปแล้ว
“รู้แล้ว รู้แล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้นมาอย่างไม่แยแส อย่างไรเสียนั่นมันก็คือตัวเขาเอง แต่คิดไม่ถึงว่าสกุลหลงจะหานางเจอได้เร็วขนาดนี้
“นังหนู กิเลนที่อยู่ในอ้อมกอดเจ้าเป็นมาอย่างไร” หลงจิ่งหลินถามขึ้น
“เจ้านี้หรือ มันเพิ่งเกิดแล้วก็มาติดตามข้า แต่เพราะข้าทำพันธสัญญากับอาเลี่ยแล้ว ไม่สามารถทำพันธสัญญากับจื่อฉีได้ ก็เลยตัดสินใจให้มันมาติดตามข้าแทน” หลิวหลีจับเขี้ยวเล็บจื่อฉีเบาๆ
“นังหนู เจ้าบอกว่าเจ้าก็สามารถทำพันธสัญญากับกิเลนได้ แต่ดันผูกพันธสัญญากับมังกรไปก่อนแล้วหรือ” หลงจิ่งหลินถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้าค่ะ” หลิวหลีพยักหน้า
หลงจิ่งหลินรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากหลิวหลีสามารถทำพันธสัญญากับกิเลนได้ ถ้าอย่างนั้น…เขาสบตากับเอ๋าตง บิดาผู้ให้กำเนิดของนางอาจจะเป็นคนสกุลจ้าน
“นังหนู เจ้ากลับบ้านสกุลหลงกับข้าเถอะ เจ้ายังมีท่านปู่กับลุงอีกสองคน” หลงจิ่งหลินพูดกับหลิวหลี นังหนูมีพรสวรรค์ขนาดนี้ ถ้ากลับไปสกุลหลงจะต้องพัฒนาขึ้นมากแน่
“คงไม่ล่ะ สำนักเมฆาคล้อยก็ดีอยู่แล้ว อาจารย์ก็ดีกับข้า อาจารย์ลุงก็ดีกับข้าเช่นกัน” หลิวหลีส่ายหัว สถานการณ์ของนางไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปลำบากแบบนั้น
“แต่ว่า หากข้ามีเวลาข้าจะกลับไปบ้านสกุลหลง ข้าก็อยากจะเห็นสถานที่ที่แม่ข้าเคยอาศัยอยู่” หลิวหลีพูดเสริม
“นังหนู สกุลหลงมีทรัพยากรมากมาย จะทำให้เจ้าสามารถพัฒนาขึ้นได้มากเลยนะ” หลงจิ่งหลินยังคงพูดชวน
“ท่านลุงสาม ไม่จำเป็นจริงๆ เจ้าค่ะ เคล็ดวิชาที่ข้าฝึกค่อนข้างพิเศษจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน” หลิวหลีพูดพลางส่ายหัว
“หลิวหลี เจ้าฝึกเคล็ดวิชาอะไรหรือ” หลงจิ่งหลินคิดที่จะใช้เรื่องเคล็ดวิชาชักชวนให้หลิวหลีกลับไปด้วยกัน
“คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ” พอนางพูดคำนี้ออกมา หลงจิ่งหลินก็รู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก เอ๋าตงก็อึ้งไปเช่นกัน เคล็ดวิชาที่ใครๆต่างรู้จักแต่ไม่มีใครฝึก หลานสาวของเขากลับฝึกเสียอย่างนั้น คุณสมบัติดีขนาดนี้ไปฝึกเคล็ดวิชานี้น่าเสียดายจริงๆ
“นังหนู เปลี่ยนเคล็ดวิชาไม่ได้หรือ เคล็ดวิชานี้ค่อนข้างจะแปลกเกินไปหน่อย” หลงจิ่งหลินคิดๆดูแล้วสรรหาคำพูดมาโน้มน้าวนาง
“ไม่ได้หรอก ชีวิตของข้าทั้งชีวิตฝึกได้เพียงแค่เคล็ดวิชานี้เท่านั้น” หลิวหลีส่ายหัว นางไม่ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนเคล็ดวิชา เคล็ดวิชานี้ก็ดีอยู่แล้ว ขบคิดครู่หนึ่งหลิวหลีก็อุ้มจื่อฉีด้วยมือเดียว เพียงครู่เดียวเพลิงบุปผาเหมันต์ก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ครู่หนึ่งเพลิงอัสนีครามก็ปรากฏขึ้น หลงจิ่งหลินยิ่งรู้สึกประหลาดใจเข้าไปใหญ่ นี่คือเพลิงบุปผาเหมันต์กับเพลิงอัสนีคราม
“การบรรลุช่วงพลังของข้าจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี อีกทั้งต้องใช้เพลิงอัคคีที่มีธาตุแตกต่างกัน บัดนี้ข้ามีธาตุเหมันต์กับธาตุอัสนีแล้ว” หลิวหลีกล่าว
“เอาเถอะ นังหนู เจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน แต่จงจำไว้ว่าเจ้าต้องกลับบ้านสกุลหลงบ้าง นังหนู เก็บตราประทับนี้ไว้ให้ดี ข้าจำต้องขอเลือดเจ้าหนึ่งหยดเพื่อเอากลับไปทดสอบความเข้มข้น นังหนู เจ้ามีไข่มุกส่งสารใช่ไหม” ในที่สุดหลงจิ่งหลินก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงแม้บ้านสกุลหลงจะมีทรัพยากรมากเพียงใด ก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อหลิวหลี เพลิงอัคคีไม่ใช่ผักกาดขาวเสียหน่อย
“เจ้าค่ะ” หลิวหลีพยักหน้า ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนไข่มุกส่งสารกัน หลิวหลีเค้นเอาเลือดออกมาหนึ่งหยด หลงจิ่งหลีเก็บแล้วก็เตรียมตัวจะจากไป
“เสี่ยวเทียนก็เป็นคนของทางนั้นใช่ไหม” อยู่ๆหลิวหลีก็เอ่ยขึ้น
“ใช่” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า
“เสี่ยวเทียนข้าจับงูที่กำลังจะกลายร่างเป็นมังกรวารีมาได้ กลับไปข้าจะทำเนื้องูสดให้กิน” หลิวหลีเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วจนคนอื่นตามแทบไม่ทัน
หลิวหลีเดินทางไปไกลแล้ว หนานกงเวิ่นเทียนทำได้เพียงรีบตามนางไป หลิวหลีไม่ได้ถามอะไร รู้แค่ว่าเสี่ยวเทียนจะต้องมีเหตุผลที่ไม่กลับไป หลิวหลีรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองยังไม่ได้ถึงขั้นต้องไปพบผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติน่าจะดีกว่า
……………………………………………………..